อาชีพหมอดูอยู่ได้ทุกสถานการณ์ คนหลากหลายอาชีพหันมาสนใจเรียนดูดวง อุปนายกสมาคมโหรฯชี้ ยุคใหม่คนสายวิทยาศาสตร์ แพทย์ วิศวะ เข้ามาเรียนตอกย้ำ “โหราศาสตร์” ไม่ใช่สิ่งงมงาย เพราะการทำศัลยกรรมต่างๆ คลอดลูก ยังต้องพึ่งฤกษ์ช่วยเสริมดวงลูกดีตลอดไป พบเด็กอายุ 17 หันมาเรียนหมอดู แนะอยากรวยในอาชีพหมอดูต้องพึ่งสื่อ ด้านหมอ “ภพ พยากรณ์” จากตำรวจผันมาเป็นหมอดู บอกอาชีพนี้อยู่ได้สบายๆ แนะวิธีดึงดูดลูกค้า เพราะหมอดูยิ่งแก่ยิ่งขลัง!
นักพยากรณ์ หรือ อาชีพหมอดู ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพ ที่ดึงดูดความสนใจของคน ไม่ว่าจะยึดเป็นอาชีพหมอดู หรือ จะ เดินไปดูหมอ ถ้ามองในแง่การยึดเป็นอาชีพ ถือเป็นอาชีพ อิสระ รายได้ดี ไม่ต้องลงทุนมาก เพียงมีโต๊ะ มีอุปกรณ์ ผสมกับภูมิความรู้ที่ได้ร่ำเรียนจากตำรับตำรา ครูบาอาจารย์ ก็สามารถมีรายได้ เลี้ยงตัวได้
ขณะเดียวกัน ถ้าเราจะไปดูหมอ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หมอดูแม่นๆ คือหมอที่ทุกคนมุ่งหา และต้องการคำแนะนำ เพราะผู้ดูแต่ละท่านก็มีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น พระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ที่มีชื่อเสียงด้านการดูดวง คนก็ จะไปเข้าคิวรอดู มีการลงบุ๊กจองคิวทางไลน์ในแต่ละวัน โดยเฉพาะวัดดังใน กทม.ระบุไว้เลยว่า ดูดวงครั้งละ 500 บาท เสาร์-อาทิตย์ คนจะขึ้นมากที่วัดแห่งนี้ ส่วนหมอดูดังๆ ที่มีชื่อเสียงก็ต้องจองเช่นเดียวกัน ซึ่ง อาจารย์ชลันทรี จันทร์คล้าย อุปนายกและเลขาธิการ สมาคมโหรแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และ อาจารย์ภพ พยากรณ์ ก็เล่าถึงอาชีพโหราศาสตร์ทั้งในฐานะอาจารย์และหมอดู ที่สำคัญคนที่คิดจะก้าวมาสู่อาชีพหมอดู ควรมีคุณลักษณะอย่างไร และอาชีพหมอดู สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจริงหรือไม่?
คำถามยอดฮิตของนักดูดวง
อาจารย์ชลันทรี บอกว่า การพยากรณ์เป็นสิ่งที่ผูกพันกับทุกๆ คน และไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะดีหรือแย่แค่ไหน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับอาชีพนี้สักเท่าไหร่ เพราะหมอดูเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถให้คำปรึกษา แนะนำ และเป็นที่พึ่งทางใจให้กับหลากหลายกลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มนักธุรกิจ พ่อค้า ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องพึ่งพาหมอดู เกือบตลอดเวลา ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะขาขึ้น หรือขาลง คนกลุ่มนี้มักจะมาหาหมอเพื่อสร้างความมั่นใจในการทำธุรกิจ ประเภทคำถามก็จะถามเกี่ยวกับ ธุรกิจ เช่นประเภทไหนดี ควรทำ หรือไม่ควรทำ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มลูกค้าขาประจำ และมีความผูกพันกับนักพยากรณ์ หรือ หมอดูมากที่สุด
กลุ่มนักการเมือง หรือ ข้าราชการ ถือเป็นกลุ่มลูกค้าหน้าเทศกาล เช่น เทศกาลเลือกตั้ง หรือ ช่วงโยกย้าย ตำแหน่ง นักการเมือง ก็จะวิ่งมาดูว่าจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ ส่วนกลุ่มข้าราชการก็จะดูเรื่องได้เลื่อนตำแหน่งไหม จะถูกย้ายหรือไม่
กลุ่มนักเรียน จะเป็นกลุ่มเด็กนักเรียน ม.ปลาย เข้ามาเช็กดวงกันว่าจะสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยหรือไม่ และควรจะเลือกสถาบันไหนดี
กลุ่มชาวบ้านทั่วไป คำถามที่พบบ่อยจากคนกลุ่มนี้คือ เมื่อไหร่จะรวย หรือ เมื่อไหร่จะมีโชค มีลาภ
