เปิดปมที่ใครๆ ก็จ้องตรวจสอบ สสส. เหตุบริหารจัดการเงิน 4 พันล้านบาทได้เอง กรอบคำว่า “สุขภาพ” กว้าง ไกลจากรณรงค์เรื่องเหล้าและบุหรี่ ถูกมองหนุนเอ็นจีโอเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายรัฐ จนไม่เป็นที่สบอารมณ์ในทุกรัฐบาล คนใน สสส. ยันบริหารงานโปร่งใสเป็นไปตามหลักสากล ชี้ยังมี “บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ” ที่จ้องล้มอีก เหตุเตรียมผลักดัน พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ที่คุมเข้มหนักกว่าเดิม เพราะหวั่นหากไทยทำสำเร็จกลายเป็นต้นแบบให้อาเซียนทำตาม
กลายเป็นข้อที่ต้องถกเถียงกันอีกครั้งเมื่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถูกคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตรวจสอบการใช้งบประมาณของ สสส. ตามคำสั่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจากที่องค์กรรณรงค์ให้ประชาชนลดละเลิกเหล้าและบุหรี่ถูกคนในสังคมจำนวนหนึ่งตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของ สสส.
จากการตรวจสอบของ คตร.พบว่ามีบางส่วนใช้งบประมาณไม่ตรงวัตถุประสงค์
“ผลการตรวจสอบของ คตร.ที่เสนอมา ไม่ได้ชี้ว่าผิดหรือถูก เพราะข้อกฎหมายที่เขียนไว้เดิม หรือระเบียบแต่ละอันของกองทุนต่างๆ เขียนไม่ชัดเจน ส่งผลให้การพิจารณากว้างขวางเกิน ไม่ได้ตีกรอบว่าต้องทำแค่ไหน ซึ่งการใช้งบไปไกลขนาดนั้นอาจจะไม่ผิดก็ได้ เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาระเบียบใหม่ ซึ่งต้องทำให้ถูกต้อง ส่วนในเชิงบริหารต้องมีมาตรการลงโทษปรับเปลี่ยนในทางการปกครอง ถ้าทำงานไม่ได้ผลก็ต้องปรับย้ายออก ถ้าเจอสิ่งที่ผิดกฎหมาย มีผลประโยชน์อะไร ก็ไปฟ้องร้องเอา โดยส่งศาล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ขณะที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่าบางโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และพบการดำเนินงาน 2 เรื่องของ สสส.ที่มีความเสี่ยงก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใส คือการจัดทำประมวลจริยธรรมไม่เป็นไปตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ และการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหารแผนไม่เป็นไปตามคู่มือการบริหารและกำกับดูแลคณะกรรมการองค์การมหาชน
นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ สสส.ถูกตรวจสอบจากภาครัฐ และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ถืออำนาจรัฐต้องการเข้ามาตรวจสอบการใช้จ่ายด้านงบประมาณของ สสส.
สสส.ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการจัดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมา และมีความพยายามเข้ามาตรวจสอบจากทุกรัฐบาล ทั้งจากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ มากน้อยแตกต่างกันไป เนื่องจาก สสส.ตั้งโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 เงินที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมมาจากภาษีเหล้าและบุหรี่ ประมาณปีละ 4,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องผ่านระบบงบประมาณเหมือนส่วนราชการอื่น
เป้าหมายหลักคือการรณรงค์ให้คนไทยบริโภคบุหรี่และสุราให้น้อยลง ที่ผ่านมาผลของการรณรงค์เป็นที่น่าพอใจและเป็นที่รับรู้ของผู้คนในวงกว้าง จนหลายประเทศยกให้การรณรงค์ในเรื่องนี้จากประเทศไทยเป็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศ
งบประมาณส่วนหนึ่งจัดสรรให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาขอการสนับสนุน ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) เสนอโครงการมาให้ สสส.พิจารณาแล้วให้การสนับสนุนไป
สิ่งที่เป็นข้อสงสัยของหลายฝ่ายนั่นคือ หลายโครงการดูเหมือนไกลไปจากการรณรงค์ให้บริโภคเหล้าและบุหรี่น้อยลง เช่น การสนับสนุนเรื่องสวดมนต์ข้ามปี หรือให้ทุนวิจัยโครงการสำรวจภูมิทัศน์การเมืองไทย
