แพทย์ทหารชี้รัฐต้องเร่งจัดการ และควบคุมการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่กำลังจะเข้าสู่ระยะที่ 3 หากจัดการไม่ดีจะมีคนตายมาก โดยเฉพาะ 'ผีน้อย' จากเกาหลีต้องถูกกักตัวทุกคน วงการแพทย์หนักใจ! เหตุ 'ศิริราช-จุฬาฯ' ไม่มีห้องแยกพิเศษ ขณะที่บำราศนราดูร และโรคทรวงอก มีห้องแยกพิเศษไม่ให้อากาศออกจริง แต่ไม่เพียงพอ ด้าน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ระบุทุกคนต้องป้องกันตัวเอง ล่าสุด เจ้าสัวซีพี 'ตั้งโรงงานผลิตหน้ากาก” เสร็จภายใน 5 สัปดาห์ แจกฟรีให้บุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนทั่วประเทศ!
มีคำถามเกิดขึ้นในสังคมว่าปัจจุบันการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ก้าวเข้าสู่ระยะที่ 3 หรือยัง? และมีโอกาสที่จะเกิดระยะที่ 3 ในประเทศไทยหรือไม่? เพื่อให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย บอกว่า การระบาดของโรค COVID-19 จะเข้าสู่ระยะที่ 3 เร็วหรือช้า ก็อยู่ที่การจัดการในระยะที่ 2 ไปยังระยะที่ 3 โดยระยะที่ 1 หมายถึงมีผู้ที่ติดเชื้อนี้มาจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศไทย ระยะที่ 2 คือการติดกันเองภายในประเทศ แต่ยังอยู่ในวงจำกัด เช่น กรณีปู่ย่าที่ไปญี่ปุ่นและนำมาติดหลาน ส่วนระยะที่ 3 จะมีการติดต่อระบาดภายในประเทศ เหมือนที่เกาหลี อิตาลี อิหร่าน จนลามไปทั่วเมือง มีคนเสียชีวิต มีคนป่วยเกิดขึ้นรวดเร็วในแต่ละวัน
“เรามีโอกาสเข้าสู่ระยะที่ 3 แน่ๆ แต่อยู่ที่การบริหารจัดการ อย่างกรณีผีน้อยจากเกาหลี 5,000 คน ที่ทยอยกลับเข้ามาเมืองไทย ถ้าเราบริหารจัดการกลุ่มคนเหล่านี้เหมือนที่เรานำคนไทยจากอู่ฮั่น 138 คนกลับมาและให้มีการตรวจคัดกรอง มีการควบคุมให้อยู่ที่กองทัพเรือสัตหีบได้ ระยะที่ 3 ก็จะไม่เกิด”
แต่ถ้าการบริหารจัดการกรณีผีน้อยไม่ได้ดี ทั้งในเรื่องข้อมูลคนป่วย จำนวนคนป่วย การควบคุม การติดตาม การดูแลไม่ดีก็จะนำไปสู่การระบาดได้
“ถ้าจัดการไม่ดี คนกลุ่มนี้จะเป็นพาหะ มีการกระจายเชื้ออย่างรวดเร็ว ทั้งภายในบ้าน ญาติพี่น้องกันเอง หรือจากการที่พวกเขาเดินทางไปยังที่ต่างๆ ระยะที่ 3 เกิดแล้ว”
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ บอกว่า รัฐบาลได้ประชุมเตรียมการรับมือสถานการณ์ COVID-19 เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจาย แต่ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่าคนที่ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอยู่ในขณะนี้จะไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจาย ดังนั้น ทุกคนจะต้องช่วยกัน คือต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แม้กระทั่งคนที่กลับจากต่างประเทศ ที่ต้องมีการกักตัวอยู่ที่บ้านก็ต้องทำตามคำแนะนำในเรื่องการดูแลตัวเองเพื่อจะไม่แพร่เชื้อให้แก่คนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เพราะถ้ามีคนในบ้านติดเพิ่มอีก ก็จะมีผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คนที่กักตัวอยู่ที่บ้านก็ต้องปฏิบัติตาม หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลอื่น ต้องมีระยะห่าง 1 เมตร 2 เมตร ตามประกาศ ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น”
ส่วนมาตรการในเรื่องของโรงพยาบาลสนาม ที่จะมารองรับคนป่วย COVID-19 นั้นก็เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะดำเนินการ แต่ที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนทุกคนในเวลานี้คือต้องรู้จักป้องกันตัวเอง!
