ธรรมกายอันตรายกว่าที่คิด พระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ที่อิงสายธรรมกายปลุกปั่นสร้างความแตกแยกพี่น้องพุทธ-มุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แถมเครือข่ายอย่างสมาพันธ์ชาวพุทธออกมาปกป้อง ยกย่องความกล้าหาญ ร้อนจนคณะสงฆ์ปัตตานีออกแถลงการณ์คว่ำบาตร คนในพื้นที่แฉพระ 3 จังหวัดติดบุญคุณธรรมกาย คล้อยตามทุกเรื่อง ยันพี่น้องพุทธ-มุสลิมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ ฉะพระที่ยุยงไม่ได้อยู่ในพื้นที่ หากเกิดปัญหาบานปลายคนในพื้นที่รับกรรม ร้องรัฐบาลลงมาจัดการก่อนปัญหาบานปลาย
ถึงวันนี้วัดพระธรรมกายยังคงถูกตั้งคำถามจากผู้คนในสังคมมากมาย และการที่วัดพระธรรมกายกลับเข้ามาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ยักยอกเงินฝากจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารสหกรณ์และเป็นไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกาย โดยพบการโอนเงินมาที่บัญชีของพระเทพญาณมหามุณี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาส
คดีความเดินหน้าไปภายใต้อำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พระธัมมชโยไม่ได้มามอบตัวจนถูกออกหมายจับ โดยแจ้งว่าป่วยและเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอไม่สามารถเข้าไปตรวจค้นภายในวัดได้ เนื่องจากมีศิษย์ของวัดมานั่งปฏิบัติธรรมขวางการปฏิบัติหน้าที่ และเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์บานปลายเจ้าหน้าที่จึงต้องยุติการตรวจค้น
นั่นคือเรื่องทางคดีความ ขณะที่เรื่องแนวทางหลักคำสอนของวัดแห่งนี้ก็ถูกท้วงติงในเรื่องการบิดเบือนไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า วัดพระธรรมกายเปลี่ยนหลักคำสอนเดิมจาก “อนัตตามาเป็นอัตตา” พร่ำสอนให้คนหันมาทำบุญกับวัดแห่งนี้ให้มาก ทำบุญมากได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ศิษย์บางท่านถึงกับยุให้ทำบุญแบบปิดบัญชี
ดังนั้นเงินในการก่อตั้งวัดครั้งแรกจาก 3,200 บาท วันนี้เฉพาะสิ่งปลูกสร้างภายในวัดพระธรรมกายที่จังหวัดปทุมธานี มีไม่น้อยกว่า 4 แสนล้านบาท ไม่นับรวมส่วนของสาขาอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
หรือแม้แต่คดีความที่เคยเกิดขึ้นคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน เมื่อปี 2541 จนสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศ มีลิขิตว่าการกระทำของพระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทางวัดพระธรรมกายตอบโต้ว่าเป็นพระลิขิตปลอม ส่วนคดีความถูกสั่งไม่ฟ้องโดยอัยการในขณะนั้น
ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่ต้องพูดถึง ทั้งคณะสงฆ์ชั้นปกครองรวมไปถึงข้าราชการล้วนแล้วแต่ทำงานไปในทิศทางเดียวกับวัดพระธรรมกายทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าแนวทางของวัดพระธรรมกายเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนา และยังมองกันต่อไปว่าอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
พระสายธรรมกายปลุกความรุนแรง
ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมุ่งตรวจสอบวัดพระธรรมกายไปที่ประเด็นของการกระทำผิดในทางคดี หรือเพ่งเล็งไปที่เรื่องคำสอนที่ผิดไปจากหลักของพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่สาธารณชนทั่วไปทราบในวงจำกัด เนื่องจากเป็นเรื่องที่อ่อนไหวสำหรับประเทศไทย และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอะไรไม่ได้มากนัก