สสส.รับโดนทุกยุค
แหล่งข่าวจาก สสส.ชี้แจงในเรื่องนี้ว่า เราไม่ได้ทำอะไรที่นอกกรอบของ พ.ร.บ. โดยในมาตรา 3 ระบุว่า “สร้างเสริมสุขภาพ” หมายความว่า การใดๆ ที่มุ่งกระทำเพื่อสร้างเสริมให้บุคคลมีสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม โดยสนับสนุนพฤติกรรมของบุคคล สภาพสังคม และสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่การมีร่างกายที่แข็งแรง สภาพจิตที่สมบูรณ์ อายุยืนยาว และคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้งยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์ทั้ง 6 ข้อที่ได้ตีกรอบไว้ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลตามกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์
“อย่างเรื่องการบินของไทยที่ถูก ICAO ปักธงแดง ก็เพราะเราไม่ตามหลักสากล หรือเรื่องประมงก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราไม่ทำตามหลักสากลแล้วกลับกลายเป็นปัญหา”
ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเรียก สสส.ไปชี้แจงถึงข้อครหาต่างๆ ที่รัฐบาลสงสัย แม้จะขอเข้าพบก็ไม่สามารถทำได้ ก่อนหน้าที่จะมีการตรวจสอบในครั้งนี้ สสส.ก็เกือบถูกปรับเปลี่ยนให้มาอยู่ภายใต้ระบบงบประมาณในช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญชุดอาจารย์บวรศักดิ์ แต่มีเสียงคัดค้านมากจึงได้ถอดเรื่องนี้ออกจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น
สำหรับข้อสงสัยในเรื่องการใช้เงินจาก สสส.ไปในบางโครงการที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์เหล้า บุหรี่ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันนั้น ในบางเรื่องนั้นหน่วยงานที่เสนอของบสนับสนุนเข้ามา อาจมีทั้งโครงการใหญ่และโครงการย่อย ในตัวโครงการย่อยอาจนำไปใช้ศึกษาหรือวิจัยในงานที่อาจดูนอกเหนือจากกรอบของ สสส.ไปบ้างแต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย แต่ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ
หรือในบางโครงการที่อาจมีการใช้เงินไปผิดวัตถุประสงค์หรือส่อไปในทางทุจริต เมื่อ สสส.ตรวจสอบพบก็ดำเนินการยุติการสนับสนุนและดำเนินการตามกฎหมาย ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาเราถูกตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาโดยตลอด หากมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลคงเป็นข่าวออกมาแล้ว เพราะทุกรัฐบาลต่างก็จับตาการทำงานของ สสส.มาตลอด
อีกทั้งภายใต้ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานบอร์ดโดยตำแหน่ง และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธานคนที่ 1 ส่วนใหญ่นายกฯ จะมอบหมายให้รัฐมนตรีสาธารณสุขทำหน้าที่แทน ดังนั้นการพิจารณาใดๆ รัฐบาลย่อมต้องรับทราบในทุกเรื่อง
แนะตีกรอบชัดเจน
ขณะที่นักวิชาการด้านสาธารณสุขกล่าวว่า เนื่องจากการจัดตั้ง สสส.มีการออกมาเป็นพระราชบัญญัติ รัฐบาลจึงเข้าไปเกี่ยวข้องในด้านการทำงานค่อนข้างยาก อีกทั้งตัวงบประมาณที่เก็บจากภาษีเหล้าและบุหรี่ 4 พันกว่าล้านบาทนั้น จะถูกส่งให้กับ สสส.โดยตรง ฝ่ายการเมืองไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้เหมือนกับหน่วยงานอื่นที่อยู่ภายใต้ระบบงบประมาณ ซึ่งรัฐควบคุมได้โดยงบประมาณที่ให้
ประการต่อมาหลายโครงการของ สสส. ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรณรงค์เหล้าบุหรี่ บางกรณีไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาถึงความไม่เหมาะสม แต่ สสส.มักอ้างว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นการตีความเรื่องของสุขภาพที่กว้างเกินไป
การมองต่างมุมระหว่างคนที่อยู่นอก สสส.กับคนใน สสส.จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นทั้งภาครัฐและ สสส.ต้องมาหาข้อสรุปร่วมกันเรื่องกรอบของการให้การสนับสนุนว่ามีขอบเขตเพียงใด
