xs
xsm
sm
md
lg

สมยศโละระบบ “พวกพ้อง” กระเทือนสยามสปอร์ตฯขู่ฟ้อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สยามสปอร์ตโวยกระทบจากการเลิกสัญญา ขอเจรจาก่อน ขู่ให้ฝ่ายกฎหมายดูเรื่องนี้อยู่ ด้านสมาคมฯ แจงไม่ได้กลั่นแกล้ง ทราบดีมีบุญคุณวงการฟุตบอล แต่วันนี้หมดยุคเพื่อนพ้องและผู้มีพระคุณ ทำเพื่อทีมชาติเป็นหลัก ไม่ขอตอบเรื่องฟ้องร้องรอเอกสารชุดใหม่ที่เตรียมส่งมอบ แจงยกเลิกสัญญาถ่ายทอดสดเป็นหน้าที่ของทรูฯ ที่ต้องหาทีมถ่ายทอดเองอาจใช้สยามสปอร์ตเหมือนเดิมก็ได้ คนในวงการชี้ชุดใหม่ดึงสิทธิประโยชน์คืนสมาคมฯ เชื่อโอกาสฟ้องร้องกันมีความเป็นไปได้สูง

หลังจากที่การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ลงนามรับรอง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 หลังจากที่มีการเปิดให้สโมสรฟุตบอลต่างๆ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ สิ่งแรกที่ทีมบริหารของสมาคมฟุตบอลชุดใหม่เร่งดำเนินการทันทีคือการตั้งบริษัท พรีเมียร์ ลีก (ไทยแลนด์) จำกัด เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ เพื่อมาทำหน้าที่แทนบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ที่เป็นของผู้บริหารสมาคมฯ ชุดเดิม

จากนั้นมีการนัดส่งมอบเอกสารจำนวนหนึ่งจากทีมงานชุดเดิมเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ โดยไม่มีเอกสารทางการเงิน ซึ่งนัดหมายส่งมอบกันอีกครั้งในวันที่ 20 มีนาคมนี้ ระหว่างนี้การทำงานของทีมงานชุดใหม่ของสมาคมฯ ต้องเร่งแก้ปัญหาภายในสมาคมไปพร้อมๆ กับการดำเนินการจัดการแข่งขันฟุตบอลตามปกติ

และแล้วมติของสภากรรมการชุดใหม่เมื่อ 7 มีนาคม 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้แจ้งว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ที่จะยกเลิกสัญญากับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) แล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นลักษณะของสัญญาผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว สมาคมไม่มีอิสระในการบริหารและไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินงานได้ด้วยตนเอง

การยกเลิกสัญญาครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะตัดขาดความร่วมมือกับทางบริษัท ซึ่งให้การสนับสนุนและส่งเสริมกีฬาฟุตบอลมาโดยตลอด แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขสัญญาให้มีความเป็นธรรม และกำหนดหน้าที่ของคู่สัญญาอย่างชัดเจน

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้สัญญาทุกฉบับที่มีอายุสัญญาผูกขาดเกินกว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีวาระสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 เพื่อนำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขสัญญาให้มีความเป็นธรรม
การแถลงยกเลิกสิทธิประโยชน์กับบริษัท สยามสปอร์ตฯ เมื่อ 7 มีนาคม 2559(ภาพ FB:Fair)
สงครามเริ่ม

รุ่งขึ้นนายอดิศัย วารินทร์ศิริกุล ประธานกรรมการบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวต่อเรื่องดังกล่าวขอยืนยันว่าในข้อกล่าวหา 4 กรณีที่ถูกกล่าวหา เรื่องเราทำสัญญาไม่เป็นธรรมกับสมาคมนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะเมื่อ 10 ปีก่อน สมาคมฟุตบอลฯ ได้ขอร้องให้บริษัทฯ ช่วยทำให้กีฬาฟุตบอล ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ซึ่งต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่นานจนประสบความสำเร็จ และได้ทรูวิชั่นส์เข้ามาซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และทำให้มูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งมีการตรวจสอบได้ และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาจากผู้บริหารสมาคมฯ ชุดใหม่

พร้อมกล่าวต่อไปว่า ไม่ต้องการตอบโต้ใดๆ กับสมาคมฟุตบอลฯ เพราะเคารพในมติสภากรรมการ และยังหวังจะเข้าไปพูดคุยกับสมาคมฯ อีกครั้ง เพราะยังไม่มีจดหมายแจ้งยกเลิกสัญญากับบริษัทฯ

ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี หลังจากที่สยามสปอร์ตฯ ปูทางในเรื่องการเจรจากับทางผู้บริหารสมาคมฯ ชุดใหม่ แต่ในวันที่ 9 มีนาคม สมาคมฯ ได้มีการเผยแพร่หนังสืออย่างเป็นทางการลงวันที่ 8 มีนาคม ใจความระบุว่า “ที่ประชุมสภากรรมการมีมติไม่ประสงค์ให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์หรือเป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอดสดการบันทึกการแข่งขันและภาพไฮไลต์การแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก, ฟุตบอลดิวิชั่น 1, ลีกภูมิภาค, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ รวมทั้งการแข่งขันภายในสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประจำปี 2556 - 2560 ในฐานะตัวแทนสมาคมฯ อีกต่อไป และให้มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับท่าน”

เป็นอันชัดเจนว่าสิทธิในการบริหารจัดการเรื่องรายได้และผลประโยชน์ที่นายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ คนก่อนที่ทำไว้กับทางบริษัทสยามสปอร์ตฯ ต้องยุติลง

จากนั้น 11 มีนาคม 2559 นายอดิศัย วารินทร์ศิริกุล ประธานกรรมการ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด(มหาชน) ได้แถลงข่าวผลกระทบต่อการบอกเลิกสัญญา สิทธิประโยชน์ของสมาคมฟุตบอลฯ ทั้งเรื่องภาพลักษณ์ของบริษัทและทรัพย์สิน อุปกรณ์การถ่ายทอดสด ที่ได้รับผลกระทบจากการบอกเลิกสัญญา พร้อมกล่าวต่อไว่า

“จากนี้ไปสยามสปอร์ตจะขอเจรจากับสมาคมฯ โดยเบื้องต้นจะไม่มีการฟ้องร้อง เพราะเราไม่ต้องการทะเลาะหรือสร้างความขัดแย้งให้เกิดกับวงการกีฬา แต่ถ้าสุดทางจริงๆ เราได้ให้ฝ่ายกฎหมายดูเรื่องนี้อยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

ไม่ได้แกล้ง-หมดยุคพวกพ้อง

นายชนินทร์ แก่นหิรัญ รองเลขาธิการฝ่ายกฎหมาย สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเรื่องยกเลิกสัญญากับทางสยามสปอร์ตนั้นทั้งในเรื่องการถ่ายทอดฟุตบอลในรายการต่าง ๆ ของทางสมาคมฯ เป็นหนึ่งในเรื่องของการยกเลิกการบริหารสิทธิประโยชน์อื่น

“เราเข้าใจดีว่าทางสยามสปอร์ตช่วยเหลือวงการฟุตบอลของไทยมาจนเติบโต ซึ่งเราไม่ปฏิเสธความมีน้ำใจที่ผ่านมา แต่ในยุคนี้ทุกอย่างต้องอยู่บนจุดที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยืนยันว่าสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปนั้นไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร เพียงแต่ดำเนินการในสิ่งที่ควรเป็น เรื่องระบบตอบแทน เพื่อนพ้อง หรือผู้มีพระคุณต้องจบ เรามาทำเพื่อตอบแทนประเทศชาติในการสร้างนักฟุตบอลทีมชาติไทย”

ขณะที่สัญญาที่เคยทำไว้กับสยามสปอร์ต มีการแบ่งผลประโยชน์กันหลังหักค่าใช้จ่ายที่ 50:50 นั้น ในทางปฏิบัติแล้วควรมีกำไรหรือทำได้มากกว่านี้ ทั้งนี้ฟุตบอลทีมชาติไทยต้องใช้เงินสนับสนุนมากพอที่จะทำให้นักเตะของเรามีคุณภาพ ซึ่งต้องเริ่มสร้างตั้งแต่ระดับเด็กๆ

อย่างตอนนี้เราได้พูดคุยกับทางทรูวิชั่นส์ที่ประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโดยตรงแล้ว แม้ว่าสมาคมฯ จะยกเลิกสัญญากับทางสยามสปอร์ตฯ แต่หากทรูวิชั่นส์ประสงค์จะให้ทีมงานของสยามสปอร์ตฯ เข้ามาทำหน้าที่ถ่ายทอดเหมือนเดิมก็ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางทรูฯ กับทางสยามสปอร์ตฯ ต้องไปหารือกัน

หรือสปอนเซอร์หลักๆ ที่เคยทำสัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการพูดคุยกัน เพียงแต่ขอเปลี่ยนสัญญาเหลือเพียงแค่สิ้นปี 2559 ซึ่งต่อไปจะมีบริษัทเอเยนซีเข้ามารับหน้าที่ในการบริหารสิทธิประโยชน์ตรงนี้