นั่นคือพระภิกษุที่อยู่ในสายที่สนับสนุนวัดพระธรรมกาย ได้ออกมาโจมตีศาสนาอื่นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอ้างเหตุเรื่องที่พระภิกษุถูกทำร้าย และเสนอแนวทางตอบโต้ในวิธีการที่รุนแรงแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
จนเป็นเหตุให้นายซาการียา สุขจันทร์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบเเห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 12 พฤษภาคม 2559 เพื่อให้เร่งดำเนินการเเก้ไขปัญหากรณีของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท และคณะ
จากนั้นพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ได้ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงผ่านสื่อสังคมออนไลน์อีกครั้ง หลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่งหนังสือถึงเจ้าอาวาสวัดที่พระมหาอภิชาติจำวัดอยู่ ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระมหาอภิชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีส่งเรื่องมา
คณะสงฆ์ปัตตานีจวกพระมหาอภิชาติ
เมื่อการตอบโต้เริ่มร้อนระอุขึ้น 5 สิงหาคม 2559 คณะสงฆ์จังหวัดปัตตานีจึงออกแถลงการณ์ ไม่ยอมรับการกระทำของ พระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท กรณีเผยแพร่สื่อออนไลน์
เนื่องจากการแถลงด้วยวาจาทางสื่อออนไลน์ของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ในการพูดถึงกรณีความขัดแย้งในเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยแสดงออกทางกาย และวาจาอันประกอบไปด้วยลักษณะมีโทสะเป็นที่ตั้ง แสดงอาการเกรี้ยวกราด โกรธแค้น ชิงชัง คุกคาม ใช้วาจาหยาบคาย ข่มขู่ผู้ที่ตนถือเป็นฝ่ายตรงข้าม อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเข้าใจผิดในภิกษุภาวะตามความเป็นจริง และถือเป็นการบิดเบือนหลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนา
คณะกรรมการฝ่ายการปกครอง คณะสงฆ์จังหวัดปัตตานี ออกคำชี้แจงดังนี้
1.ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการกระทำในครั้งนี้ของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท
2.การกระทำครั้งนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
3.การกระทำครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ อันจะก่อให้เกิดความหวาดระแวงต่อกัน
4.การกระทำครั้งนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในภาวะของการเป็นพระภิกษุ-สามเณร ในพุทธศาสนาของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก
5.ขอให้คณะสงฆ์และประชาชนอย่าได้ให้การสนับสนุนการกระทำของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ในครั้งนี้
6.คณะกรรมการฝ่ายการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดปัตตานี ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง และขอแสดงการไม่สนับสนุนไม่ยอมรับการกระทำของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ในครั้งนี้
ปลุกขัดแย้ง-คนในพื้นที่รับกรรม
แหล่งข่าวจากเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพกล่าวว่า “คำพูดของพระมหาอภิชาติ จะทำให้เกิดความขัดแย้งของคนพุทธและมุสลิมในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ท่านบวชอยู่วัดเบญจมบพิตร ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดเหมือนพวกเรา หากความขัดแย้งนี้รุนแรงมากขึ้นพวกเราคือคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาไม่ใช่ตัวท่าน”