อาจารย์ชลันทรี บอกว่า มีที่เด็ดกว่านั้นคือลูกค้าจะมาดูดวงให้ลูกของตัวเองตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะปัจจุบันพ่อแม่ที่มุ่งอยากให้ลูกเข้าโรงเรียนดีๆ สถาบันการศึกษาดีๆ จึงเริ่มตั้งแต่อนุบาล ก็ต้องมีการจองสถานที่เรียนตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง จึงเป็นที่มาให้มีการพยากรณ์ ตั้งแต่ ดูฤกษ์เกิด ช่วงเวลาคลอด การตั้งชื่อ ที่จะเป็นการเสริมดวงตั้งแต่เกิดไปจนโต
อย่างไรก็ดี อาจารย์ชลันทรี นอกจากจะทำหน้าที่หมอดูแล้ว ยังเป็นอาจารย์สอนโหราศาสตร์อยู่ที่สมาคมโหรแห่งประเทศไทย เล่าว่า คร่ำหวอดในวงการอาชีพนี้มานานนับสิบๆ ปี เห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้ที่เข้ามาเรียนวิชาโหราศาสตร์ สิบปีที่แล้วคนที่เข้ามาเรียนวิชาโหราศาสตร์จะเป็นกลุ่มผู้สูงวัย หรือผู้เกษียณอายุ เป็นส่วนใหญ่ แต่มายุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยเฉพาะอายุของคนที่มาเรียนโหราศาสตร์จะเป็นเด็กที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ และเป็นกลุ่มคนหลายอาชีพมากขึ้น
“อายุสิบเจ็ด สิบแปด สนใจ อยากเรียนรู้ศาสตร์ด้านนี้แล้ว บางคนเข้ามาเรียนเองแต่บางคนตามพ่อแม่มา เกิดสนใจ เรียนก็มี” ขณะที่สมาคมโหราศาสตร์ฯ ได้กำหนดอายุ ผู้ที่เข้าเรียนไว้ต้องไม่ต่ำกว่า 15 ปี
ทำศัลยกรรมต้องดูดวง “ติดเชื้อหรือไม่”
นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่มาเรียนและสร้างสีสันให้วงการหมอดูมาก ก็คือผู้ที่อยู่ในแวดวงด้านวิทยาศาสตร์ เช่น แพทย์ วิศวกร หรือ ดอกเตอร์ ซึ่งมีพื้นฐานความรู้ มีภูมิปัญญาที่สังคมยกย่อง
“กลุ่มที่ความรู้ดี การงานดี สนใจเข้ามาเรียนวิชานี้เพื่อต้องการพิสูจน์ คือ เริ่มจากเคยมาดู และเกิดสนใจ อยากรู้เลยสมัครเรียน อยากพิสูจน์ หรือ คนบางกลุ่มเข้ามาเรียนเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในอาชีพการงานของตน โดยเฉพาะวิศวกร ที่เข้ามาเรียนก็จะเลือกเรียนศาสตรฺ์ทางด้านฮวงจุ้ย เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในสายอาชีพ เช่นการออกแบบ การก่อสร้าง หรือ อาชีพเสริมความงาม เสริมสวย ที่รับสักคิ้ว ฉีดโบท็อกซ์ ย้อมสีผม ก็มาเรียนรู้ด้านโหวงเฮ้ง เพื่อสามารถให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มจุดขายได้อีกแบบหนึ่ง
"แม้กระทั่งคลินิกศัลยกรรมสมัยนี้ ก็มีการให้นักพยากรณ์เช็กดวงก่อนว่า การผ่าตัดเคสนี้ปลอดภัยหรือเปล่า ผ่าแล้วต้องแก้ไขมั้ย จะสวยหรือไม่สวย ก็ต้องดูดวงก่อน”
อาจารย์ชลันทรี บอกว่า แต่เดิม การพยากรณ์ จะเป็นแค่การดูฤกษ์การผ่าคลอด ฤกษ์ออกรถ ขึ้นบ้านใหม่ สำนักงานใหม่ แต่ในปัจจุบันนี้ เพื่อตอบรับเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้คน และจากประสบการณ์ของลูกค้า การหาฤกษ์การทำศัลยกรรม จึงเป็นอีกหนึ่งกระแสที่มาแรง โดยจะดูว่าทำแล้วปลอดภัย สวย หรือจะติดเชื้อหรือไม่?
ยุคนี้จึงเป็นความสวยด้วยมือหมอด้านวิทยาศาสตร์ และเสริมความมั่นใจด้วยหมอโหราศาสตร์ ผสมผสานให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และการที่คนที่อยู่ในสายวิทยาศาสตร์นำโหราศาสตร์เข้ามาประยุกต์ใช้ พร้อมๆ กับการเข้ามาเรียนของคนกลุ่มนี้นั้น อาจารย์ชลันทรีบอกว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นกระบอกเสียงที่ดี และตอกย้ำว่า โหราศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งงมงายอีกต่อไป...