ถูกมองหนุนเอ็นจีโอ
ส่วนสาเหตุที่มีการหยิบยกเรื่องของ สสส.เข้ามาตรวจสอบกันในเวลานี้ ทั้งที่องค์กรนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี 2544 มีผลงานด้านการรณรงค์ให้คนไทยลดละเลิกเหล้าบุหรี่นั้น อดีตกรรมการของ สสส. ประเมินว่าน่าจะมาจาก 2 ประการ
ประการแรก สถานะของ สสส. มีพระราชบัญญัติของตัวเอง เงินที่ได้จากภาษีเหล้า บุหรี่ การใช้จ่ายไม่ต้องผ่านฝ่ายการเมือง กิจกรรมของ สสส.เน้นไปที่เรื่องสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนหรือกลุ่มเอ็นจีโอที่ทำอยู่ ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการสนับสนุนกิจกรรมของเอ็นจีโอ
เอ็นจีโอแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ในการทำงานที่แตกต่างกัน บางส่วนเน้นไปที่การพัฒนา การส่งเสริมหรือให้ความรู้กับประชาชน บางส่วนเน้นในเรื่องอุดมการณ์ เมื่อมีอะไรที่เข้ามากระทบก็อาจจะมีการเรียกร้องให้ยุติ หรือมีการเคลื่อนไหว
แน่นอนว่ามีการคัดค้านโครงการของรัฐบาลหลายเรื่องที่มองว่าจะเกิดผลเสียตามมา ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของทุกรัฐบาล ดังนั้นเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการทำนั้นมีอุปสรรค ไม่สามารถทำได้หรือต้องชะลอออกไป สสส.จึงถูกมองว่าเงินที่สนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอนั้นถูกใช้เพื่อต่อต้านโครงการของรัฐบาล ซึ่งในความเป็นจริงเงินที่สนับสนุนนั้นให้เฉพาะตัวโครงการที่เสนอมาเท่านั้น ไม่ได้ให้ไปเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่อต้านรัฐบาล
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องไปสนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอ จริงๆ แล้วเราสนับสนุนทุกฝ่ายที่เสนอโครงการดีๆ เข้ามา ไม่มีการแบ่งแยก แต่เอ็นจีโอที่เน้นการทำงานเพื่อสังคมนั้นไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนใดๆ จากภาครัฐ ต้องหาแรงสนับสนุนกันเอง ที่สำคัญการทำงานมีความคล่องตัวมากกว่าระบบราชการ สามารถเข้าไปแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
หลายโครงการประสบผลสำเร็จอย่างกรณีการรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ ซึ่งในช่วงแรกผู้ที่เป็นโรคนี้มักได้รับการปฏิเสธจากคนในสังคมแม้กระทั่งสถานพยาบาลของรัฐ กลุ่มเอ็นจีโอเข้ามาเป็นตัวจักรทั้งในเรื่องสถานพยาบาล ดูแลกันเอง ใช้สมุนไพร มีรุ่นพี่ที่ป่วยเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง และทำความเข้าใจกับสังคม จนปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้ไม่ได้ถูกปฏิเสธจากสังคมเหมือนในอดีต
หรือมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแม้จะมีการคัดค้านนโยบายของรัฐบาลบ้าง แต่เป้าหมายก็ดำเนินการไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ช่วยประหยัดงบประมาณให้กับประเทศไปไม่น้อย
ดังนั้นกิจกรรมของเอ็นจีโอจึงไม่เป็นที่พอใจของทุกรัฐบาล สสส.จึงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน การควบคุม สสส.ให้อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐจึงน่าจะเป็นทางหยุดการเคลื่อนไหวของกลุ่มเอ็นจีโอ ซึ่งในอดีตพวกเขาเคลื่อนไหวโดยระดมทุนกันเองจากภาคเอกชนหรือมีเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ทุบหม้อข้าวบุหรี่ข้ามชาติ
ประการที่ 2 สสส.ทำให้ธุรกิจด้านเหล้าและบุหรี่ได้รับผลกระทบหนัก การรณรงค์เท่ากับเป็นการลดลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้นการหาทางลดบทบาทหรือกำจัด สสส.ให้พ้นทางจึงเป็นเป้าหมายหลัก
