ขบวนการทุจริตและกักตุนหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะการฟ้องร้องสู้คดี ระหว่าง 'อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์' กับ 'รมว.จุรินทร์ และนางมัลลิกา' กำลังเข้มข้น ด้าน 'อัจฉริยะ' ยันข้อมูลส่งตำรวจแน่นปึ้ก ระบุใครเกี่ยวข้อง เชื่ออีกไม่นานถึงมือ 'ป.ป.ช.' เจอ 157 แน่ เผยมีใบเสร็จแก๊งกักตุน พัวพันคนมีสี ขณะที่ 'องอาจ คล้ามไพบูลย์' ประธานสอบ 'มัลลิกา' แกะรอยทุกข้อมูลที่ 'อัจฉริยะ' อ้างอิง เทียบเคียงพรรคฝ่ายค้านกล่าวหามีการทุจริต ใกล้สรุปผลชี้ขาด 'มัลลิการอดไม่รอด' หากสังคมรับไม่ได้เลือกตั้งครั้งหน้า ปชป.ตายสนิท
ประเด็นการกักตุนหน้ากากอนามัย รวมไปถึงมีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่? และใคร? คือไอ้โม่งที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ แม้วันนี้ยังไม่มีการเผยโฉมออกมา หรือยังไม่สามารถการันตีได้ว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือถูกโจมตีมีความโปร่งใส 100% จะมีก็แต่เพียงตำรวจหน่วยงานต่างๆ เข้าจับกุมขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัยที่ยังคงเป็นปลาซิว ปลาสร้อย เท่านั้น
ส่วนภาพที่ปรากฏในสังคมเวลานี้ ก็คือการฟ้องร้องระหว่างผู้กล่าวหาคือ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กับผู้ถูกกล่าวหา คือ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์ ที่เชื่อว่าข้อมูลที่นายอัจฉริยะ นำมาเปิดเผยนั้นน่าจะหมายถึงตัวเธอที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งออกและกักตุนหน้ากาก
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง เนื่องจากเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงมาก ประชาชนทุกพื้นที่ไม่มีหน้ากากใช้ ที่สำคัญสุดโรงพยาบาลทั่วประเทศขาดแคลนหน้ากาก แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ต่างได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถหาหน้ากากมาใช้ป้องกันในการปฏิบัติหน้าที่ได้
จนดูเหมือนว่าคนพวกนี้โหดเหี้ยม ไร้ซึ่งมนุษยธรรม!
แต่พรรคประชาธิปัตย์ ทำได้เพียงการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา กรณีมีการกล่าวหาสมาชิกพรรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนและส่งออกหน้ากากอนามัย และเป็นการสอบ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข เพียงผู้เดียว และนางมัลลิกา ก็ขอใช้สิทธิดำเนินคดีต่อผู้กล่าวหาเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สมาชิกพรรค ปชป. หลายคนได้พยายามถามนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. ถึงเรื่องหน้ากาก ว่าไม่ชี้แจงเพื่อให้สังคมและสมาชิกพรรคเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นหรือ? เพราะสมาชิก ปชป.หลายคนเชื่อว่าเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี ไม่ไว้วางใจพรรค ปชป. แต่นายจุรินทร์ ได้แต่นิ่งเฉยแทนคำตอบ