หมอดูเป็นๆ เหนือชั้นกว่าหมอออนไลน์
ขณะเดียวกันคนที่ทำหน้าที่พยากรณ์หรือหมอดู ถ้าอยากอยู่ในอาชีพนี้ได้ยาวนาน ก็ต้องมีจรรยาบรรณ และมีความแม่นยำ สามารถให้คำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางได้แทบทุกเรื่อง ไม่ว่าการทำธุรกิจ เรื่องส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการเล่นหุ้นก็ตาม
“เราก็แนะนำไปตามพื้นดวงเค้าว่า ช่วงนี้ควรลงทุนธุรกิจประเภทนี้ ไม่ควรเก็บไว้นาน ซึ่งลูกค้าเค้าก็จะคิดได้เองว่าควรดำเนินธุรกิจแบบไหน”
ส่วนบางคนก็มีปัญหาชีวิต มาคุย มาเล่ามาปรึกษาหมอดู ถึงขนาดบอกว่าถ้าเลือกให้ไปหาหมอดู หรือ นักจิตวิทยาที่โรงพยาบาล เขาเลือกไปหาหมอดูดีกว่า สบายใจกว่า ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีมากพอสมควรโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสูงอายุ หรือสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องความรัก
คำพยากรณ์ทั้งหลายจึงขึ้นอยู่กับดวงของบุคคลนั้นๆ ผสมผสานกับศาสตร์ ความรู้ของหมอดู และต้องถ่ายทอดคำแนะนำให้ลูกค้าเข้าใจ และคิดตามด้วยเหตุและผล นั่นเอง
แม้ว่าโลกออนไลน์จะมีความก้าวหน้า คนสามารถเข้าถึงหมอดูออนไลน์ได้ง่ายก็จริง แต่สุดท้ายผู้ที่สนใจตรวจดวงชะตา ก็มักจะเลือกมาพบหมอดูตัวเป็นๆ มากกว่า เพราะการดูดวงบนโลกออนไลน์ ไม่สามารถตอบโจทย์ ข้อสงสัยคนได้ทั้งหมด และคำทำนายก็มักเป็นภาพกว้างๆ หลายๆ คนไม่ได้มุ่งเฉพาะตัวบุคคล ตรงนี้จึงทำให้อาชีพหมอดูยังคงอยู่ในสังคมได้ตลอดไปแม้จะมีวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม
อยากร่ำรวยกับอาชีพหมอดูต้องออกสื่อ
ส่วนอาชีพหมอดูจะทำให้ร่ำรวยได้หรือไม่เพราะไม่ต้องลงทุนมาก ใช้บ้านพักอาศัย มีโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้ไว้นั่งก็ทำอาชีพนี้ได้แล้ว อาจารย์ชลันทรี บอกว่า ถ้าเป็นแค่นักพยากรณ์ นั่งดูดวงชะตา คงไม่ได้ร่ำรวย ยกเว้นแต่ว่า คุณมีการตลาด คุณมีบริษัทรองรับ ทำโปรโมชันออกสื่อ ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้
หากใครคิดจะออกจากงานและมุ่งหน้ามาเรียนโหราศาสตร์เพื่อยึดเป็นอาชีพนั้น อาจารย์ชลันทรี บอกว่าไม่ควรกระทำ แต่ควรเริ่มจากเป็นอาชีพเสริม ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้จนกระทั่งมีทักษะที่จะไปสู้คนอื่นได้น่าจะดีกว่า และนักโหราศาสตร์จะต้องรู้ถึงจรรยาบรรณที่จะไม่ทำนายเรื่องดังนี้ คือ 1.ห้ามทายว่าลูกคนไหนดี ไม่ดี 2.ห้ามทายผัวเมียเลิกกัน 3.ห้ามทายว่าใครจะตายเมื่อไหร่ 4.มารยาททั่วไปสำหรับลูกค้า เช่นการรักษาความลับ , ไม่หลอกลวงเรื่องสะเดาะเคราะห์
ส่วนในอนาคตสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ วางแผนจะเพิ่มหลักสูตรการพัฒนานักพยากรณ์ทางด้านจิตวิทยา ทักษะ การพูด การให้กำลังใจ มารยาท จรรยาบรรณที่ดี เพื่อให้หมอมีคุณภาพยิ่งขึ้น ตอบรับกระแสสังคมในยุคนี้
สมาคมโหราศาสตร์ เปิดมาตั้งแต่ปี 2490 ผลิตหมอดูมาถึง 13,327 คน ในอดีตคนที่สนใจโหราศาสตร์ จะต้องมาเรียนที่นี่ แต่ปัจจุบันสถานที่เรียนเพิ่มขึ้น ทั้งในรูปสถาบัน หรือ ส่วนตัว ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด กลุ่มผู้เรียนจึงกระจายกันไป และเลือกสถานที่เรียนได้มากขึ้น.....