ส่วนกรณีของแกรนด์สปอร์ตที่เป็นผู้สนับสนุนชุดกีฬาของทีมชาติไทยนั้น ที่ทำสัญญาในทีมบริหารชุดเดิมเมื่อ 1 กรกฎาคม 2558 สัญญา 5 ปี ครบในปี 2563 ตอนนี้ยังไม่มีการยกเลิกสัญญา แต่ได้มีการเชิญเข้ามาพูดคุยเรื่องผลตอบแทนที่จ่ายให้กับสมาคม 19 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหักภาษีและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วน่าจะเหลือราว 13 ล้านบาท และมีส่วนสนับสนุนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ตรงนี้ต้องมาคุยกันเรื่องของผลตอบแทนอีกที

“หมดจากรายแกรนด์สปอร์ตแล้วคงไม่มีการเรียกรายอื่นเข้ามาพูดคุยในเรื่องของสัญญาอีก”

เมื่อถามถึงโอกาสที่จะมีการฟ้องร้องกัน ฝ่ายกฎหมายของสมาคมฯ ตอบว่า เรื่องนี้คงตอบไม่ได้ ต้องรอให้มีการส่งข้อมูลอีกชุดหนึ่งมาก่อน กำหนดไว้วันที่ 20 มีนาคมนี้ เราต้องให้เวลาเขา ที่ผ่านมาคณะทำงานชุดใหม่ต้องเริ่มต้นทำงานกันใหม่ทั้งหมด เพราะไม่มีเอกสารหลักฐานอะไรให้สานงานต่อได้เลยจากการที่ทีมชุดเก่าไม่ได้ให้ความร่วมมือในการส่งมอบงาน
หนังสือยกเลิกสัญญากับบริษัท สยามสปอร์ตฯ
ดึงทุกอย่างกลับสมาคมฯ

ด้านแหล่งข่าวจากวงการฟุตบอลกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับสมาคมฟุตบอลฯ ที่การส่งมอบงานไม่ครบถ้วนนั้น ย่อมทำให้ทีมบริหารชุดใหม่ของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องทำงานยากขึ้น หากในวันที่ 20 นี้ไม่มีเอกสารอะไรที่เป็นประโยชน์เลยทีมใหม่ที่เข้ามาก็ต้องเริ่มต้นเจรจากับคู่สัญญาใหม่ทั้งหมด

ไม่รู้ว่าจะเป็นการวางยากับชุดใหม่ที่เข้ามา หรือไม่ต้องการให้เอกสารสำคัญหลุดไปถึงมือ เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เพียงแต่ทำให้การเดินหน้าของชุดใหม่ที่เข้ามาทำได้ช้าลง เพราะชุดเก่าก็ทราบดีว่าหากไม่ได้กลับเข้ามาแล้วทุกอย่างจะต้องมมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

จะเห็นได้ว่างานแรกที่ชุดใหม่เข้ามาทำคือการตั้งบริษัท พรีเมียร์ลีก ไทยแลนด์(PLT) เข้ามาบริหารจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชั่น 1 แทนบริษัทเดิมของคุณวรวีร์ที่ถือหุ้นในนามบุคคล ซึ่งอำนาจของนายกสมาคมฯ เข้าไปแก้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีตั้งบริษัทใหม่เข้ามาแทนและใช้อำนาจของนายกเข้ามามอบสิทธิ์ในการจัดการแข่งขันให้กับบริษัทใหม่ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่เคยมีมา

ตอนนี้บริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นมานั้นยังถือหุ้นในนามบุคคลเช่นกัน ซึ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น คงต้องรออีกระยะว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นให้เป็นไปตามหลักสากลตามที่เคยประกาศไว้หรือไม่ คือให้สมาคมฯ เข้ามาถือหุ้นใหญ่และให้สโมสรต่างๆ เข้ามาถือหุ้นร่วมกัน

ประการต่อมา การยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตฯ ตรงนี้เป็นการดึงเอาสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เคยมอบให้เอกชนกลับมาอยู่ที่สมาคมฯ ด้านหนึ่งเป็นการตัดวงจรของขั้วอำนาจเก่า อีกด้านหนึ่งเป็นการสร้างผลตอบแทนที่สมาคมฯ ควรจะได้อย่างเป็นธรรม

เดิมสยามสปอร์ตฯ บริหารจัดการเรื่องสิทธิประโยชน์ สมาคมฯ เป็นแค่ผู้รับผลประโยชน์ที่ได้ตามข้อตกลง แต่ชุดนี้จะใช้ตัวสมาคมฯ เป็นศูนย์กลางในการจัดการสิทธิประโยชน์ต่างๆ เอง สปอนเซอร์ต่างๆ ต้องมาเจรจากับสมาคมฯ ในรูปแบบนี้เงินจะไหลมาที่สมาคมฯ มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมากกว่าการผ่านตัวกลางอื่นๆ

