หมอเหรียญทอง ชี้มีข้อมูลเชื่อมโยง “ตัวการใหญ่” กับขบวนการ นปช.ที่ออกมาขับเคลื่อนประชาธิปไตยใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อล้มล้างการปกครอง เย้ย! พวกคิดล้มเจ้าให้มองสถานการณ์พลังของแผ่นดินทั้งประเทศ จะเป็นกลไกบีบและทำลาย “พวกหมิ่น” ไม่มีที่ยืนในสังคม มั่นใจรัฐบาลบิ๊กตู่ปราบขบวนการหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างจริงจัง วันนี้การหมิ่นในโซเชียลเริ่มลดลง แนะตั้ง “ประชารัฐ” ให้ประชาชนเข้าเป็นแนวร่วมในการปกป้องสถาบัน
ในช่วงที่คนไทยกำลังโศกเศร้าจากการสูญเสีย “พ่อของแผ่นดิน” กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการล้มล้างสถาบัน ได้ออกมายุยงปลุกปั่นในทางโซเซียล ด้วยคำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจของคนไทย จนเป็นที่มาให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรเก็บขยะแผ่นดินของพลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้นำองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน และผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ต้องออกมาไล่ล่า รวมไปถึงการออกมาประกาศของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่พร้อมจะควักกระเป๋าจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้คนพวกนี้ออกไปจากแผ่นดินไทย และการขยับตัวของหน่วยงานรัฐที่ต้องเอาจริงเอาใจกับผู้คนที่ต้องการล้มล้างสถาบัน
ยุยงปลุกปั่นต้องการให้เกิดความรุนแรง
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง บอกว่า จากการติตตามไล่ล่า โดยเครือข่ายเพจองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ที่ใช้วิธีการสืบค้นผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์ต่างๆ พบว่า เหตุที่พวกหมิ่นสถาบันฯ ออกมาปลุกปั่นช่วงที่บรรยากาศอยู่ในความเศร้า ประชาชนถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพราะต้องการใช้สถานการณ์ความโศกเศร้า มายั่วยุให้เกิดความขัดแย้งและนำมาสู่ความรุนแรง
ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม มีความพยายามในลักษณะการยุยงปลุกปลั่นปล่อยคลิปยูทูปที่มีคำพูดหมิ่นฯ จาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างรุนแรง
“คนไทยเศร้าโศกทั้งประเทศ จู่ๆ “อั้ม เนโกะ” ก็สาดระเบิดมา ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนไทยทำให้คนไทยรับพฤติกรรมนี้ไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่มีเพียงรายเดียว เครือข่ายขององค์กรฯ ก็รายงานมาที่เราอยู่ตลอดเวลา ยังมีนางวันเพ็ญ ทองดี อยู่ที่สวีเดน ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า ป้าวันเพ็ญ รวมทั้งนายสุรชัย แซ่ด่าน, นายไตรรงค์ สินสืบผล, ตั้ง อาชีวะ
ซึ่งการทำพฤติกรรมสามานย์ในท่ามกลางความโศกเศร้า ทำให้คนไทยมีความรู้สึกโกรธแค้นมาก และสิ่งที่ทำนั้น จะทำให้ความโศกเศร้าแปรไปเป็นความรุนแรง ดุเดือด ซึ่งการจะมาตำหนิว่าคนไทยรุนแรง ป่าเถื่อนนั้นไม่ใช่ เพราะคนไทยมีขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม แต่การทำร้ายความรู้สึกของคนที่กำลังสูญเสีย สร้างสถานการณ์เยาะเย้ย ถากถางนั้น เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน ว่าต้องการสร้างสถานการณ์ให้เป็นไปตามเป้าประสงค์”
ขบวนการหมิ่นฝังรากเชื่อมโยงการเมือง
ในความเป็นจริง คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมหมิ่นฯ มาโดยตลอด และฝังรากมานานแล้ว จากยุควิทยุชุมชนสู่โซเชียลมีเดีย มาถึงวันนี้ขบวนการหมิ่นฯ ได้ปรับรูปแบบมาใช้โซเชียลมีเดีย ทั้งในยูทูป เฟซบุ๊ก และไลน์ โดยตัวการใหญ่ของขบวนการนี้เป็นกลุ่มคนไทย ที่อาศัยพำนักอยู่ต่างประเทศ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มที่ตั้งตัวเองว่าเป็นคนเสื้อแดงหรือกลุ่ม นปช.
