หลวงปู่พุทธะอิสระ ยัน ‘บิ๊กตู่’ไม่ตระบัดสัตย์ จัดการพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายแน่ บอกวิธีการลั่นกลองรบ 3 ครั้ง ที่ดีเอสไอและตำรวจใช้ เป็นยุทธพิชัยสามก๊ก ที่คนศึกษาตำราพิชัยยุทธ อ่านเกมนี้ออก เป็นการเชือดนิ่ม ๆ ให้กระอักเลือด ทุรนทุรายเหมือนคนเสียสติ ต้องควักเงินระดมคนเข้าป้องวัด จ่ายค่าหัวคนสวมบทสาวกหัวละ 500 บาท โกนหัวเป็นพระหัวละ 2 พันบาท เผยหากดีเอสไอทำเต็มที่ไม่สำเร็จ ถึงคิว ‘หลวงปู่’ใช้ 3 ยุทธศาสตร์ ‘ทหาร+พระป่า+กองโจร’ เข้าจัดการธัมมชโย ลั่นถ้ามีธัมมชโย พระธรรมวินัยอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีพุทธอิสระอีกต่อไป
กรณีการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย ที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เอาจริง โดยเฉพาะการกระทำของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทหาร และฝ่ายปกครอง ที่ใช้วิธีการประกาศว่าจะเข้าไปดำเนินการเมื่อไหร่ อย่างไร จึงเปรียบเสมือนการแหวกหญ้าให้งูตื่น เท่ากับเป็นการช่วยพระธัมมชโยชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้หลวงปู่พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ที่คนวงในเชื่อว่ารู้ข้อมูลการดำเนินงานของรัฐบาลและดีเอสไอ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนกล่าวว่า
ดีเอสไอใช้ ‘ยุทธพิชัยสามก๊ก’เชือดธัมมชโย
“ฉันเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาจริง ไม่ตระบัดสัตย์ ตามที่กล่าวไว้ว่าจะคืนความสุขให้ประชาชน รัฐบาลยังคงเดินหน้าทำอยู่ แต่ในประเด็นของพระธัมมชโย สังคมอาจเห็นว่า ล่าช้า ไม่ทันใจ ทำไมจึงต้องถอยทัพและปล่อยเวลาให้ล่วงเลย ยืดเยื้อยาวนาน ความจริงคือวิธีทางยุทธศาสตร์ ยุทธพิชัยสามก๊ก”
โดยการกระทำของรัฐบาล ดีเอสไอ ตำรวจ เป็นการใช้จิตวิทยา ในเชิงยุทธศาสตร์เปิดประตูเมืองเพื่อหลอกล่อคน ให้เข้าใจว่าในเมืองนั้นเป็นเมืองที่กว้างขวางใหญ่โต มีกำลังวังชาทหารมาก และการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและฝ่ายปกครอง เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ทั้งหมด
สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาจะไม่รู้ว่ากระบวนการที่รัฐบาลกำลังทำเปรียบเสมือนยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีในสามก๊ก ที่ “ขงเบ้ง” ไปนั่งตีขิมอยู่บนเชิงเทิน ทั้งที่ในเมืองไม่มีอะไร แต่เปิดประตูเมืองล่อสุมาอี้
นอกจากนั้น “ขงเบ้ง” ยังขึ้นไปนั่งตีขิมอยู่บนภู แล้วล่อให้เสือทุรนทุรายตีฆ้อง ร้องป่าว ตะโกนโหวกเหวก โวยวาย แล้วเสือเมื่อทุรนทุราย ก็มีการระดมพลพรรคคนรักเสือ รักธัมมชโยให้มารวมตัวกัน หลายครั้งหลายครา
ทั้งนี้เราอย่าลืมมองในมุมกลับว่า ในการระดมพลทุกครั้ง ธรรมกายต้องจ่ายเงิน เป็นการช่วยเศรษฐกิจของชาติในระดับหนึ่ง อย่างน้อยคือ ค่ารถ ค่าเดินทางที่ธรรมกายต้องจ่ายให้คนที่ระดมมา เรียกว่าการตีให้น่วมเพื่อให้ปล่อยเงินออกมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธวิธี เพราะต้องนึกว่าค่าใช้จ่ายของคนเป็นแสนมาอยู่ในที่ซึ่งต้องกิน ต้องใช้ ต้องนอน