ตลาดนักสูบในสหรัฐฯ และยุโรป บริษัทบุหรี่ข้ามชาติสูญเสียตลาดไปมาก เนื่องจากมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเดิมเป็นบุคคลฟ้องบริษัทมักแพ้คดี ที่ผ่านมามีการฟ้องบริษัทบุหรี่ในลักษณะรัฐฟ้องเอง ทำให้บริษัทบุหรี่ข้ามชาติจำเป็นต้องเปิดตลาดใหม่คือ เอเชีย โดยในประเทศไทยเน้นไปที่ 2 กลุ่มคือเยาวชน เพราะถ้าได้ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าต่อเนื่องอีกเป็นสิบๆ ปี อีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงไทยสูบบุหรี่น้อย จึงเป็นโอกาสทางการตลาด
ในประเทศไทยบริษัทบุหรี่ข้ามชาติก็เข้ามาหาทางสกัดกั้น สสส.เช่นกันและเน้นหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากความสำเร็จจากการรณรงค์ในประเทศไทยเป็นต้นแบบให้หลายประเทศในอาเซียนนำไปใช้ตาม หากสกัดที่ไทยสำเร็จก็จะหยุดได้ทั้งอาเซียน
ที่สำคัญเวลานี้ทาง สสส.มีการผลักดันร่างกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ที่จะเน้นไปที่ซองบุหรี่ต้องเป็นสีพื้นเดียวกันทุกยี่ห้อ ใส่ยี่ห้อได้ บอกประเภทได้ ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจเหลือน้อยลง และยังคุมช่องทางการทำตลาดผ่านเครือข่ายออนไลน์ที่เป็นช่องว่างอยู่ในเวลานี้ หากกฎหมายฉบับนี้ผ่าน บริษัทบุหรี่ข้ามชาติจะกระทบมากกว่าที่เป็นอยู่
วิธีการดีที่สุดคือหาทางล้ม สสส.ให้ได้
ในหลายประเทศ สสส.ถูกยุบไปด้วยการล็อบบี้ผ่านฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย อย่าง สสส.ที่รัฐวิกตอรี ออสเตรเลีย ก็ถูกยุบไปเพราะตีความแล้วขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีการตั้งกลับเข้ามาใหม่เนื่องจากเห็นความสำคัญของการรณรงค์
ดังนั้นการดำเนินงานของ สสส.แม้จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของหลายๆ ภาคส่วน แต่การหารือกัน ชั่งน้ำหนักผลดี ผลเสีย แล้วหาทางออกที่ลงตัวร่วมกัน น่าจะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทยให้มากที่สุด
กลายเป็นข้อที่ต้องถกเถียงกันอีกครั้งเมื่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถูกคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตรวจสอบการใช้งบประมาณของ สสส. ตามคำสั่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจากที่องค์กรรณรงค์ให้ประชาชนลดละเลิกเหล้าและบุหรี่ถูกคนในสังคมจำนวนหนึ่งตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของ สสส.
จากการตรวจสอบของ คตร.พบว่ามีบางส่วนใช้งบประมาณไม่ตรงวัตถุประสงค์
“ผลการตรวจสอบของ คตร.ที่เสนอมา ไม่ได้ชี้ว่าผิดหรือถูก เพราะข้อกฎหมายที่เขียนไว้เดิม หรือระเบียบแต่ละอันของกองทุนต่างๆ เขียนไม่ชัดเจน ส่งผลให้การพิจารณากว้างขวางเกิน ไม่ได้ตีกรอบว่าต้องทำแค่ไหน ซึ่งการใช้งบไปไกลขนาดนั้นอาจจะไม่ผิดก็ได้ เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาระเบียบใหม่ ซึ่งต้องทำให้ถูกต้อง ส่วนในเชิงบริหารต้องมีมาตรการลงโทษปรับเปลี่ยนในทางการปกครอง ถ้าทำงานไม่ได้ผลก็ต้องปรับย้ายออก ถ้าเจอสิ่งที่ผิดกฎหมาย มีผลประโยชน์อะไร ก็ไปฟ้องร้องเอา โดยส่งศาล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ขณะที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่าบางโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และพบการดำเนินงาน 2 เรื่องของ สสส.ที่มีความเสี่ยงก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใส คือการจัดทำประมวลจริยธรรมไม่เป็นไปตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ และการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการบริหารแผนไม่เป็นไปตามคู่มือการบริหารและกำกับดูแลคณะกรรมการองค์การมหาชน
นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ สสส.ถูกตรวจสอบจากภาครัฐ และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ถืออำนาจรัฐต้องการเข้ามาตรวจสอบการใช้จ่ายด้านงบประมาณของ สสส.