ด้านแพทย์ทหาร บอกว่า สถานการณ์ COVID-19 ในขณะนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมาจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ และให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ของโรค หรือการแพร่กระจาย COVID-19 ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหาการตื่นตระหนกจนทำให้เกิดความโกลาหลหาหน้ากากเพื่อมาใส่กัน เหมือนกรณีหน้ากากอนามัยที่กำลังเกิดขึ้น ใครมีโอกาสตุนได้ก็ตุน เกิดการเก็งกำไร ปั่นราคากันในท้องตลาด จากราคาที่เคยขาย 1 กล่อง 50 แผ่น เพียง 45-100 บาท ก็ขึ้นไปถึง 800-900 บาท
กระทั่งส่งผลกระทบไปยังโรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกลุ่มคนที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย COVID-19 โดยตรง
“หน้ากากอนามัยขาดแคลนหนัก มีเหตุผล 2 อย่าง คือ เกิดความหวาดระแวง กลัวจะติดไวรัส COVID-19 ทำให้ซื้อตุนกันไว้ พ่อค้าก็เห็นประโยชน์ส่วนตัว ค้ากำไรเกินควรกันเสียเลย แสบกว่านั้นเอาหน้ากากมือสองออกมาขายซึ่งไม่ได้ป้องกันแต่เสี่ยงติดโรคมากขึ้น อีกเหตุผลหนึ่ง คือใส่โดยไม่จำเป็น จนทำให้หน้ากากขาดแคลนหนัก”
แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการทางกฎหมายเข้ามาจัดการพวกกักตุน ค้ากำไรเกินควรแล้วก็ตาม แต่ก็อาจแก้ปัญหาได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะหากมีการระบาดรุนแรงขึ้นมาจริงๆ หน้ากากอนามัยมีไม่เพียงพอก็จะเกิดผลกระทบตามมาและรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่
“COVID-19 เข้าสู่ระยะที่ 3 แน่นอน คือระยะที่คนไทยติดกับคนไทยในประเทศกันเอง ซึ่งจะติดต่อกันอย่างรวดเร็ว รัฐบาลต้องรีบออกมาตรการตั้งรับ และจัดการอย่างถูกต้องและรวดเร็ว”
โดยเฉพาะกรณีของ 'ผีน้อย' ซึ่งเป็นแรงงานไทยที่ไปทำงานประเทศเกาหลีใต้ และต้องการจะกลับเข้ามาในประเทศไทยกว่า 5,000 คน ทั้งที่เข้ามาแล้ว และกำลังจะเข้ามาอีก ซึ่งอาจจะมากกว่า 5,000 คน เนื่องเพราะสถานการณ์ COVID-19 ระบาดรุนแรงมากที่เกาหลี คนเหล่านี้ก็กลัวจึงอยากกลับเข้ามา รัฐบาลจะต้องมีมาตรการดูแลพวกนี้อย่างชัดเจน
“คนที่กลับเข้ามาแล้ว ไม่ได้บอก ไม่ได้แจ้งหลายร้อยคน เมื่อไม่มีการตรวจ คัดกรองที่ดี ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือไม่เป็น COVID-19 และคนกลุ่มนี้ก็อยู่ร่วมกับคนในบ้าน ออกไปเดินตามสถานที่ต่างๆ ไม่ปฏิบัติตัวตามหลักการแพทย์ หากพบว่าเขาเป็น จะเป็นตัวแพร่กระจายเชื้อต่ออย่างรวดเร็ว”
แพทย์ทหาร บอกอีกว่า พวกเราในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ ก็ดีใจที่รัฐบาลเริ่มออกมาพูดถึงการตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งพวกเราก็มีการคุยกันในกลุ่มแพทย์ด้วยกันว่ารัฐต้องรีบดำเนินการ โดยเฉพาะกับกลุ่มผีน้อย ต้องเข้ามาอยู่โรงพยาบาลสนามให้ครบ 14 วัน และต้องตรวจหาเชื้อหมดทุกคน และคนไหนเป็น ก็ต้องกักตัวไว้ รักษากันจนหายจึงจะให้ออกไปได้ ซึ่งรัฐจะต้องปฏิบัติต่อผีน้อยแบบเดียวกับคนไทยในอู่ฮั่น
“คนที่กลับจากอู่ฮั่นตอนนั้นอยู่ในความดูแลของแพทย์ทหารเรือ ทุกคนถูกตรวจหมด ใครเป็น ใครไม่เป็นต้องชัดเจน คนที่เป็นก็โดนกักตัวไว้ที่หนึ่งเพื่อทำการรักษา คนที่ไม่เป็นก็ต้องกักบริเวณแยกไว้เลย”