“คนเสื้อแดงและนปช. ส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นและใกล้ชิดกับขบวนการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ “คนเสื้อแดงและนปช.” อีกส่วนหนึ่งก็เป็นขบวนการที่มีพฤติกรรมเป็นพวกหมิ่นฯเองเลย ขณะเดียวกันก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่ต้องการขับเคลื่อนประชาธิปไตยใหม่ ระบอบใหม่ ที่เบื้องหน้าชูสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม แต่เบื้องหลังปฏิเสธประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดของเสื้อแดง โดยใช้วิธีการโพสต์ข้อความ และคลิปยูทูปอันมีเนื้อหาที่จาบจ้างหยาบคายดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเยาะเย้ยประชาชนคนไทยในช่วงเวลาอันโศร้าโศก”
ส่วนที่มีการตั้งคำถามจากสังคมว่า เมื่อตัวการใหญ่หรือหัวโจกของขบวนการล้มเจ้า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจะตีความว่า มีการสนับสนุนกันหรือไม่ อย่างไรคงบอกไม่ได้ แต่เห็นได้ว่านักการเมืองหลายๆ คนที่ต่อต้าน คสช.ขณะนี้ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหัวโจกของขบวนการล้มเจ้า และมีความเคลื่อนไหวที่เป็นเกลอกัน
ดังนั้นการที่อดีตนายกฯ ทักษิณออกมาเคลื่อนไหวว่า “จะจัดการกับพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ถ้าจะทำควรทำมานานแล้ว และไม่ควรแม้แต่จะคบหากับคนเหล่านี้แต่ต้น แต่ถ้าทำได้จริงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะอย่างไรกลุ่มคนที่จาบจ้วงก็เป็นคนที่สนิทชิดเชื้อและมีความเคารพอดีตนายกฯ ทักษิณ จึงขอฝากไปบอกด้วยให้หยุดพฤติกรรมนี้ ถ้าทำได้ประชาชนจะดีใจมาก และโดยส่วนตัวก็จะชื่นชมอย่างมาก ขอให้ลงมือทำจริงๆ
“สถานการณ์ขณะนี้ที่คนไทยกำลังเศร้าโศก แล้วมีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้ปรากฏให้เห็นแล้วว่าคนไทยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีเสถียรภาพแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก ดังนั้นการบั่นทอนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เกิดผลดีทางการเมือง และต่อนักการเมืองที่มีความใกล้ชิดกับขบวนการนี้ ฝ่ายการเมืองก็ต้องรักษาระยะห่างจากขบวนการนี้ ไม่เช่นนั้นต้องถูกโดดเดี่ยว”
ต้องการ “อำนาจ” หวัง “ล้มล้าง” การปกครอง”
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง ระบุว่า ส่วนตัวไม่อยากเรียกว่า “ขบวนการหมิ่นฯ” เพราะการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเพียงส่วนของวิธีการ แต่คนเหล่านี้ถือเป็น “ขบวนการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์” เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง และขยายผลไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง” ตามที่กลุ่มคนเหล่านี้เฝ้ารอ
กรณีนายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ผู้ต้องหามาตรา 112 ที่ยังหลบหนีในต่างประเทศ ซึ่งเป็นแกนนำเสื้อแดง (นปช.) หลักๆ ที่เรียกร้องความชอบธรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมีการโจมตีรัฐบาล คสช.อย่างต่อเนื่อง และพูดเรื่องการเปลี่ยนระบอบการปกครองประชาธิปไตยใหม่มาตลอด ถือเป็นการคิดที่ผิดเป็นอย่างมาก
เพราะสถานการณ์วันนี้ที่ทำให้ได้เห็นพลังของแผ่นดินทั้งประเทศนั้น จะส่งผลทำให้ขบวนการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ดำเนินการต่อไปได้อย่างยากลำบาก และถึงขั้นไม่มีที่ยืนในสังคม
แม้ว่า “ฝ่ายการเมือง” จะมีกี่ฝักกี่ฝ่ายก็ตาม ตราบใดที่คุณยังเป็นนักการเมืองในประเทศนี้ คุณต้องตระหนักถึงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ ไม่คบค้า ฝักใฝ่ สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือกับขบวนการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะตราบใดที่มีการสนับสนุน ช่วยเหลือนั้น ก็อดจะตีความไม่ได้ว่า คุณไม่ใช่นักการเมืองในระบอบนี้ และคุณมีความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลง
ทางที่ดีคือต้องแยกตัวออกจากคนเหล่านี้ นักการเมืองของพรรคการเมืองวันนี้ ต้องไม่ข้องเกี่ยวกับขบวนการบั่นทอนสถาบันฯ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ว่า เพราะมีข้อมูลและหลักฐานที่ชี้ชัดให้สังคมเห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่น ซึ่งทำให้ประชาชนที่จงรักภักดีไม่สบายใจ
ทุกวันนี้ไม่มองว่ารัฐบาล คสช. เป็นเผด็จการทหาร ซึ่งส่วนตัวนั้นไม่ได้มีความผูกพันใดๆ กับ คสช. เป็นทหารนอกราชการมาสิบปี ก็เห็นว่ารัฐบาล คสช. นั้นเป็นประชาธิปไตย เพราะการเป็นประชาธิปไตยไม่จำเป็นว่าต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ต้องดูพฤติกรรมด้วย กระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ทั้งอำนาจทางการเมือง อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน อะไรก็ตาม อย่าได้ไปจาบจ้วงหรือบั่นทอนสถาบันฯ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่เบื้องหลังอะไรทั้งสิ้น
การรัฐประหารสถาบันฯ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง การบริหารราชการแผ่นดิน สถาบันฯ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีโอกาสที่จะโต้ตอบ ชี้แจง เพราะด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ท่านต้องวางเฉย ในขณะที่ขบวนการบั่นทอนฯ ให้ร้ายฝ่ายเดียว กระทั่งขณะนี้ก็ยังคงทำกันอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ในภาคประชาชน โดยเฉพาะผมนั้น ผมยอมตาย และไม่ได้มีคนอย่างผมเพียงคนเดียว มีอยู่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
รัฐบาลบิ๊กตู่ ปราบจริงพวกหมิ่น
ในอดีตพวกนี้ฮึกเหิมขยายวงอย่างกว้างขวาง เพราะรัฐบาลอื่นๆ และรัฐบาลก่อนหน้านี้ปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลาหลายปี แต่ต้องยอมรับว่าด้วยมาตรการการควบคุมสถานีวิทยุชุมชนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของรัฐบาล คสช. โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น ทำให้ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในวิทยุชุมชนลดจำนวนลงไป
นับว่ารัฐบาลยุค คสช.นี้มีความตั้งใจที่จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเพิ่งจะเห็นเป็นรัฐบาลแรก ที่ออกมาทำอย่างเต็มกำลัง ทั้งพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ ต่างตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะไม่สามารถใช้กฎหมายแต่ก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องของมารยาท และเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยการขอความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความสงบสุขทั้งภายในและนอกประเทศ
นอกจากนี้ยังมีการขอความร่วมมือจากสื่อโซเชียลมีเดีย ทั้งไลน์ เฟซบุ๊ก ยูทูป ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ดำเนินการในรัฐบาลนี้ และเป็นการตั้งใจทำ แม้ว่าอาจจะไม่เห็นผลในทันที เพราะไม่ใช่เรื่องง่าย และถูกปล่อยปละละเลยมาเป็นสิบปี แต่ก็ต้องรอดูกันอีกครั้ง
เพราะการดำเนินการตามจับกุมคนกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งการขอตัวคนร้ายข้ามแดน กฎหมายแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน การให้ความร่วมมือก็มีข้อจำกัดเนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ทำให้ร่วมมือไม่ได้เท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต่างประเทศปกป้องคนเหล่านั้น
การหมิ่นฯ ในโซเชียลเริ่มลดลง
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง ย้ำว่า ภายหลังรัฐบาลได้ขอความร่วมมือเจ้าของสื่อโซเชียลในต่างประเทศ หากประเมินสถานการณ์ในวันนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะเบาบางลงไป ซึ่งเมื่อเทียบกับระยะกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สถานการณ์ในระยะนั้นอาจเกิดจากคนไทยที่กำลังโกรธ ทำให้มีการส่งข้อความต่อๆ กันไป