เกณฑ์คนต้องควักเงินจ่ายค่าหัวละ 500 จนถึง 2 พันบาท
หลวงปู่เล่าว่า “เรื่องนี้ได้รับข้อมูลมาจากคนที่โดนเกณฑ์จากต่างจังหวัด ทั้งคนเฒ่าคนแก่ ได้รับหัวละ 500 บาท มีที่กินที่นอนให้เสร็จ ทำหน้าที่เพียงนุ่งขาว ห่มขาว นั่งสวดมนต์ไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่ต้องทำอะไร มีค่าจ้างวันละ 500 บาท อย่างนี้ก็ให้รัฐประกาศจะเข้าจับอีกสัก 100 ครั้ง เดี๋ยวเงินก็หมด เพราะขนาดโกนหัวยังจ้างคนละ 2,000 บาท ลองไปตรวจดูใบสุทธิฯก่อนว่ามีหรือไม่ ปล่อยให้ระดมเข้ามาเรื่อยๆ หมดค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 4-5 แสนต่อวัน”
ขณะที่หลวงปู่ฯ เล่าต่ออย่างขัน ๆ ว่า ความจริงที่ควรรู้ คือ ไม่มีตำรวจไหนโง่ ที่จะไปจับโจรแล้วบอกว่าจะไปจับแน่นอน แต่การที่ต้องบอกเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่ง อย่าไปตีโพยตีพายว่า ทำไมไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย ในฐานะที่หลวงปู่ฯเคยเป็นแกนนำมาก่อน จึงรู้ดีว่า “นี่คือยุทธศาสตร์อย่างหนึ่ง” ที่จะทำให้ “คน” ทุรนทุราย ตกใจ ตีโพยตีพาย และแสดงกิริยาออกมา ซึ่งฝ่ายการข่าวจะสามารถจับต้นชนปลาย รู้ทิศทาง ฉ้อฉลกลไก ที่แน่ๆ คนที่เดือดร้อนที่สุดคือคนที่โวยวาย ซึ่งก็คือธรรมกายและสาวก พวกเรานั่งเชียร์กันเฉยๆ ไม่ได้เดือดร้อน ตำรวจก็ไม่เดือดร้อน แต่ธรรมกายฟังข่าวแล้วสะดุ้ง ต้องมีการรวมพลมาหลายรอบ
ความจริงหลวงปู่ฯ ก็อยากให้ดีเอสไอประกาศ 3 วันครั้ง หรือไม่ก็ออกหมายจับ 7 วันครั้ง 15 วันครั้ง ออกทุกเดือน พวกธรรมกายจะได้จ่ายเงินมากๆ เงินที่ดูดจากสังคมจะได้กลับคืนสู่สังคมเยอะๆ เพียงเท่านี้ เมื่อหมดเงิน หมดแรงค่อยเข้าไปนวด พยุงเอาธัมมชโยออกมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าอยู่หรือไม่ ที่แน่ๆ คือ นี่เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธี เพราะฉะนั้นอย่าไปบีบคั้น ตำหนิติเตียนรัฐบาล
“สังคมต้องเชื่อใจและปล่อยให้ทำไปตามยุทธศาสตร์ ซึ่งหลวงปู่เชื่อว่าในฐานะของลูกผู้ชายชาติทหารแล้วนั้น คุณประยุทธ์คงไม่ตระบัดสัตย์ การคืนความสุขให้ประชาชน และการกำจัดอลัชชีที่เกาะพระธรรมวินัยหากิน ก็เป็นความสุขของคนทั้งชาติเหมือนกัน”
ตีธรรมกายให้น่วมสุดท้าย ‘ดีเอสไอ’ตลบหลัง
หลวงปู่ฯ บอกว่า ทุกครั้งที่มีหมายจับและมีการให้สัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่รัฐ พวกธรรมกายจะทุรนทุราย ตีโพยตีพาย ขวนขวาย ทุกข์ยาก เดือดร้อน แล้วความสุขจะเกิดจากไหน ดังนั้นการบีบ ขยำ นวด ไปเรื่อยๆ ก็เช่นเดียวกับลูกกระท้อน ถ้านำมาจากต้นแล้วกินเลยอาจจะเปรี้ยว แต่หากนวดบ่อยๆ นานๆ จะมีรสหวาน วันนี้รัฐบาลกำลังมอง “ธัมมชโย และธรรมกายเป็นเหมือนลูกกระท้อน ที่ต้อง “นวดบ่อยๆ นวดเรื่อยๆ นานๆ นวดสักที เงินธัมมชโย เงินธรรมกาย จะต้องจ่ายออกมาทุกครั้งที่มีการนวด”