ในที่สุด เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ก็ได้สั่งให้ทนายเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อนายอัจฉริยะ ในข้อหาการกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ข้อหาหมิ่นประมาทในการนำข้อความอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แพร่หลายสู่ประชาชนด้วยการไลฟ์สดใส่ร้ายถึง 5 ครั้ง โดยมีเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของนายจุรินทร์ ต่อสาธารณะ ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งส่วนตัวและการบริหารราชการแผ่นดิน
เมื่อนายจุรินทร์ เดินหน้าฟ้องร้องก็ได้รับการตอบโต้จากนายอัจฉริยะ.โดยเมื่อวันที่ 13 เม.ย.นายอัจฉริยะ พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดำเนินคดีต่อนายจุรินทร์ พร้อมพวก ในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ
“เรามีหลักฐานพร้อมว่าใครเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากาก ข้อมูลที่มีอยู่ก็ได้จากหน่วยราชการ บริษัทต่างๆ ก็ทยอยส่งมาให้ ประชาก็ชนส่งให้ เราไม่ได้อคติกับนายจุรินทร์ หรือพรรค ปชป. แต่ทำไปเพราะแพทย์ พยาบาล ประชาชนเดือดร้อน ขาดแคลนหน้ากากจริง ข้อมูลทั้งหมดก็ได้มอบให้ทีมตำรวจที่นายกฯ ใช้ให้ตามสืบข้อมูล หรือแม้กระทั่งบางรายที่กักตุนเรามีหลักฐานเป็นใบเสร็จ มีการโอนรถหรู แถมยังเป็นคนดังมีสีด้วย” นายอัจฉริยะ ย้ำ
ขณะเดียวกัน นายอัจฉริยะ บอกอีกว่า ข้อมูลที่ส่งไปให้ บก.ปอท. นั้น เมื่อ บก.ปอท. ตรวจสอบแล้วคาดว่าจะสามารถส่งไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณาต่อไปเร็วๆ นี้
ปัจจุบัน นายอัจฉริยะ จึงมีคดีฟ้องร้องอยู่ทั้งกับนายจุรินทร์ และนางมัลลิกา ที่ต่างก็ต้องนำหลักฐานเพื่อมาต่อสู้คดีกัน เพราะหากหลักฐานนายอัจฉริยะ เป็นที่น่าเชื่อถือได้ และเป็นข้อมูลจริง จะส่งผลต่อพรรค ปชป.โดยตรง และเลือกตั้งครั้งหน้าชื่อพรรค ปชป.อาจหายไปจากสารบบการเมืองไทยก็เป็นได้
แต่ถ้าเรานำผลสอบเบื้องต้น ที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ปชป. กรณีนางมัลลิกา ที่มีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค เป็นประธาน มาพิจารณาดูก็น่าจะพออนุมานได้ว่า ผลสอบครั้งนี้ นางมัลลิกา คือผู้บริสุทธิ์ไม่ได้เป็นตามที่นายอัจฉริยะกล่าวหาหรือไม่?
โดยนายองอาจ ระบุว่า คณะกรรมการฯ จะประชุมอีกครั้ง ก็จะสามารถสรุปได้ในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่สามารถระบุวันได้ เพราะกรรมการแต่ละคนก็ต้องให้ความเห็นของตัวเอง ซึ่งช่วงที่มีการตั้งกรรมการใหม่ๆ กรรมการทุกคนจะประชุมครบทีม แต่พอมีวิกฤตโควิด-19 มีมาตรการเคอร์ฟิว ทำให้นายอิสสระ สมชัย ซึ่งอยู่ที่อุบลฯ ไม่สามารถเดินทางมาร่วมประชุมได้ เพราะหากกลับจากกรุงเทพฯ ไปก็ต้องถูกกักตัว 14 วัน แต่เราก็จะใช้วิธีการประชุมออนไลน์ ซักถามกันตลอด โดยประเด็นที่คณะกรรมการสอบฯ ดังนี้
เมื่อมีผู้กล่าวหาคือ นายอัจฉริยะ ว่ามีที่ปรึกษารัฐมนตรี ไปเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากาก และผู้ถูกกล่าวหาคือนางมัลลิกา ได้ไปแจ้งความ แต่หลังแจ้งความปรากฏว่า นายอัจฉริยะ บอกไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็น 'ใคร' แต่นางมัลลิกายืนยันว่า แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ข้อความที่กล่าวหา วิญญูชนสามารถรู้ได้ว่าหมายถึงนางมัลลิกา ทำให้เธอไปแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาท
เราจึงมุ่งสอบว่านางมัลลิกาไปเกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากหรือไม่!?