ที่ผ่านมา 12 ปี มีพระที่มรณภาพจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดราว 20-21 รูป มีพี่น้องทั้งชาวพุทธและมุสลิมต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เป็นพันคน ซึ่งการแก้ไขโดยภาครัฐก็ยังดำเนินการอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ยุติลงได้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นเรื่องของอุดมการณ์
ก่อนหน้าปี 2547 คนในพื้นที่ทั้งพุทธและมุสลิมก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ ตอนนี้ก็อยู่ร่วมกันได้เหมือนเดิม จึงไม่อยากให้ใครมายุให้เกิดความแตกแยกระหว่างพี่น้องไทยพุทธกับมุสลิม
เราอยู่ในพื้นที่จะรู้ว่าแนวคิดแบบนี้ของพระในพื้นที่ภาคใต้เกิดขึ้นจากอะไร บางเรื่องที่พูดต่อ ๆ กันไปก็ไม่ใช่เรื่องจริง เช่น มีการไล่วัดพุทธออกไปนั้น ที่จริงแล้ววัดนั้นเป็นวัดร้างอยู่และไปปลูกสร้างบนที่ดินของเอกชน เมื่อเอกชนจะใช้พื้นที่ดังกล่าวและวัดนั้นไม่มีพระสงฆ์อยู่ก็ดำเนินการตามสิทธิ์ แต่ข่าวที่ออกไปนั้นถูกนำไปปลุกปั่นทำให้เกิดความเข้าใจผิด
บุญคุณธรรมกาย
ประการสำคัญหลังจากเหตุการณ์ปี 2547 วัดพระธรรมกายมีโครงการช่วยเหลือวัดใน 3 จังหวัดภาคใต้บวกอีก 2 อำเภอในสงขลา และช่วยต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน จาก 238 วัดเพิ่มขึ้นเป็น 323 วัด ทำให้พระเหล่านี้ให้การสนับสนุนวัดพระธรรมกาย
เห็นได้จากคำพูดของพระครูปลัดภูเบศ ฌาณาภิญโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่กล่าวว่า การจัดงานครั้งแรก ๆ พระในพื้นที่ส่วนใหญ่ท่านคิดว่า วัดพระธรรมกายคงจะเหมือนหมู่คณะอื่น ๆ ที่ลงมาแจกข้าวของแล้วทำข่าว พอออกข่าวเสร็จก็เงียบหายไป และพระส่วนใหญ่ท่านก็เคยได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ที่มีการโจมตีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โจมตีวัดพระธรรมกาย ด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมาโดยตลอด ทำให้พระส่วนใหญ่ท่านยังเฉยๆ อยู่ ต่อเมื่อเราลงไปจัดงานเป็นประจำทุกเดือน ท่านจึงเริ่มเห็นความจริงใจว่า เราตั้งใจไปช่วยท่านจริงๆ และพร้อมยืนหยัดสู้เคียงข้างท่าน ไม่ปล่อยให้ท่านสู้อย่างโดดเดี่ยว นอกจากนี้ทางวัดพระธรรมกายยังมีกองทุนแรงใจช่วยครูใต้ เริ่มช่วยเหลือตั้งแต่ธันวาคม 2549
เครือข่ายยุส่ง-กล้าหาญ
แหล่งข่าวในพื้นที่อีกรายกล่าวว่า เราไม่ได้กล่าวหาวัดพระธรรมกายว่าสนับสนุนเรื่องของแนวคิดที่สร้างความขัดแย้ง แต่พระที่อยู่ในสายที่ให้การสนับสนุนวัดพระธรรมกายนั้นมีพฤติกรรมดังกล่าว แม้มติของคณะสงฆ์ปัตตานีจะออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระมหาอภิชาติ
แต่เครือข่ายของวัดพระธรรมกายอย่างเฟซบุ๊กสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ที่มี ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ดูแลอยู่ก็ออกมาปกป้องพระมหาอภิชาติ พร้อมยกย่องความกล้าหาญของพระมหาอภิชาติ และเรียกร้องให้ชาวพุทธอย่าทอดทิ้งพระมหาอภิชาติให้โดดเดี่ยว เพราะท่านยอมเสี่ยงเพื่อให้พระพุทธศาสนาและชาวพุทธรอด จึงนับเป็นพระกล้าแห่งยุคสมัย
