เปิด 13 อาชีพที่สมองกลจะเข้ามามีบทบาทแทนแรงงานมนุษย์ ชี้คนงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบมากสุด ตามด้วยพนักงานการเงิน คาดไม่เกิน 2 ปี ผู้ผลิตยานยนต์ อิเล็กทรอนิค และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะนำหุ่นยนต์แขนกล มาใช้ 100% ขณะที่ภาครัฐเร่งผลักดันผู้ให้บริการด้าน AI ตั้งเป้าใน 5 ปี มีผู้ให้บริการ 1.4 พันราย ด้านพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง จับมือวิศวะ จุฬา และมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล เปิดหลักสูตรวิศวกรรมหุ่นยนต์ และวิศวกรรมไฟฟ้า-คอมพิวเตอร์ ผลิตยอดฝีมือ
เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งสำหรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เนื่องเพราะการนำเครื่องจักรมาพัฒนาให้มีความเฉลี่ยวฉลาดเหมือนกับมนุษย์นั้นกำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ สำหรับในประเทศไทยนั้น AI ได้ถูกพัฒนาไปไกลชนิดที่หลายคนนึกไม่ถึง โดยบางอุตสาหกรรมมีโรงงานที่ได้นำ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตทั้ง 100% แล้ว ขณะที่บางสายงานได้ทำการศึกษา พัฒนา และเตรียมที่จะนำหุ่นยนต์มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สถาบันที่มีการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อันดับต้นๆของประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาด้าน AI ของไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า ประเทศไทยก็เช่นเดียวกับนานาประเทศ ที่หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่เป็นกลไกสำคัญในการปฎิวัติอุตสาหกรรม และการพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไปสู่ ไทยแลนด์ 4.0 ความก้าวหน้าของหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจะเป็นตัวขับเคลื่อนและปรับเปลี่ยนหลายธุรกิจอุตสาหกรรม
อีกทั้งการที่เราก้าวสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ที่แม้ด้านหนึ่งจะส่งผลให้การค้าในภูมิภาคมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งการแข่งขันทางการค้าก็เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นการนำ AI มาใช้ในการกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ
“ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ผู้ประกอบการในบางอุตสาหกรรมประสบอยู่ ซึ่ง AI จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ปัจจุบันแม้แต่ธุรกิจก่อสร้างก็มีการนำ AI มาใช้ เช่น ใช้ในการยกอุปกรณ์ก่อสร้างหนักๆ ขณะที่โรงงานต่างๆได้นำ AI มาใช้บางแล้ว แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่ง โดยผู้ผลิตยานยนต์บางรายมีการใช้ AI แทนแรงงานมนุษย์ถึง 100 % และเชื่อว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมยายนยนต์ อุตสาหกรรมิเล็กทรอนิค และอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนมาเป็นแขนจักรกลทั้งหมด ” รศ.ดร.คมสัน ระบุ
ด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อรองรับกับความต้องการเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของภาครัฐเองก็มีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยกำหนดให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่รัฐบาลส่งเสริมการลงทุน พัฒนาบุคคลากร และการผลิตในประเทศไทย ท้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ) ระบุว่าได้มีมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายให้อุตสาหกรรมไทยมีผลผลิตมวลรวมสูงขึ้น 50 % มีผู้ประกอบการ SI (System Integrater) ซึ่งให้บริการวิเคราะห์ ออกแบบและติดตั้งระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เกิดขึ้นอย่างน้อย 1,400 ราย และมีการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ซึ่งจะสามารถช่วยลดการนำเข้าหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติจากต่างประเทศได้ถึง 30% หรือคิดเป็นมูลค่าถึง8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งสามารถส่งออกนวตกรรม AI ไปขายยังต่างประเทศได้ภายในปี 2569 ในส่วนของสถาบันการศึกษาในฐานะที่เป็นผู้ผลิตบุคลากรออกมาช่วยพัฒนาประเทศ ต่างก็ตื่นตัวในเรื่องนี้ เร่งสร้างบุคลากรที่จะเข้ามาออกแบบกลไกและพัฒนาระบบเพื่อให้เหมาะกับการนำไปใช้ในสายงานต่างๆ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมAI ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเรื่องนี้เช่นกัน โดยคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า นอกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าฯลาดกระบัง จะมีการพัฒนาหลักสูตรด้าน AI เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแล้ว เรายังได้ร่วมกับ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลลอน สหรัฐอเมริกา และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดหลักสูตรปริญญาตรี สองปริญญาข้ามสถาบัน (Double degree) ด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์ และ หลักสูตรด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ (Electrical & Computer Engineering: ECE) ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการสอนมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกได้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 นี้
นอกจากนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากเอบีบีกรุ๊ป บริษัทด้านวิศวกรรมที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในการสร้างศูนย์ Robotics Center ซึ่งศูนย์นี้จะมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ในปลายเดือนสิงหาคม 2561นี้
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้มากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ บริการการแพทย์ และบริการทางการเงิน โดยในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นกำลังจะเปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนไปสู่จักรกลหุ่นยนต์ โดยได้มีการนำนวัตกรรมแขนกลอุตสาหกรรม มาประสานเข้ากับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เชื่อมโยงระบบซอฟแวร์เข้ากับแขนกล ซึ่งทำหน้าที่หยิบเอาชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบ โดยยังมีคนเป็นผู้ควบคุมอีกชั้นหนึ่ง ต่างจากอดีตซึ่งภาคอุตสาหกรรมไทยใช้เครื่องจักรร่วมกับแรงงาน แต่แน่นอนว่าในส่วนของแรงงานระดับล่างของอุตสาหกรรมยานยนต์ย่อมได้นับผลกระทบอย่างแน่นอน
ขณะที่บริการการแพทย์ก็มีการนำนวัตกรรมAI มาใช้อย่างกว้างขวางเช่นกัน โดยปัจจุบันทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนต่างก็นำหุ่นยนต์มาใช้ในการช่วยรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะหุ่นยนต์ผ่าตัด ซึ่งมีความแม่นยำสูง สามารถผ่าตัดในเคสที่มีความซับซ้อน ช่วยลดความเจ็บปวดจากการผ่าตัดเนื่องจากแผลจะมีขนาดเล็กกว่าการผ่าตัดด้วยแพทย์ อาทิ หุ่นยนต์ผ่าตัดสมอง ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ,หุ่นยนต์ดาวินชี ซึ่งโรงพยาบาล ศิริราชลงทุ่มเงินหลายร้อยล้านบาทเพื่อนวัตกรรมนี้ หรือ หุ่นยนต์ผู้ช่วยศัลยแพทย์ผ่าตัดกระดูกสันหลัง ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นอกจากนั้นยังมีหุ่นยนต์พยาบาล ที่ช่วยเดินส่งเอกสารและสิ่งของ ซึ่งโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนอยู่ระหว่างการทดลองใช้อีกด้วย อย่างไรก็ดีแม้จะมีการนำ AI มาใช้ในบริการทางการแพทย์ แต่บุคลากรด้านนี้ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ เพราะ AI ไม่สามารถเข้ามาทำหน้าที่ได้ทั้งหมด
ส่วนบริการทางการเงิน นั้นนอกจากจะมีการนำAI มาใช้ในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆของลูกค้าเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังนำมาใช้ให้บริการฝาก ถอน และรับชำระค่าบริการต่างๆ แทนพนักงาน ที่เรารู้จักกันในนามโมบายแบงก์กิ้งนั่นเอง
นอกจากนี้ AI ยังถูกนำไปใช้ในธุรกิจอื่นๆอีกมาก เนื่องจากนวัตกรรมดังกล่าวสามารถทดแทนมนุษย์ในการทำงานหนัก งานที่ต้องการความแม่นยำสูง และงานเสี่ยงอันตราย ช่วยเพิ่มปริมาณการผลิต ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการที่แตกต่าง ลดต้นทุน และลดการสูญเสีย อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสามารถส่งมอบงานหรือสินค้าได้ตรงต่อเวลาอีกด้วย ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ AI จะเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ในหลายธุรกิจของไทย ซึ่งส่งผลให้เกิดการปรับลดพนักงานตามมา ได้แก่
1.อุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากมีการนำ AI มาใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต ความจำเป็นในการว่าจ้าง พนักงานจึงลดลง โดยฉพาะพนักงานระดับล่างที่อยู่ในสายการผลิตนั้นสุ่มเสี่ยงที่จะตกงานมากที่สุด
2.อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิค จะมีการนำระบบแขนจักรกลมาใช้ในกระบวนการผลิต แทนแรงงานมนุษย์ ทำให้แรงงานค่อยๆหมดความหมายไปไหนที่สุด