อย่างกรณีที่ผ่านมาแม้จะมีการติดต่อกับทางสมาคมฯ โดยตรง แต่ผลตอบแทนที่เสนอให้นั้นน่าจะเป็นข้อเสนอแบบมิตรภาพ ที่แกรนด์สปอร์ตเสนอเรื่องผลตอบแทนในเรื่องชุดแข่งของฟุตบอลทีมชาติไทย ในยุคนี้ผลตอบแทนคงไม่ใช่ 19 ล้านบาทกับสัญญา 5 ปีตามที่เคยทำไว้อย่างแน่นอน เงื่อนไขต่างๆ ที่เคยขอไว้กับทางสมาคมฯ ก็ต้องหารือกันใหม่

“เรายังงงว่าผู้บริหารแกรนด์สปอร์ตเร่งรีบจ่ายเงินไปก่อนที่จะทราบผลการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ คนใหม่ทำไม เพราะกำหนดเดิมคือ 1 มีนาคม 2559 ซึ่งรู้ผลแล้วว่าจะได้คนเก่าหรือคนใหม่ เรื่องความหวังว่าทำสัญญาแล้วจะผูกมัดไปตลอดนั้น คนที่ทำธุรกิจก็รู้ดีว่าเรื่องอย่างนี้มันเปลี่ยนแปลงกันได้”
บริษัท สยามสปอร์ตฯ แถลงผลกระทบการยกเลิกสัญญาจากสมาคมฟุตบอลฯ
ส่อเค้าฟ้องกันนัว

เขากล่าวต่อไปว่าการยกเลิกสัญญากับทางสยามสปอร์ตนั้น ในทางปฏิบัติแล้วภาคธุรกิจย่อมได้รับความเสียหาย ซึ่งทางสยามสปอร์ตได้ออกมาแถลงเมื่อ 11 มีนาคม ที่ต้องการจะเจรจากับทางสมาคมฯ ก่อน แต่ก็เริ่มเห็นว่าเรื่องนี้อาจจะไปถึงขั้นการฟ้องร้องกับทางสมาคมฯ หากไม่สามารถเจรจากันได้

โจทย์ตอนนี้ต้องอยู่ที่สมาคมฯ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะเชื่อว่าต่างฝ่ายต่างก็มีช่องทางในการต่อสู้กันอยู่พอสมควร สยามสปอร์ตถูกมองว่าเป็นสายเดียวกับอดีตนายกสมาคมฯ คนเดิม ขณะที่ผู้บริหารชุดใหม่ของสมาคมฯ เองก็กำลังหาหลักฐานเรื่องเงินที่อาจจะมีการรั่วไหลไปยังภาคบุคคลอยู่

ตอนนี้ต้องรอดูเรื่องงบการเงินของทั้งสมาคมฯ และของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก ในยุคของคุณวรวีร์ว่าจะออกมาอย่างไร แต่ที่ผ่านมาเราก็ไม่เห็นความชัดเจนในรายรับต่างๆ ว่ามาจากส่วนใดบ้างหรือจ่ายไปในส่วนใดบ้าง เงินเข้าออกในบัญชีสมาคมฯ บริษัทไทยพรีเมียร์ลีกหรือบัญชีส่วนตัว และจะมีการติดตามเงินของสมาคมฯ กลับคืนมาได้อย่างไร รวมถึงการจัดการระบบบัญชีของทีมบริหารชุดใหม่จะดำเนินการออกมาให้เป็นที่โปร่งใส ตรวจสอบได้อย่างไร

สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องของวิธีการบริหาร สมาคมฯ ต้องการดูแลเรื่องรายได้ต่างๆ เอง เพื่อนำไปใช้ในการเพิ่มเงินสนับสนุนให้กับสโมสรฟุตบอลต่างๆ เพราะทุกวันนี้หลายทีมอยู่ในภาวะขาดทุน หากการช่วยเหลือมีจำกัด อีกไม่นานทีมต่างๆ ก็จะล้มหายตายจากไป อย่างตอนนี้เราก็เห็นอย่างเพื่อนตำรวจ ทีโอที หรือสระบุรี ก็ต้องหยุดการแข่งขันไป ขณะที่ทีมชาติไทยก็ต้องมีการวางแผนในการสร้างนักแตะใหม่ขึ้นมาทดแทนรุ่นปัจจุบัน ตรงนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูง

ถ้าทีมบริหารชุดใหม่สามารถทำได้ทุกอย่างตามที่เคยประกาศไว้ก่อนการเลือกตั้ง ย่อมเป็นเรื่องดีต่อวงการฟุตบอลไทยทั้งระดับสโมสรและระดับทีมชาติ การเปลี่ยนแปลงตัวนายกสมาคมฯ ในครั้งนี้ด้านหนึ่งเป็นความต้องการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในสมาคมฟุตบอลฯ แต่ก็ยังคงติดตามการทำงานของผู้บริหารชุดใหม่อยู่เช่นกัน หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก็ต้องท้วงติงหรือตรวจสอบเช่นกัน

กำลังโหลดความคิดเห็น