สสส.ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการจัดตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมา และมีความพยายามเข้ามาตรวจสอบจากทุกรัฐบาล ทั้งจากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ มากน้อยแตกต่างกันไป เนื่องจาก สสส.ตั้งโดยพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 เงินที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมมาจากภาษีเหล้าและบุหรี่ ประมาณปีละ 4,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องผ่านระบบงบประมาณเหมือนส่วนราชการอื่น
เป้าหมายหลักคือการรณรงค์ให้คนไทยบริโภคบุหรี่และสุราให้น้อยลง ที่ผ่านมาผลของการรณรงค์เป็นที่น่าพอใจและเป็นที่รับรู้ของผู้คนในวงกว้าง จนหลายประเทศยกให้การรณรงค์ในเรื่องนี้จากประเทศไทยเป็นตัวอย่างในหลายๆ ประเทศ
งบประมาณส่วนหนึ่งจัดสรรให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาขอการสนับสนุน ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) เสนอโครงการมาให้ สสส.พิจารณาแล้วให้การสนับสนุนไป
สิ่งที่เป็นข้อสงสัยของหลายฝ่ายนั่นคือ หลายโครงการดูเหมือนไกลไปจากการรณรงค์ให้บริโภคเหล้าและบุหรี่น้อยลง เช่น การสนับสนุนเรื่องสวดมนต์ข้ามปี หรือให้ทุนวิจัยโครงการสำรวจภูมิทัศน์การเมืองไทย
สสส.รับโดนทุกยุค
แหล่งข่าวจาก สสส.ชี้แจงในเรื่องนี้ว่า เราไม่ได้ทำอะไรที่นอกกรอบของ พ.ร.บ. โดยในมาตรา 3 ระบุว่า “สร้างเสริมสุขภาพ” หมายความว่า การใดๆ ที่มุ่งกระทำเพื่อสร้างเสริมให้บุคคลมีสุขภาวะทางกาย จิต และสังคม โดยสนับสนุนพฤติกรรมของบุคคล สภาพสังคม และสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่การมีร่างกายที่แข็งแรง สภาพจิตที่สมบูรณ์ อายุยืนยาว และคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้งยังเป็นไปตามวัตถุประสงค์ทั้ง 6 ข้อที่ได้ตีกรอบไว้ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลตามกฎบัตรออตตาวาชาร์เตอร์
“อย่างเรื่องการบินของไทยที่ถูก ICAO ปักธงแดง ก็เพราะเราไม่ตามหลักสากล หรือเรื่องประมงก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราไม่ทำตามหลักสากลแล้วกลับกลายเป็นปัญหา”
ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเรียก สสส.ไปชี้แจงถึงข้อครหาต่างๆ ที่รัฐบาลสงสัย แม้จะขอเข้าพบก็ไม่สามารถทำได้ ก่อนหน้าที่จะมีการตรวจสอบในครั้งนี้ สสส.ก็เกือบถูกปรับเปลี่ยนให้มาอยู่ภายใต้ระบบงบประมาณในช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญชุดอาจารย์บวรศักดิ์ แต่มีเสียงคัดค้านมากจึงได้ถอดเรื่องนี้ออกจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น
สำหรับข้อสงสัยในเรื่องการใช้เงินจาก สสส.ไปในบางโครงการที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์เหล้า บุหรี่ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันนั้น ในบางเรื่องนั้นหน่วยงานที่เสนอของบสนับสนุนเข้ามา อาจมีทั้งโครงการใหญ่และโครงการย่อย ในตัวโครงการย่อยอาจนำไปใช้ศึกษาหรือวิจัยในงานที่อาจดูนอกเหนือจากกรอบของ สสส.ไปบ้างแต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย แต่ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ
หรือในบางโครงการที่อาจมีการใช้เงินไปผิดวัตถุประสงค์หรือส่อไปในทางทุจริต เมื่อ สสส.ตรวจสอบพบก็ดำเนินการยุติการสนับสนุนและดำเนินการตามกฎหมาย ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาเราถูกตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินมาโดยตลอด หากมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลคงเป็นข่าวออกมาแล้ว เพราะทุกรัฐบาลต่างก็จับตาการทำงานของ สสส.มาตลอด