นี่คืออันตรายอย่างยิ่งในเรื่องความมั่นคง ตราบใดที่พระในสายนี้ยังมีความคิดแบบนี้ ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยากที่จะสงบลง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจะต้องเข้ามาหาทางยุติปัญหาดังกล่าว ไม่ต้องหวังพึ่งมหาเถรสมาคมหรือสำนักงานพุทธฯ มากนัก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้ง 2 หน่วยงานนี้เป็นอย่างไร
“ใครที่ได้ฟังคลิปของพระมหาอภิชาติก็จะได้ยินว่าเรื่องที่สำนักพุทธฯ สั่งให้เจ้าอาวาสมีการตรวจสอบพระมหาอภิชาติ ท่านกล่าวเองว่าเข้าใจสำนักพุทธฯ เพราะเป็นการทำตามหน้าที่จากการที่สำนักปลัดนายกฯ ส่งเรื่องมา”
สายฮาร์ดคอร์หลงใหล “วีระธุโมเดล”
ขณะที่ผู้รู้ในวงการพระพุทธศาสนากล่าวว่า กรณีของพระมหาอภิชาตินั้น พระรูปนี้นิยมชมชอบในพระวีระธุของพม่าเป็นอย่างมาก และทางวัดพระธรรมกายเคยเชิญมา พระวีระธุนั้นเป็นผู้ที่ปลุกปั่นให้ชาวพุทธพม่าทำร้ายชาวมุสลิมโรฮิงญาในประเทศพม่า จนเป็นปัญหาที่ต้องมีการอพยพออกนอกประเทศ
ผู้ที่ศรัทธาในวัดพระธรรมกายหลายรายมักแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง บ้างก็แท็กภาพมายังทีมงานโฆษกของวัดพระธรรมกาย แต่ก็ไม่พบการห้ามปรามหรือตักเตือน
พระสงฆ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดมองว่าวัดพระธรรมกายคือผู้ที่ปกป้องพวกท่านได้ มีเงินลงไปช่วยเหลือรูปละ 5 พันบาทอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเดินเรื่องของสมณศักดิ์ต่าง ๆ หลายรูปมองข้ามสำนักพุทธฯ หรือมหาเถรสมาคมไปเลย หรือเห็นได้จากกรณีของพระมหาอภิชาติ มีเพียงปัตตานีเท่านั้นที่มีมติไม่เห็นด้วย ที่เหลือเงียบ
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลปัญหานี้ อย่างน้อยก็เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งของคนในพื้นที่ที่จะเกิดขึ้น แต่ยังโชคดีที่คนต่างศาสนาในพื้นที่เข้าใจและยังมีชาวพุทธในพื้นที่ประสานความเข้าใจกันอยู่ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรย่อมไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกของพี่น้องชาวพุทธและมุสลิมในพื้นที่
ถึงวันนี้วัดพระธรรมกายยังคงถูกตั้งคำถามจากผู้คนในสังคมมากมาย และการที่วัดพระธรรมกายกลับเข้ามาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ยักยอกเงินฝากจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารสหกรณ์และเป็นไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกาย โดยพบการโอนเงินมาที่บัญชีของพระเทพญาณมหามุณี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาส
คดีความเดินหน้าไปภายใต้อำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พระธัมมชโยไม่ได้มามอบตัวจนถูกออกหมายจับ โดยแจ้งว่าป่วยและเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอไม่สามารถเข้าไปตรวจค้นภายในวัดได้ เนื่องจากมีศิษย์ของวัดมานั่งปฏิบัติธรรมขวางการปฏิบัติหน้าที่ และเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์บานปลายเจ้าหน้าที่จึงต้องยุติการตรวจค้น
นั่นคือเรื่องทางคดีความ ขณะที่เรื่องแนวทางหลักคำสอนของวัดแห่งนี้ก็ถูกท้วงติงในเรื่องการบิดเบือนไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า วัดพระธรรมกายเปลี่ยนหลักคำสอนเดิมจาก “อนัตตามาเป็นอัตตา” พร่ำสอนให้คนหันมาทำบุญกับวัดแห่งนี้ให้มาก ทำบุญมากได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ศิษย์บางท่านถึงกับยุให้ทำบุญแบบปิดบัญชี