3.ธุรกิจการเงิน ซึ่งบุคลากรได้แก่ พนักงานธนาคารและประกันภัย นั้นคาดว่าทุกธนาคารต่างลงทุนใช้ AI เพื่อบริหารบิ๊กดาต้า นำมาวิเคราะห์สร้างกลยุทธ์บริการลูกค้าที่โดนใจ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พนักงานมีความจำเป็นน้อยลงจึงมีการยุบสาขา และลดพนักงานลง
4.Call Center และพนักงานขายผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งในระยะเวลาอันใกล้จะถูก AI เข้ามาแทนที่ โดยไม่ต้องใช้พนักงานอีกต่อไป
5.พนักงานบัญชี อาชีพนี้ถูกคาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานลดลง 8% ในปี 2024 เนื่องจากการเก็บรายรับ รายจ่าย การลงบัญชี จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปออกมาขายมากมายทำให้เจ้าของกิจการสามารถลงบัญชีได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องจ้างพนักกงานบัญชี
6.เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล เอไอช่วยให้ระบบที่ใช้คนและงานเอกสารเป็นพื้นฐาน ใช้เวลาและงบประมาณ
สูง ผ่านระบบคำนวณค่าตอบแทนอัตโนมัติช่วยประหยัดเวลาในการจัดสรรสวัสดิการและค่าตอบแทนให้พนักงานจำ เช่น โปรแกรม Ultipro และ Workday ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
7.พนักงานต้อนรับ ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติและระบบการลงตารางสามารถแทนที่ตำแหน่งพนักงาน
ต้อนรับได้เป็นอย่างดี จึงมีแนวโน้มว่าในอนาคตบริษัทต่างๆอาจหันมาใช้ระบบอัตโนมัติแทนการจ้างพนักงาน
8.พนักงานขายโฆษณา การใช้สื่อโฆษณาปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงจากสื่อเดิมไปเป็นสื่อดิจิทัลมากขึ้น และสื่อใหม่เหล่านี้สามารถสร้างระบบให้ผู้ใช้บริการซื้อโฆษณาได้ด้วยตัวเอง จึงไม่มีพนักงานขายมาเกี่ยวข้องในสื่อดิจิทัล ในอนาคตพนักงานขายโฆษณาจึงมีความจำเป็นลดลง
9.พนักงานพิสูจน์อักษร เนื่องจากปัจจุบันโปรแกรมพิสูจน์อักษรถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย จากฟังก์ชั่นพื้นฐานอย่าง Microsoft word ไปจนถึงโปรแกรมตรวจพิสูจน์อักษรอย่าง Grammarly และ Hemingway App และยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่ช่วยให้นักเขียนสามารถตรวจพิสูจน์อักษรได้ด้วยตัวเอง แนวโน้มการจ้างงานพนักงานพิสูจน์อักษรจึงลดลง
10.เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ หลายๆองค์กรเริ่มใช้ Bots และการตอบแบบอัตโนมัติ ในการช่วยแก้
ปัญหาให้พนักงานและลูกค้าในอนาคต ทั้งวิธีการใช้ มีคำแนะนำเป็นขั้นเป็นตอนในการแก้ปัญหาเบื้องต้น จึงไม่แปลกใจที่ในอนาคตความต้องการบุคลากรด้านนี้จึงน้อยลง
11พนักงานขายสินค้าตามห้าง ปัจจุบันเริ่มมีห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่ต้องมีพนักงาน
ขณะที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์หลายๆบริษัท ได้เพิ่มความเป็นส่วนตัวและอำนวยความสะดวก ให้ลูกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการแล้วสามารถจ่ายเงินได้ด้วยตัวเอง ส่วนผู้บริโภคในปัจจุบันก็สามารถหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจจากอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาพนักงานขายของตามห้างอีกต่อไป
12.คนเดินหนังสือ,พนักงานส่งของ ในอนาคตพนักงานส่งของอาจจะถูกแทนที่ด้วยโดรนหรือหุ่น
ยนต์ ซึ่งแม้ตอนนี้อาจยังไม่ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เรียบร้อย แต่เชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวจะเห็นผลชัดเจน ภายใน 2024
13.นักวิจัยการตลาด แม้นักวิจัยการตลาด ถือเป็นหน้าที่สำคัญในการสร้างข้อความและคอนเทนท์ให้สินค้าบริการต่างๆ แต่ระบบอัตโนมัติ สามารถสร้างข้อมูลเหล่านี้ได้มากกว่าและง่ายกว่า เช่น GrowthBot สามารถรวบรวมงานวิจัยการตลาดในหัวข้อที่คุณสนใจและคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งแจ้งผ่านทางคำสั่งทาง Slack (โปรแกรมแชทสำเร็จรูปเจ้าหนึ่ง) ได้ทันที ในอนาคตนักวิจัยตลาดจึงเสี่ยงที่จะตกงานเช่นกัน
“ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่า AI เป็นกลไกสำคัญที่สามารถตอบโจทย์ทั้ง ผู้ประกอบการ ผู้บริบริโภค และการตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของผู้บริโภค AI จึงถูกนำมาใช้แทนบุคลากรที่เป็นมนุษย์ในหลายๆตำแหน่ง แต่บุคลกรเหล่านี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่นเพื่อช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ” รศ.ดร.คมสัน ระบุ