ถ้าเป็นคุณนอนอยู่บ้าน แล้วรู้ว่าตำรวจจะมาบุกจับ จะนอนเป็นสุขหรือ ต้องคิดตลอดเวลาว่าจะป้องกันอย่างไร อย่างนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ประสาทเสียได้ง่ายๆ เรียกว่าเป็นยุทธวิธีเชือดนิ่มๆ ของทางเจ้าหน้าที่ ตีกลองไปเรื่อย พอจะหลับก็ตีกลอง ตีทีก็จ่ายเงินที ขีดเส้นตายไปเรื่อยๆ ก็ระดมมาเรื่อยๆ คนที่ทำมวลชน จะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเป็นยุทธศาสน์ของรัฐบาล ไม่ใช่รัฐบาลหงอ รัฐบาลกลัว
ที่เป็นผลดีอีกเรื่องคือ สังคมเริ่มจับตามองคนธรรมกายว่า จะอยู่กับเราได้หรือไม่ เมื่อคุณปฏิเสธกฎหมาย คุณเป็นอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นคนที่นับถือธรรมกายก็อยู่ยากขึ้นในสังคมไทย การกระทำของรัฐบาลไม่ได้เป็นการละเว้น เพิกเฉย หรือล่าช้า แต่เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการนวดกระท้อนให้นิ่ม นวดขนุนให้เละ แล้วสุดท้ายค่อยตลบหลัง
“เชื่อว่ารัฐบาลมียุทธศาสตร์ ยุทธวิธีที่จะดำเนินการ สิ่งที่ทำอยู่นั้น คนที่รู้ตำราพิชัยยุทธเท่านั้นจึงจะอ่านเกมออก รัฐบาลไม่ได้โดนธัมชโยครอบ ทหารตำรวจไม่ได้โดนธัมมชโยปั่นหัว แต่ทหารตำรวจกำลังจะปั่นหัวธัมมชโย ประกาศกี่ครั้งก็ระดมคน ก็ถือว่านำเงินไปแจกจ่ายชาวบ้านบ้างก็ดี ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเป็นการให้โอกาสโจร แต่เป็นการลิดรอนโอกาสไปเรื่อยๆ สังคมก็เข้าใจเรื่องธรรมกายมากขึ้น ผู้คนเริ่มหันมาสนใจ เรียกว่าได้ผล”
ซึ่งจากเหตุการณ์ที่มีการนำหมายศาลเข้าค้นวัดพระธรรมกาย 3 ครั้งในรอบปีนี้ (16 มิ.ย., 30 พ.ย., 10 ธ.ค.) เปรียบเสมือนการตีกลองเพื่อให้คนได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริง แต่จากการกำหนดเส้นตาย และเมื่อถึงเวลาที่สิ้นสุดอำนาจหมายค้นนั้น ดีเอสไอก็ไม่สามารถจับกุมพระธัมมชโยได้เลยสักครั้ง ทำให้หลายคนอาจคิดไปได้ว่า เป็นการดำเนินการเพื่อปล่อยให้ผู้ต้องหาหลบหนีไป
การกระทำและวาทกรรมของธรรมกายระหว่างถูกหมายค้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตามที่หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าว เพราะหลังจากที่หมายค้นออกมาในแต่ละครั้ง นำมาสู่บรรยากาศความตึงเครียดที่วัดพระธรรมกาย กรณีหมายค้น 4 วันที่ศาลได้ออกให้ระหว่างวันที่ 13-16 ธันวาคมนั้น วัดพระธรรมกายได้ออกมาเคลื่อนไหวรับมือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีการระดมคนในลักษณะคล้ายโล่มนุษย์ เช่นเดียวกับการกระทำต่อหมายค้นรอบที่แล้ว
ขณะเดียวกันยังมีเหตุการณ์ในลักษณะใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้น เช่น การก่อสร้างกำแพงรั้ว นำพระสงฆ์จำนวน 4 - 5 รูป ใส่หน้ากากอนามัยบังหน้า พร้อมนำกล้องส่องทางไกลมาซุ่มส่องดูอยู่บนกำแพงวัด รวมถึงการใช้ความรุนแรงของพระและศิษย์ ที่ปรากฏในคลิปของทีมข่าวสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวี ขณะที่กำลังถ่ายภาพบรรยากาศบริเวณประตู 5 ปรากฏว่ามีพระสงฆ์รูปหนึ่ง เข้ามาตบช่างภาพที่ถือกล้อง และใช้กระบอกแสงเลเซอร์ยิงที่กล้อง ซึ่งพระรูปดังกล่าวพูดว่า