ดังนั้นเงินในการก่อตั้งวัดครั้งแรกจาก 3,200 บาท วันนี้เฉพาะสิ่งปลูกสร้างภายในวัดพระธรรมกายที่จังหวัดปทุมธานี มีไม่น้อยกว่า 4 แสนล้านบาท ไม่นับรวมส่วนของสาขาอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
หรือแม้แต่คดีความที่เคยเกิดขึ้นคล้าย ๆ กับเหตุการณ์ในปัจจุบัน เมื่อปี 2541 จนสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศ มีลิขิตว่าการกระทำของพระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทางวัดพระธรรมกายตอบโต้ว่าเป็นพระลิขิตปลอม ส่วนคดีความถูกสั่งไม่ฟ้องโดยอัยการในขณะนั้น
ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่ต้องพูดถึง ทั้งคณะสงฆ์ชั้นปกครองรวมไปถึงข้าราชการล้วนแล้วแต่ทำงานไปในทิศทางเดียวกับวัดพระธรรมกายทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าแนวทางของวัดพระธรรมกายเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนา และยังมองกันต่อไปว่าอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
พระสายธรรมกายปลุกความรุนแรง
ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมุ่งตรวจสอบวัดพระธรรมกายไปที่ประเด็นของการกระทำผิดในทางคดี หรือเพ่งเล็งไปที่เรื่องคำสอนที่ผิดไปจากหลักของพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่สาธารณชนทั่วไปทราบในวงจำกัด เนื่องจากเป็นเรื่องที่อ่อนไหวสำหรับประเทศไทย และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอะไรไม่ได้มากนัก
นั่นคือพระภิกษุที่อยู่ในสายที่สนับสนุนวัดพระธรรมกาย ได้ออกมาโจมตีศาสนาอื่นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอ้างเหตุเรื่องที่พระภิกษุถูกทำร้าย และเสนอแนวทางตอบโต้ในวิธีการที่รุนแรงแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
จนเป็นเหตุให้นายซาการียา สุขจันทร์ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติ ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบเเห่งชาติ (คสช.) เมื่อ 12 พฤษภาคม 2559 เพื่อให้เร่งดำเนินการเเก้ไขปัญหากรณีของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท และคณะ
จากนั้นพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ได้ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงผ่านสื่อสังคมออนไลน์อีกครั้ง หลังจากที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่งหนังสือถึงเจ้าอาวาสวัดที่พระมหาอภิชาติจำวัดอยู่ ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระมหาอภิชาติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีส่งเรื่องมา
คณะสงฆ์ปัตตานีจวกพระมหาอภิชาติ
เมื่อการตอบโต้เริ่มร้อนระอุขึ้น 5 สิงหาคม 2559 คณะสงฆ์จังหวัดปัตตานีจึงออกแถลงการณ์ ไม่ยอมรับการกระทำของ พระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท กรณีเผยแพร่สื่อออนไลน์
เนื่องจากการแถลงด้วยวาจาทางสื่อออนไลน์ของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ในการพูดถึงกรณีความขัดแย้งในเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยแสดงออกทางกาย และวาจาอันประกอบไปด้วยลักษณะมีโทสะเป็นที่ตั้ง แสดงอาการเกรี้ยวกราด โกรธแค้น ชิงชัง คุกคาม ใช้วาจาหยาบคาย ข่มขู่ผู้ที่ตนถือเป็นฝ่ายตรงข้าม อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเข้าใจผิดในภิกษุภาวะตามความเป็นจริง และถือเป็นการบิดเบือนหลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนา
คณะกรรมการฝ่ายการปกครอง คณะสงฆ์จังหวัดปัตตานี ออกคำชี้แจงดังนี้
1.ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการกระทำในครั้งนี้ของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท
2.การกระทำครั้งนี้เป็นการบิดเบือนคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
3.การกระทำครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ อันจะก่อให้เกิดความหวาดระแวงต่อกัน
4.การกระทำครั้งนี้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในภาวะของการเป็นพระภิกษุ-สามเณร ในพุทธศาสนาของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก
5.ขอให้คณะสงฆ์และประชาชนอย่าได้ให้การสนับสนุนการกระทำของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ในครั้งนี้
6.คณะกรรมการฝ่ายการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดปัตตานี ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง และขอแสดงการไม่สนับสนุนไม่ยอมรับการกระทำของพระมหาอภิชาติ ปุณณจนฺโท ในครั้งนี้
ปลุกขัดแย้ง-คนในพื้นที่รับกรรม
แหล่งข่าวจากเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพกล่าวว่า “คำพูดของพระมหาอภิชาติ จะทำให้เกิดความขัดแย้งของคนพุทธและมุสลิมในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ท่านบวชอยู่วัดเบญจมบพิตร ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดเหมือนพวกเรา หากความขัดแย้งนี้รุนแรงมากขึ้นพวกเราคือคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาไม่ใช่ตัวท่าน”
ที่ผ่านมา 12 ปี มีพระที่มรณภาพจากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดราว 20-21 รูป มีพี่น้องทั้งชาวพุทธและมุสลิมต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เป็นพันคน ซึ่งการแก้ไขโดยภาครัฐก็ยังดำเนินการอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ยุติลงได้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นเรื่องของอุดมการณ์
ก่อนหน้าปี 2547 คนในพื้นที่ทั้งพุทธและมุสลิมก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ ตอนนี้ก็อยู่ร่วมกันได้เหมือนเดิม จึงไม่อยากให้ใครมายุให้เกิดความแตกแยกระหว่างพี่น้องไทยพุทธกับมุสลิม
เราอยู่ในพื้นที่จะรู้ว่าแนวคิดแบบนี้ของพระในพื้นที่ภาคใต้เกิดขึ้นจากอะไร บางเรื่องที่พูดต่อ ๆ กันไปก็ไม่ใช่เรื่องจริง เช่น มีการไล่วัดพุทธออกไปนั้น ที่จริงแล้ววัดนั้นเป็นวัดร้างอยู่และไปปลูกสร้างบนที่ดินของเอกชน เมื่อเอกชนจะใช้พื้นที่ดังกล่าวและวัดนั้นไม่มีพระสงฆ์อยู่ก็ดำเนินการตามสิทธิ์ แต่ข่าวที่ออกไปนั้นถูกนำไปปลุกปั่นทำให้เกิดความเข้าใจผิด
บุญคุณธรรมกาย
ประการสำคัญหลังจากเหตุการณ์ปี 2547 วัดพระธรรมกายมีโครงการช่วยเหลือวัดใน 3 จังหวัดภาคใต้บวกอีก 2 อำเภอในสงขลา และช่วยต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน จาก 238 วัดเพิ่มขึ้นเป็น 323 วัด ทำให้พระเหล่านี้ให้การสนับสนุนวัดพระธรรมกาย