ดังนั้น 'ผีน้อย' ที่เข้ามาแล้วควรจะเข้ามาตรวจและอยู่โรงพยาบาลสนามโดยด่วนไม่ควรให้คนเหล่านี้ไปอยู่บ้านเด็ดขาดเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะที่รุนแรงได้ง่ายขึ้น
ปัญหาที่น่าห่วงหากเข้าสู่ระยะที่ 3 และเราควบคุมไม่ได้จะมีการสูญเสียเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อประเทศอย่างรุนแรง
“บุคลากรทางการแพทย์จะไม่พอ ห้องแยกไม่พอ ยาไม่พอ หน้ากากอนามัยไม่พอ พูดง่ายๆ จะมีคนตายเยอะ ทั้งที่ความจริงคนพวกนี้อาจจะไม่ต้องตายก็ได้ คือบ้านเราตอนนี้ อัตราการตายต่ำเพียง 1 คน เพราะมีคนติดไวรัสสะสมอยู่ประมาณ 41 คน ซึ่งสถานการณ์แบบนี้โรงพยาบาลมีเพียงพอ แต่ถ้ามีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลายร้อยหลายพันคน จะวิกฤตทันที สถาบันบำราศนราดูรก็ไม่พอ สถาบันโรคทรวงอกก็ไม่พอ จุฬาฯ ศิริราช ก็ไม่มีห้องแยกให้คนพวกนี้ ก็จะมีการกระจายเชื้อเพิ่มขึ้นอีก มันจะควบคุมไม่ได้ เหมือนเกาหลีใต้ เพราะเราต้องเอาคนเหล่านี้มาไว้ในห้องแยกพิเศษ ไม่ให้อากาศออกมา ตรงนี้แหละคือสิ่งที่แพทย์กังวลที่สุด”
สำหรับทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ต้องรีบตั้งโรงพยาบาลสนาม นำ 'ผีน้อย' เข้ามากักไว้ก่อนโดยใช้พื้นที่ทหาร ซึ่งกรมแพทย์ทหารบก กรมแพทย์ทหารเรือ กรมแพทย์ทหารอากาศ มีความพร้อมมากทั้งในเรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือ บุคลากรทางการแพทย์พร้อมหมด รอแต่ว่ารัฐบาลจะเลือกใช้พื้นที่ไหนบ้าง
“รัฐบาลต้องบอกผีน้อยให้ชัดเจนว่าต้องกักตัวนะ ถ้าใครฝ่าฝืนต้องได้รับโทษ เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนต้องตระหนักและให้ความร่วมมือ”
แพทย์ทหาร บอกอีกว่า เวลานี้อยากให้ประชาชนติดตามข่าว และให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยทางการแพทย์ เช่น สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดและแพร่กระจายของ COVID-19 อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องออกแถลงการณ์ ออกทีวี บอกความจริงในเรื่องการแพร่กระจายให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อไม่ให้เกิด Panic หรือความตื่นตระหนก พร้อมบอกถึงวิธีการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง ใครไม่ทำก็ต้องมีบทลงโทษ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายระยะที่ 3 ให้ได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของกลุ่มเสี่ยงต่างๆ คือคนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว คนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากต้องติด COVID-19 จะมีโอกาสเสียชีวิตสูง
ล่าสุด นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด สั่งทุ่มเงินกว่า 100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกจ่ายฟรีแก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่มีความจำเป็น และประชาชนทั่วไปที่ขาดโอกาสในการเข้าถึง ในช่วงเวลาวิกฤตที่คนไทยขาดแคลนหน้ากากอนามัย โดยจะใช้ศักยภาพของเครือข่ายการลงทุนที่มีอยู่ทั่วโลก จัดหาเครื่องจักร และวัตถุดิบที่ได้มาตรฐานสุขอนามัย สามารถใช้ในการป้องกันเชื้อโรคโดยเฉพาะเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะสร้างเสร็จภายใน 5 อาทิตย์ จะมีกำลังการผลิตประมาณเดือนละ 3 ล้านชิ้นเพื่อแจกจ่ายต่อไป