อีกทั้งภายใต้ พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานบอร์ดโดยตำแหน่ง และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นรองประธานคนที่ 1 ส่วนใหญ่นายกฯ จะมอบหมายให้รัฐมนตรีสาธารณสุขทำหน้าที่แทน ดังนั้นการพิจารณาใดๆ รัฐบาลย่อมต้องรับทราบในทุกเรื่อง
แนะตีกรอบชัดเจน
ขณะที่นักวิชาการด้านสาธารณสุขกล่าวว่า เนื่องจากการจัดตั้ง สสส.มีการออกมาเป็นพระราชบัญญัติ รัฐบาลจึงเข้าไปเกี่ยวข้องในด้านการทำงานค่อนข้างยาก อีกทั้งตัวงบประมาณที่เก็บจากภาษีเหล้าและบุหรี่ 4 พันกว่าล้านบาทนั้น จะถูกส่งให้กับ สสส.โดยตรง ฝ่ายการเมืองไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้เหมือนกับหน่วยงานอื่นที่อยู่ภายใต้ระบบงบประมาณ ซึ่งรัฐควบคุมได้โดยงบประมาณที่ให้
ประการต่อมาหลายโครงการของ สสส. ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรณรงค์เหล้าบุหรี่ บางกรณีไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาถึงความไม่เหมาะสม แต่ สสส.มักอ้างว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นการตีความเรื่องของสุขภาพที่กว้างเกินไป
การมองต่างมุมระหว่างคนที่อยู่นอก สสส.กับคนใน สสส.จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นทั้งภาครัฐและ สสส.ต้องมาหาข้อสรุปร่วมกันเรื่องกรอบของการให้การสนับสนุนว่ามีขอบเขตเพียงใด
ถูกมองหนุนเอ็นจีโอ
ส่วนสาเหตุที่มีการหยิบยกเรื่องของ สสส.เข้ามาตรวจสอบกันในเวลานี้ ทั้งที่องค์กรนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี 2544 มีผลงานด้านการรณรงค์ให้คนไทยลดละเลิกเหล้าบุหรี่นั้น อดีตกรรมการของ สสส. ประเมินว่าน่าจะมาจาก 2 ประการ
ประการแรก สถานะของ สสส. มีพระราชบัญญัติของตัวเอง เงินที่ได้จากภาษีเหล้า บุหรี่ การใช้จ่ายไม่ต้องผ่านฝ่ายการเมือง กิจกรรมของ สสส.เน้นไปที่เรื่องสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนหรือกลุ่มเอ็นจีโอที่ทำอยู่ ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการสนับสนุนกิจกรรมของเอ็นจีโอ
เอ็นจีโอแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ในการทำงานที่แตกต่างกัน บางส่วนเน้นไปที่การพัฒนา การส่งเสริมหรือให้ความรู้กับประชาชน บางส่วนเน้นในเรื่องอุดมการณ์ เมื่อมีอะไรที่เข้ามากระทบก็อาจจะมีการเรียกร้องให้ยุติ หรือมีการเคลื่อนไหว
แน่นอนว่ามีการคัดค้านโครงการของรัฐบาลหลายเรื่องที่มองว่าจะเกิดผลเสียตามมา ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของทุกรัฐบาล ดังนั้นเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการทำนั้นมีอุปสรรค ไม่สามารถทำได้หรือต้องชะลอออกไป สสส.จึงถูกมองว่าเงินที่สนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอนั้นถูกใช้เพื่อต่อต้านโครงการของรัฐบาล ซึ่งในความเป็นจริงเงินที่สนับสนุนนั้นให้เฉพาะตัวโครงการที่เสนอมาเท่านั้น ไม่ได้ให้ไปเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่อต้านรัฐบาล
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องไปสนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอ จริงๆ แล้วเราสนับสนุนทุกฝ่ายที่เสนอโครงการดีๆ เข้ามา ไม่มีการแบ่งแยก แต่เอ็นจีโอที่เน้นการทำงานเพื่อสังคมนั้นไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนใดๆ จากภาครัฐ ต้องหาแรงสนับสนุนกันเอง ที่สำคัญการทำงานมีความคล่องตัวมากกว่าระบบราชการ สามารถเข้าไปแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