เห็นได้จากคำพูดของพระครูปลัดภูเบศ ฌาณาภิญโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่กล่าวว่า การจัดงานครั้งแรก ๆ พระในพื้นที่ส่วนใหญ่ท่านคิดว่า วัดพระธรรมกายคงจะเหมือนหมู่คณะอื่น ๆ ที่ลงมาแจกข้าวของแล้วทำข่าว พอออกข่าวเสร็จก็เงียบหายไป และพระส่วนใหญ่ท่านก็เคยได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ที่มีการโจมตีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โจมตีวัดพระธรรมกาย ด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมาโดยตลอด ทำให้พระส่วนใหญ่ท่านยังเฉยๆ อยู่ ต่อเมื่อเราลงไปจัดงานเป็นประจำทุกเดือน ท่านจึงเริ่มเห็นความจริงใจว่า เราตั้งใจไปช่วยท่านจริงๆ และพร้อมยืนหยัดสู้เคียงข้างท่าน ไม่ปล่อยให้ท่านสู้อย่างโดดเดี่ยว นอกจากนี้ทางวัดพระธรรมกายยังมีกองทุนแรงใจช่วยครูใต้ เริ่มช่วยเหลือตั้งแต่ธันวาคม 2549
เครือข่ายยุส่ง-กล้าหาญ
แหล่งข่าวในพื้นที่อีกรายกล่าวว่า เราไม่ได้กล่าวหาวัดพระธรรมกายว่าสนับสนุนเรื่องของแนวคิดที่สร้างความขัดแย้ง แต่พระที่อยู่ในสายที่ให้การสนับสนุนวัดพระธรรมกายนั้นมีพฤติกรรมดังกล่าว แม้มติของคณะสงฆ์ปัตตานีจะออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระมหาอภิชาติ
แต่เครือข่ายของวัดพระธรรมกายอย่างเฟซบุ๊กสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย ที่มี ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ดูแลอยู่ก็ออกมาปกป้องพระมหาอภิชาติ พร้อมยกย่องความกล้าหาญของพระมหาอภิชาติ และเรียกร้องให้ชาวพุทธอย่าทอดทิ้งพระมหาอภิชาติให้โดดเดี่ยว เพราะท่านยอมเสี่ยงเพื่อให้พระพุทธศาสนาและชาวพุทธรอด จึงนับเป็นพระกล้าแห่งยุคสมัย
นี่คืออันตรายอย่างยิ่งในเรื่องความมั่นคง ตราบใดที่พระในสายนี้ยังมีความคิดแบบนี้ ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ยากที่จะสงบลง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจะต้องเข้ามาหาทางยุติปัญหาดังกล่าว ไม่ต้องหวังพึ่งมหาเถรสมาคมหรือสำนักงานพุทธฯ มากนัก เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้ง 2 หน่วยงานนี้เป็นอย่างไร
“ใครที่ได้ฟังคลิปของพระมหาอภิชาติก็จะได้ยินว่าเรื่องที่สำนักพุทธฯ สั่งให้เจ้าอาวาสมีการตรวจสอบพระมหาอภิชาติ ท่านกล่าวเองว่าเข้าใจสำนักพุทธฯ เพราะเป็นการทำตามหน้าที่จากการที่สำนักปลัดนายกฯ ส่งเรื่องมา”
สายฮาร์ดคอร์หลงใหล “วีระธุโมเดล”
ขณะที่ผู้รู้ในวงการพระพุทธศาสนากล่าวว่า กรณีของพระมหาอภิชาตินั้น พระรูปนี้นิยมชมชอบในพระวีระธุของพม่าเป็นอย่างมาก และทางวัดพระธรรมกายเคยเชิญมา พระวีระธุนั้นเป็นผู้ที่ปลุกปั่นให้ชาวพุทธพม่าทำร้ายชาวมุสลิมโรฮิงญาในประเทศพม่า จนเป็นปัญหาที่ต้องมีการอพยพออกนอกประเทศ
ผู้ที่ศรัทธาในวัดพระธรรมกายหลายรายมักแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง บ้างก็แท็กภาพมายังทีมงานโฆษกของวัดพระธรรมกาย แต่ก็ไม่พบการห้ามปรามหรือตักเตือน
พระสงฆ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดมองว่าวัดพระธรรมกายคือผู้ที่ปกป้องพวกท่านได้ มีเงินลงไปช่วยเหลือรูปละ 5 พันบาทอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเดินเรื่องของสมณศักดิ์ต่าง ๆ หลายรูปมองข้ามสำนักพุทธฯ หรือมหาเถรสมาคมไปเลย หรือเห็นได้จากกรณีของพระมหาอภิชาติ มีเพียงปัตตานีเท่านั้นที่มีมติไม่เห็นด้วย ที่เหลือเงียบ
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลปัญหานี้ อย่างน้อยก็เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งของคนในพื้นที่ที่จะเกิดขึ้น แต่ยังโชคดีที่คนต่างศาสนาในพื้นที่เข้าใจและยังมีชาวพุทธในพื้นที่ประสานความเข้าใจกันอยู่ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรย่อมไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกของพี่น้องชาวพุทธและมุสลิมในพื้นที่