“ผมทำอย่างนี้ล่ะครับ ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็ มึง มีง” ขณะที่ช่างภาพพยายามกล่าวว่า “อย่าครับ พระอาจารย์ครับ กล้องผมพังครับ พระอาจารย์” พระรูปดังกล่าวก็พูดไล่ว่า “ไป” และในนาทีต่อมามีเจ้าหน้าที่ของวัดนำโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพช่างภาพ และใช้กระบอกไฟฉายยิงเลเซอร์ส่องมาที่กล้องของช่างภาพ เป็นต้น
เช่นเดียวกับวาทกรรมที่จ้องเล่นงานดีเอสไอ โดยหลังจากมีรายงานข่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมประสานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและการประปาภูมิภาค เพื่อเตรียมใช้มาตรการตัดน้ำ-ไฟวัดพระธรรมกาย
ล่าสุดแม้จะยังไม่มีการตัดน้ำ-ไฟแต่อย่างใด แต่วัดพระธรรมกายก็มีการปล่อยข้อความในโซเชียลว่า “ตัดน้ำ ตัดไฟวัด ยกกำลังบุกจับพระชรา ฯลฯ” พร้อม ๆ กับเจ้าหน้าที่รัฐได้ติดป้ายอายัดกำแพง 17 จุด เพราะก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต
สุดท้ายตำรวจได้นำหมายจับพระธัมมชโยและนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกวัดพระธรรมกาย ไปติดไว้ที่ประตู 7 และให้รักษาการเจ้าอาวาสส่งตัวทั้ง 2 ให้กับเจ้าหน้าที่ภายใน 7 วัน พร้อม ๆ กับข่าวดีเอสไอ เตรียมขอศาลอนุมัติออกหมายค้นวัดพระธรรมกายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะขอดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เตรียมใช้ ‘ยุทธศาสตร์ทหาร+พระป่า+กองโจร’ทะลวง หากดีเอสไอไม่สำเร็จ
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า หากดีเอสไอมีการดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ ก็ถึงคราวที่หลวงปู่ฯจะออกโรง โดยระดมคนออกมาจัดการกับพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายเอง
“แต่ถ้าถึงวันหนึ่งบอกว่าทำอะไรไม่ได้ และประชาชนกว่า 70 ล้านเริ่มเบื่อแล้ว “หลวงปู่ฯ” จะนำไปเอง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องไม่เร่งรัดรัฐบาล ให้ดำเนินการไปตามสถานการณ์ แล้วรอให้สุกงอมเต็มที่ก่อน รวมทั้งเราอยู่ในช่วงไว้อาลัยพ่อหลวง จึงควรรอไปก่อน
ต่อจากนั้นจะได้รู้ว่าเจ้าคณะปกครองตำบล อำเภอ จังหวัด หน ภาค นั่งกินเงินเดือน รับตำแหน่งแล้วไม่ทำงานจะอยู่ได้อย่างไร หลวงปู่จะไปเยี่ยมจะนำสังฆทานชุดใหญ่ไปถวายเหมือนที่ไปถวายวัดปากน้ำ ไม่ต้องห่วงเพราะมียุทธวิธีเยอะ ไปคุยนุ่มๆ ปล่อยให้พระกล่อมคนจนเคลิ้ม แล้วไม่ทำอะไรไม่ใช่วิธีของพุทธะอิสระ”
โดยหลวงปู่ฯ จะใช้ “ยุทธศาสตร์ของทหาร” ผสมกับ “ยุทธวิธีพระป่า” ตลอดจน “ยุทธวิธีกองโจร” เข้าทะลวง ซึ่งยุทธศาสตร์ของทหาร คือ “รู้เขารู้เรา” รู้จักรบ รู้จักรับ ส่วน “ยุทธวิธีพระป่า” คือ การใช้ปัญญาใคร่ครวญวิเคราะห์ มีสติในกาย วาจา และใจ โดยใช้หลักคิด และดูตัวเองเป็นหลัก เมื่อดูตัวเองเป็นหลักและเข้าใจตัวเอง