หลายโครงการประสบผลสำเร็จอย่างกรณีการรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ ซึ่งในช่วงแรกผู้ที่เป็นโรคนี้มักได้รับการปฏิเสธจากคนในสังคมแม้กระทั่งสถานพยาบาลของรัฐ กลุ่มเอ็นจีโอเข้ามาเป็นตัวจักรทั้งในเรื่องสถานพยาบาล ดูแลกันเอง ใช้สมุนไพร มีรุ่นพี่ที่ป่วยเข้ามาเป็นพี่เลี้ยง และทำความเข้าใจกับสังคม จนปัจจุบันผู้ป่วยโรคนี้ไม่ได้ถูกปฏิเสธจากสังคมเหมือนในอดีต
หรือมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแม้จะมีการคัดค้านนโยบายของรัฐบาลบ้าง แต่เป้าหมายก็ดำเนินการไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ช่วยประหยัดงบประมาณให้กับประเทศไปไม่น้อย
ดังนั้นกิจกรรมของเอ็นจีโอจึงไม่เป็นที่พอใจของทุกรัฐบาล สสส.จึงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน การควบคุม สสส.ให้อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐจึงน่าจะเป็นทางหยุดการเคลื่อนไหวของกลุ่มเอ็นจีโอ ซึ่งในอดีตพวกเขาเคลื่อนไหวโดยระดมทุนกันเองจากภาคเอกชนหรือมีเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
ทุบหม้อข้าวบุหรี่ข้ามชาติ
ประการที่ 2 สสส.ทำให้ธุรกิจด้านเหล้าและบุหรี่ได้รับผลกระทบหนัก การรณรงค์เท่ากับเป็นการลดลูกค้าของธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้นการหาทางลดบทบาทหรือกำจัด สสส.ให้พ้นทางจึงเป็นเป้าหมายหลัก
ตลาดนักสูบในสหรัฐฯ และยุโรป บริษัทบุหรี่ข้ามชาติสูญเสียตลาดไปมาก เนื่องจากมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเดิมเป็นบุคคลฟ้องบริษัทมักแพ้คดี ที่ผ่านมามีการฟ้องบริษัทบุหรี่ในลักษณะรัฐฟ้องเอง ทำให้บริษัทบุหรี่ข้ามชาติจำเป็นต้องเปิดตลาดใหม่คือ เอเชีย โดยในประเทศไทยเน้นไปที่ 2 กลุ่มคือเยาวชน เพราะถ้าได้ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าต่อเนื่องอีกเป็นสิบๆ ปี อีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงไทยสูบบุหรี่น้อย จึงเป็นโอกาสทางการตลาด
ในประเทศไทยบริษัทบุหรี่ข้ามชาติก็เข้ามาหาทางสกัดกั้น สสส.เช่นกันและเน้นหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากความสำเร็จจากการรณรงค์ในประเทศไทยเป็นต้นแบบให้หลายประเทศในอาเซียนนำไปใช้ตาม หากสกัดที่ไทยสำเร็จก็จะหยุดได้ทั้งอาเซียน
ที่สำคัญเวลานี้ทาง สสส.มีการผลักดันร่างกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ที่จะเน้นไปที่ซองบุหรี่ต้องเป็นสีพื้นเดียวกันทุกยี่ห้อ ใส่ยี่ห้อได้ บอกประเภทได้ ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจเหลือน้อยลง และยังคุมช่องทางการทำตลาดผ่านเครือข่ายออนไลน์ที่เป็นช่องว่างอยู่ในเวลานี้ หากกฎหมายฉบับนี้ผ่าน บริษัทบุหรี่ข้ามชาติจะกระทบมากกว่าที่เป็นอยู่
วิธีการดีที่สุดคือหาทางล้ม สสส.ให้ได้
ในหลายประเทศ สสส.ถูกยุบไปด้วยการล็อบบี้ผ่านฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย อย่าง สสส.ที่รัฐวิกตอรี ออสเตรเลีย ก็ถูกยุบไปเพราะตีความแล้วขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีการตั้งกลับเข้ามาใหม่เนื่องจากเห็นความสำคัญของการรณรงค์
ดังนั้นการดำเนินงานของ สสส.แม้จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของหลายๆ ภาคส่วน แต่การหารือกัน ชั่งน้ำหนักผลดี ผลเสีย แล้วหาทางออกที่ลงตัวร่วมกัน น่าจะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทยให้มากที่สุด