อาจารย์ชลันทรี ย้ำว่า อาชีพหมอดูอยู่ได้ แต่อย่าหวังรวย และคนที่มีอาชีพหมอดูก็ขึ้นอยู่ที่ดวงหมอด้วย หมอบางคนดูแม่นมากแต่ไม่มีลูกค้า ขณะที่บางคนเรียนยังไม่จบ แต่สามารถหาเงินได้มากกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พื้นดวงของคนเป็นหลักสำคัญ
อาชีพหมอดู ยิ่งแก่ยิ่งขลัง
ด้าน อาจารย์ภพ พยากรณ์ ซึ่งผันตัวเองจากชีวิตตำรวจชายแดนมาหลายปี มายึดอาชีพหมอพยากรณ์ โดยเปิดสำนักงานในซอยสันตินคร แถวบางนา-ตราด บอกว่า หลังจากได้ศึกษาและเล็งเห็นว่าอาชีพนี้ลงทุนน้อย มีอิสระ ฝนตกแดดร้อน ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไร จึงเริ่มเรียน จากการเป็นอาชีพเสริม จนกระทั่งลาออกจากราชการ มายึดอาชีพนี้อย่างจริงจัง เมื่อช่วงปลายปี 2557 โดยเริ่มต้นจากดูคนใกล้ตัว ราคาถูก จาก 49 บาท 59 บาท และไล่เรื่อยมา จนถึง 199 บาท ซึ่งจากเงินเดือนข้าราชการตำรวจประมาณ 15,000-16,000 บาท เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีรายได้จากอาชีพหมอดูเฉลี่ยวันละ 300-1,000 บาท ถือเป็นอาชีพที่มีความสุข ที่สำคัญคือมาจากการใช้ความรู้ ความสามารถของตัวเองที่ไปร่ำเรียนมา
แม้ช่วงที่เริ่มต้นใหม่ๆ ไม่มีลูกค้า ก็รู้สึกท้อ แต่เพราะการเล่าปากต่อปากก็ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น จนปัจจุบัน อาจารย์ภพ มีลูกค้า 500-600 รายภายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
“อาชีพนี้ไม่ใช่ทำแล้วจะรวยทุกคน อาชีพหมอดูต้องมีความชอบ มีความสามารถเฉพาะตัว บางคนทำไม่ได้ ก็เหมือนคนรับแทงหวย บางคนเจ๊ง อาชีพหมอดูก็เหมือนกัน บางคนทำแล้วไม่รุ่งก็มี”
แต่อาชีพหมอดูมีข้อดี คือเป็นอาชีพที่ดี รายได้ดี คนยกย่อง มีความเป็นอิสระ และเป็นอาชีพที่ต้องขวนขวายหาความรู้ ที่สำคัญไม่มีเกษียณอายุ เรียกได้ว่า ยิ่งแก่ยิ่งขลัง
อาจารย์ภพเน้นว่า หมอดูต้องมีจิตวิทยาในการพูด รู้จักให้คำปรึกษาที่ดี ไม่ทำให้ลูกค้าเครียด ตรงกันข้ามต้องทำให้ลูกค้ามีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิต ซึ่งบางครั้งเราจะทำนายตามหลักวิชาการมากก็ไม่ได้ ตรงนี้ประสบการณ์จะสอนเราไปในตัว เพราะคนดูก็จะเป็นครูของเรา หมอดูก็ต้องรู้จักปรับกลยุทธ์ สอนวิธีการและเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือไหวพริบ ที่จะสามารถแนะนำลูกค้าผนวกเข้ากับหลักวิชาโหราศาสตร์ที่ร่ำเรียนมา
“คนที่จะเข้าสู่อาชีพหมอดู จึงต้องมีความสนใจ มีเซนส์ มีความผูกพัน ที่สำคัญคือ เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆ ทั้งเรื่องการพูดโน้มน้าว การแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ต้องไม่โลภ และไม่สร้างความงมงายให้กับลูกค้า จึงจะประสบความสำเร็จได้”
บทสรุปของผู้ที่ทำอาชีพหมอดู สะท้อนให้เห็นว่าคำทำนายก็อาจมาจากการคาดเดาที่อยู่ในหลักการของพื้นฐานความรู้และจากหลักโหราศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา ซึ่งการคาดเดาก็เปรียบเสมือนเป็นไกด์ไลน์ที่สร้างมุมคิดในการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและไม่ประมาท และอยู่คู่กับวิถีชีวิตผู้คนได้ตลอดไป