“เราจะรู้ว่าคนที่เป็นคู่ต่อสู้เรา เมื่อไม่สงบนิ่ง และไม่เข้าใจตัวเอง สุดท้ายก็จะได้อย่างที่เห็น ออกมาโวยวาย ตีโพยตีพาย ระดมพล สร้างความเดือดร้อน โกหกไปวันๆ พระป่าเดินอย่างงดงาม ผึ่งผาย ไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา กลัวตาย สู้แบบไม่มีชีวิต ทุ่มเท เพราะชีวิตไม่ได้มีค่าอะไรกับพระป่า ผู้มีปัญญาจะรู้ดี คนที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้กับพระป่าต้องไม่รักตัว ไม่กลัวตาย ซึ่งธัมมชโยไม่ใช่ แถมยังมียุทธวิธีกองโจรแทรกซึม หลบๆ แอบๆ”
จัดการพระธัมมชโยไม่ได้ พุทธศาสนาจะเสียหายมาก
หลวงปู่พุทธะฯ กล่าวว่า แม้ว่าวันนี้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังไม่มั่นใจว่าธัมมชโยยังคงพำนักอยู่ในประเทศ หรือหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องจับธัมมชโยให้ได้ เพราะถ้าไม่สามารถจัดการกับพระธัมมชโยได้ ศาสนาพุทธจะเสียหายเป็นอันมาก
ที่ผ่านมาได้แนะนำคนของวัดพระธรรมกายที่มาติดต่อแล้วว่า อย่ามาใช้คำว่าพุทธศาสนา ให้แยกออกไปเป็นลัทธิ ให้เป็นเอกเทศไปเลย ใครที่ฝักใฝ่ธรรมกาย ธัมมชโยก็ไป อย่างนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำให้องค์กรของพุทธ พระธรรมวินัยของพุทธ ต้องเสื่อม มีมลทิน ด่างพร้อย แต่กล้าทำหรือเปล่า หรือหากินต่อไปไม่ได้ รวมทั้งยังแนะนำคนใกล้ชิดของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องนี้อีกว่า ถ้าทำเรื่องธรรมกายไม่สำเร็จ ก็ให้เขาแยกออกไปเลย อย่ามาประกาศว่าเป็นพุทธศาสนา ให้จบๆ ไป ถ้าแยกไปแล้วจะปาราชิกหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา
“ในกรณีที่ธัมมชโยหนีออกนอกประเทศแล้วนั้น ไม่ใช่ผลดี จะสร้างผลเสียกับประเทศไทยและพระธรรมวินัย เพราะอย่าลืมว่าธัมมชโยสร้างเครือข่ายไปทั่วโลก และคณะสงฆ์ทั่วโลกที่ไม่รู้ความเป็นจริงก็หลงเชื่อ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ประกาศพระธรรมวินัยที่เรียกว่า นาสนะ คือขับไล่ คณะสงฆ์ไทยก็ยังคงเป็นเครื่องมือของเขา เราก็จะได้พุทธปลอมๆ พระธรรมวินัยเทียม ๆ กลับมา และมันก็จะมากัดกินเหมือนคดีอื่น ๆ
ที่สำคัญในอนาคตเราจะได้เห็นพระสงฆ์ที่สะสมทรัพย์สมบัติได้ เหมือนธัมมชโยและอุปัชฌาย์ของเขา “เราจะได้พระอาเฮีย อาเสี่ย อากง อากู๋ พระเถ้าแก่ กลับมามากมาย เราจะไม่เห็นพระที่งดงาม ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ มีชีวิตอยู่อย่างสันโดษ ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะยอมหรือ เชื่อว่ารัฐบาลไม่ยอม พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ยอมหรอก แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ไปกล่อม เพราะที่ผ่านมาก็ไปเจรจา ต่อรองกันโดยตลอด แต่ก็โดนกล่อมกลับมา ตั้งแต่การเจรจา ถ้ายอมมอบตัวเมื่อหลายเดือนก่อนนี้ ก็มีสิทธิ์ได้ประกันตัว แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าไม่ยอมมอบตัว ก็ต้องโดนดำเนินคดี และไม่มีสิทธิ์ประกันตัว