ซึ่งการแชร์ข้อความ ถือว่าไปเข้าทางคนที่กุเรื่องราวนี้ขึ้นมา เพราะคาดหวังให้ข้อความกระจายออกไปในวงกว้าง แต่วันนี้ผู้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนายกรัฐมนตรี ทหาร ตำรวจ หน่วยงานราชการต่างๆ ออกมาดำเนินการอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน มองว่าช่วยได้อย่างมาก และดูผ่อนคลายลง อย่างน้อยฝ่ายปกป้องสถาบันฯ ก็ยังมีที่พึ่ง
ยกตัวอย่าง แม้แต่การออกมาในฐานะประชาชนของเพจองค์กรเก็บขยะฯ การให้ข้อมูล ดำเนินการกดดันทางสังคมไปที่บุคคลต่างๆ ในต่างประเทศในช่วงที่ร้อนแรงนั้น ก็ช่วยให้คนไทยส่วนหนึ่งรู้สึกผ่อนคลายลง รู้สึกว่ามีที่พึ่ง มีความหวัง ไม่ว่าหมอเหรียญทองจะทำได้ผลหรือไม่ก็ตาม ก็ทำให้คนยังรู้สึกว่ามีทางออก มีคนอาสาออกไปจัดการ ซึ่งเราก็ทำจริง ยิ่งวันนี้เจ้าหน้าที่รัฐออกมาดำเนินการอย่างเต็มตัวก็จะยิ่งผ่อนคลาย สถานการณ์จะทุเลาลงไปได้มาก
แนะตั้ง “ประชารัฐ” ปกป้องสถาบัน
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาล ใช้ภาคประชาชนเป็นแนวร่วมในการปกป้องสถาบันฯ โดยเฉพาะในส่วนของการใช้เครื่องมือสืบค้น และโต้ตอบในส่วนที่ภาครัฐทำไม่ได้ เพราะเห็นว่าการมีอำนาจของรัฐบางครั้งก็มีข้อจำกัดในการดำเนินการปราบปรามแก๊งหมิ่นฯ เช่นกัน
ดังนั้นการทำงานร่วมกันอย่างจริงจังจะได้ประโยชน์อีกมาก เพราะภาคประชาชนทำงานได้แบบไม่มีวันหยุด และไม่ต้องการเบี้ยเลี้ยงใดๆ สิ่งที่อยากเห็นคือการทำงานแบบ “ประชารัฐ” ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ การประสานสองหน่วยเข้าด้วยกัน ประชาชนทำงานร่วมกับภาครัฐในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จะทำให้มีประสิทธิผลสูงสุด
เพราะการดำเนินงานในส่วนขององค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ที่ใช้สื่อทางโซเชียลมีเดียในการโต้ตอบและสืบค้นที่ผ่านมา ก็มีการประสานงานสนับสนุนข้อมูลกับกองปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีบ้าง ส่วนหน่วยงานราชการเชื่อว่ามีการดำเนินการอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามยินดีให้การสนับสนุนทั้งกำลังคน และข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์
“เราในฐานะภาคประชาชนไม่มีอำนาจทางกฎหมายที่จะไปจับกุมใคร ทำได้เพียงการแจ้งความดำเนินคดี ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งก็ทราบกันดีว่าการดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมนั้นล่าช้ามากโดยธรรมชาติของระบบ ซึ่งกว่าจะเริ่มดำเนินการ ได้ออกหมายจับคนร้าย คนร้ายก็หนีไปหมดแล้ว และเมื่อเห็นการใช้เฟซบุ๊กมาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาละเมิดสิทธิส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี องค์รัชทายาททุกพระองค์ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็โต้ตอบ นำข้อมูลที่มีการสืบค้นมาแฉ เมื่อทำอย่างนี้จึงผิดกติกาเฟซบุ๊ก แต่ขณะเดียวกันคนจงรักภักดีก็ได้เห็น ซึ่งภายใน 2 ปีโดนปิด 4 เพจและโทรศัพท์ขู่นับครั้งไม่ถ้วน”
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง บอกว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน มีจุดแข็งที่สามารถแทรกซึมไปในทุกอณู ไม่ใช่เพียงแค่การมอนิเตอร์ข้อมูลที่เป็นสาธารณะ แต่ยังมีข้อมูลที่อยู่ในกลุ่มเฉพาะ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้ สามารถติดตามได้จนถึงตัว กระบวนการเหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงโดยการใช้มาตรการทางสังคมในการกดดัน ให้รู้ถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่องค์กรก็ไม่ได้ไปทำร้ายเขา ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่มีคนไทยคนไหนทำร้ายร่างกายบุคคลเหล่านี้ อย่างมากจะมีแต่เพียงการด่าว่า ประณามจากความรู้สึกที่อยู่ภายใน ซึ่งห้ามกันไม่ได้ และไม่ใช่การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย
“ด้วยความที่องค์กรเก็บขยะมีจุดแข็ง ทำให้เราสามารถหาข้อมูลมาให้สังคมได้รับรู้กัน” หมอเหรียญทอง กล่าว