วิธีการสอบของคณะกรรมการฯ คือ นำคลิปที่นายอัจฉริยะพูดทั้งหมด มาถอดเทป และไล่ดูกันทีละคลิป พบว่า คำกล่าวหามีแน่นอน กับคำพูดที่พูดวกไปวนมาหลายครั้งว่ามีการกักตุนหน้ากาก
“ยกตัวอย่างถ้าเป็นฝ่ายค้าน จะกล่าวหาว่าใครทุจริต ประพฤติมิชอบ ต้องมีข้อมูลว่า ทุจริตอย่างไร เช่น ซื้อของแพงกว่าปกติไหม มีบริษัทที่เกี่ยวข้อง มีการต่อรองกันไหม มีการนัดพบกันที่ไหน อย่างไร”
คณะกรรมการฯ จำเป็นจะต้องหาหลักฐานตรงนี้ให้ได้ว่า นางมัลลิกา เกี่ยวข้องอย่างไร จึงได้ทำจดหมายไปถึงนายอัจฉริยะ ขอให้ส่งเอกสารที่นางมัลลิกา เกี่ยวข้องมาให้
“นายอัจฉริยะ ตอบกลับมาว่าไม่ให้ เพราะคณะกรรมการฯ เราไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เขาจึงมอบให้เฉพาะตำรวจเท่านั้น”
จากนั้นคณะกรรมการฯ จึงทำจดหมายไปถึงตำรวจ เพราะจากภาพที่ปรากฏในข่าว นายอัจฉริยะได้นำซองเอกสารไปให้ตำรวจ และบอกว่าเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากาก
“เราเองก็ไม่รู้ว่า ในซองมีอะไรบ้าง ตำรวจก็ไม่ได้บอกเรา และก็ไม่ได้ให้ทางเรามา”
ขณะที่การแถลงข่าวต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อว่าตำรวจไปจับกุมหน้ากากอนามัยตามที่ต่างๆ ก็มีนักข่าวถามว่า มีนักการเมืองเกี่ยวข้องหรือไม่? ทางตำรวจก็บอกว่าไม่มี ทุกครั้งคณะกรรมการฯ ก็จะเก็บรวบรวมไว้
พร้อมกันนั้น คณะกรรมการฯ ก็ได้เชิญ นางมัลลิกา มาสอบ กรรมการทุกท่านก็ได้มีการซักถาม ซึ่งนางมัลลิกา ก็ปฏิเสธ และยืนยันว่าไม่ได้รู้จักใคร และในชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ทำธุรกิจหน้ากากอนามัย
“นางมัลลิกา บอกไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกักตุน และนำเอกสารการแจ้งความดำเนินคดีมาให้ ซึ่งใครจะบอกอย่างไรก็ได้ กรรมการทุกคนก็ต้องมาพิจารณาตัดสินตามข้อมูลที่มีอยู่”
และคณะกรรมการฯ จะนำข้อมูลมาประชุมอีกครั้งซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้าย และจะสรุปว่าคดีนี้ผลสอบเป็นอย่างไร ประมาณสัปดาห์นี้ หรือสัปดาห์หน้า
“กรรมการทุกท่านก็พอใจผลการซักไซ้และตอบคำถามของนางมัลลิกา” นายองอาจ ระบุ
จากนี้ไปคงต้องติดตามผลการตัดสินของคณะกรรมการฯ ซึ่งประกอบด้วย นายองอาจ เป็นประธาน นายอิสสระ สมชัย ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ นายวิรัช ร่มเย็น และนายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ร่วมเป็นกรรมการ ว่า ผลสอบนางมัลลิกา จะออกมาเช่นไร
แต่หากพิจารณาดูข้อมูลที่นายองอาจ อธิบายก็น่าจะพออนุมานได้ว่า ผลสอบครั้งนี้ นางมัลลิกา คือผู้บริสุทธิ์ไม่ได้เป็นตามที่นายอัจฉริยะ กล่าวหาใช่หรือไม่?
เพราะที่ผ่านมาสังคมก็ได้เห็นแล้วว่านางมัลลิกา ยังคงมั่นคงในเก้าอี้ที่ปรึกษากระทรวงพาณิชย์มาจนถึงเวลานี้!
ทั้งๆ ที่สมาชิกพรรค ปชป. ได้มีการเสนอต่อนายจุรินทร์ให้ปลดนางมัลลิกา จากตำแหน่งที่ปรึกษาไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่นายจุรินทร์ ในฐานะ รมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งนางมัลลิกา ไม่ดำเนินการใดๆ
ก็อาจจะแปลความได้หรือไม่ว่า? นายจุรินทร์ ก็คงเชื่อมั่นว่านางมัลลิกา เสมือนเชื่อมั่นตัวเองว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการกักตุนหน้ากาก จึงได้ฟ้องนายอัจฉริยะเช่นกัน
ดังนั้น ผลการสอบของคณะกรรมการฯ ที่มีนายองอาจ เป็นประธาน ซึ่งย้ำตลอดว่าต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ก็น่าจะทำให้ทุกอย่างชัดเจนและเป็นธรรมที่สุด ส่วนสังคม จะรับได้หรือไม่ได้? คงต้องพิสูจน์กันในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
อีกทั้งหากสถานการณ์โควิด-19 หมดไปและทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ บิ๊กตู่ จะจัดการผู้เกี่ยวข้องกับการกักตุนอย่างไร หรือรอให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อให้ฝ่ายค้านอภิปรายประเด็นหน้ากาก แล้วค่อยใช้สถานการณ์ตรงนั้น เขี่ยพรรค ปชป.ออกไปหรือไม่!?