ขณะเดียวกันก็มีเรื่องการเปลี่ยนแปลงคำสอน ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2542 โดยสมเด็จหนกลางองค์ปัจจุบันไปเจรจา แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนถึงวันนี้ก็มีคนมาพูดว่าธรรมกายพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง เราก็บอกไปว่าไม่เชื่อ เพราะธรรมกายมีความเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง และสังฆมณฑลก็เห็นด้วยกับตน มีเพียงพุทธะอิสระเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย จึงควรต้องเปลี่ยนตัวเองมากกว่า ก็มากล่อมกันแบบนั้น
โดยเขาอ้างว่าเขาพวกมาก เราตัวคนเดียว จึงต้องบอกว่าในอดีต ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช มีพระสงฆ์เพียงรูปเดียว ทำให้พระสงฆ์ 6 หมื่นกว่ารูปต้องโดนจับสึกและเฆี่ยน เพราะยึดธรรมวินัย วันนี้ไม่ใช่มีพุทธะอิสระรูปเดียว มีอีกมากแต่ยังไม่ออกมาเพราะกลัวอำนาจการปกครอง
หลวงปู่ฯเดิมพันมีธัมมชโยจะไม่มีพุทธอิสระ
หลวงปู่พุทธอิสระ เล่าว่า การเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลกับธรรมกายนั้น ทำมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะธรรมกายเชื่อว่ามีทั้งอำนาจเงิน อำนาจคณะสงฆ์ และมีคนของเขาอยู่ทุกหย่อมหญ้า เชื่อว่าใครก็ล้มเขาไม่ได้ ด้วยสถานการณ์นี้เอง ทำให้หลวงปู่ฯ เลยต้องเอาผ้าเหลืองเป็นประกัน เพราะทนอยู่ด้วยไม่ได้
“ฉันเองก็เคยมีคนมาติดต่อ มากันสองคน อ้างว่าทหารก็ยอมแล้ว ตำรวจก็ยอมแล้ว ดีเอสไอก็เจรจาได้ เหลือหลวงปู่จะว่าอย่างไร แม้กระทั่งอดีตรอง ผอ.สำนักพุทธฯ ยังมานั่งคุยด้วย อยู่เกือบ 2 ชม. ถามว่า ท่านจะเอาเรื่องจริงๆ หรือ? ท่านไม่กลัวหรือว่าสังฆมณฑลจะแตกแยก ก็ตอบไปว่า ฉันไม่ได้กลัวสังฆมณฑลจะแตกแยก แต่ฉันกลัวว่าอลัชชีจะครองสังฆมณฑล”
โดยเรื่องนี้มีการส่งคนมาเจรจาเป็นระยะ ๆ เพราะรู้ว่าถ้าเคลียร์กับพุทธอิสระได้ ทุกอย่างจะง่ายหมด จะไม่มีโจทย์ไปแจ้งความร้องทุกข์ ไม่มีคนไปไล่ตามคดีว่าไปถึงไหน ถ้าหยุดพุทธอิสระได้ ทุกอย่างจบ จึงมีความพยายามหลายแบบ สังเกตเห็นว่าสองสามวันนี้จะมีตำรวจนอกเครื่องแบบมาลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ เรียกว่าพอเริ่มมีการประกาศจะลุยจะบุก ก็จะเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเดินบ่อยขึ้นเพื่อมาดูแล และก็มีคนของธรรมกาย มีวนเวียนอยู่ที่แถวเต็นท์ 9 บริเวณท้องสนามหลวงที่หลวงปู่ฯ ไปตั้งเต็นท์ประกอบอาหารให้บริการประชาชนที่มาถวายความอาลัยพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙
ประกาศไว้แล้วว่า ถ้าพุทธอิสระทำให้ธัมมชโยสึกไม่ได้ พุทธอิสระก็สึกเอง จึงเป็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น เพราะถ้าพุทธอิสระสึกเพราะรัฐบาลเฉยๆ สังคมต้องตั้งคำถามอย่างแน่นอนว่า ปล่อยให้พระที่สู้เพื่อบ้านเพื่อเมืองเพื่อชาติสึก แล้วเก็บอลัชชีไว้ทำไม
สุดท้ายแล้ว หลวงปู่ฯ ได้กล่าวอย่างมั่นใจว่า ถ้าตัดสินใจออกไปสู้แล้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะประสบการณ์การรบที่ผ่านมาไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ ลั่นวาจา “ถ้ามีธัมมชโย พระธรรมวินัยอยู่ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่มีพุทธอิสระ