xs
xsm
sm
md
lg

เตือนคนกรุงระวังมิจฉาชีพเข้าตีสนิท ครั้งนี้มาแปลกพาคนร้ายขนทองถึงบ้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ! แก๊งมิจฉาชีพที่มีหลากหลายรูปแบบเริ่มออกอาละวาดอีกแล้ว เตือนคนกรุงระวังตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.ย่านบางกะปิ มีนบุรี บรรดาแก๊งตกทองที่เคยออกอาละวาดและคนที่ตกเป็นเหยื่อมักมีอาการเหมือนต้องมนต์ กว่าจะรู้ตัวก็ต้องเสียทองไปแล้ว แต่ครั้งนี้มาแปลก แก๊งคนร้ายแสดงทีท่าคล้ายจะเป็นลม พอใครหลงกล เข้าไปช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นเหยื่อด้วยการนั่งรถพาคนร้ายไปขนทรัพย์สินถึงบ้าน!

ข่าวแก๊งมิจฉาชีพในรูปแก๊งตกทองปรากฏเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการเตือนประชาชนให้ระมัดระวังเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งเหล่านี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณตลาดบางกะปิเมื่อช่วงวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมานั้น กำลังกลายเป็นเรื่องที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้างและรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ผู้หญิงวัยกลางคนที่ชื่อ 'หมวย' ต้องกลายเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพย่านบางกะปิที่จนวันนี้ยังไม่รู้ว่าทำไมหมวยถึงพาแก๊งคนร้ายมาเอาทองถึงบ้านโดยที่หมวยไม่รู้สึกตัว

“คนร้ายเอาแต่ทองจริง ทองปลอมไม่เอา เงินสดที่มีอยู่ในบ้านนับแสนบาทคนร้ายก็ไม่เอา'

เรื่องนี้ทีม Special scoop ได้ติดต่อสอบถามไปยัง สน.ลาดพร้าว เนื่องจากครอบครัวของหมวยได้พากันไปแจ้งความไว้แล้ว โดย

พันตำรวจเอกภาคภูมิ พูลศิริโภคา หัวหน้าพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ได้เล่าถึงวิธีการหลอกล่อเหยื่อ และลักษณะการหากินของแก๊งตกทองในอดีตนั้น จะสร้างสถานการณ์ทำทีว่ามีคนทำทองหาย และจากนั้นมีคนเจอทองที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน

โดยแก๊งตกทองจะตระเวนหาผู้โชคร้าย ที่ตกเป็นเหยื่อตามแหล่งชุมชน ทั้งที่ป้ายรถเมล์ หรือที่เดินเลือกซื้อหาสินค้าอยู่ในแหล่งร้านค้าตลาดสดกลางเมือง ส่วนลักษณะการก่อเหตุของคนร้ายแก๊งตกทองคนแรก จะเดินเข้ามาหาเหยื่อพร้อมทำทีว่าทำ “ทองหาย” โดยยิงคำถามใส่เหยื่อว่า “พี่เห็นทองลักษณะนี้บ้างไหม หนูทำทองตกหาย 10 บาท ” ซึ่งส่วนใหญ่ “เหยื่อ” จะหลงเชื่อ และยังให้ความร่วมมือตอบคำถามว่า ไม่เห็นทองที่หายไป หลังจากนั้นแก๊งตกทองคนแรกก็จะวิ่งไปขึ้นรถหรือหายไป

ขั้นตอนต่อมาจะมีคนร้ายคนที่สองที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ทำเหมือนไม่รู้จักกับคนแรกจะเดินเข้ามาหาเหยื่อ เพื่อบอกว่า “พี่หนูเก็บทองได้นะ แต่อย่าไปแจ้งความ เอาไปขายแล้วแบ่งกันดีกว่า เพราะทองไม่มีเจ้าของ” และนำทองคำจริงออกจากห่อมาให้ดู

การลวงเหยื่อในขั้นตอนนี้ คนร้ายมักจะชักชวนเหยื่อให้ไปหาที่นั่งคุยกันหรือไปคุยที่บ้านของเหยื่อ โดยจะมีบทสนทนาลักษณะดังต่อไปนี้

“เอาอย่างนี้พี่มีบัตรประชาชนหนูไม่มีบัตร งั้นพี่เอาทองนี้ไป ในตัวพี่มีทองอยู่เท่าไหร่ พี่เอาทองให้หนูสัก 5 บาท เอาไปครึ่งๆ เลย เพราะต้องแบ่งกันคนละครึ่งอยู่แล้ว” หรืออาจจะเป็นมีเท่าไหร่เอาเท่านั้น

ในข้อเท็จจริง คนร้ายจะนำทองคำจริงมาล่อเหยื่อก่อน และจะนำใส่ห่อหรือถุงเท้าที่มีลักษณะคล้ายๆ กันกับทองปลอมที่เตรียมไว้ โดยมีการเตรียมการไว้ก่อนหน้าเพื่อเอาไว้สับเปลี่ยน และนำเอาทองคำปลอมที่อยู่ในถุงมาให้เหยื่อ โดยก่อนแลกเปลี่ยนกันนั้นจะให้โจรอีกคนถือไว้ ซึ่งเป็นการล่อลวงเหยื่อในขั้นตอนสุดท้าย และเมื่อเหยื่อไปถึงร้านทองเพื่อจะขายทอง จึงพบว่าเป็นทองปลอม เมื่อกลับมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ คนร้ายก็อันตรธานไปแล้ว และนี่เป็นวิธีการของคนร้ายที่เป็นลักษณะเดิม

เศรษฐกิจทรุด โจรอาละวาดมากขึ้น

อย่างไรก็ดีในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ คนตกงานมากขึ้น ปรากฏว่าเริ่มจะมีคดีลักษณะเช่นนี้กลับมาระบาดมากยิ่งขึ้นอีก โดยพบว่าคนร้ายแก๊งตกทองมีการพัฒนารูปแบบกลลวงใหม่ เพราะโจรยุคนี้ไม่ได้หลอกเอาทองจากผู้เสียหายในแหล่งชุมชนเช่นที่ผ่านมา แต่เปลี่ยนวิธีการล่อให้เหยื่อพาไปรื้อค้นหาทรัพย์สินและทองคำที่บ้าน ซึ่งพันตำรวจเอกภาคภูมิ พูลศิริโภคา ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมวย เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ว่า ผู้เสียหายเป็นคนจีนแต้จิ๋ว พูดภาษาไทยไม่ได้ โดนแก๊งตกทองล่อลวงระหว่างเดินจับจ่ายซื้อของที่ตลาดบางกะปิ ในเวลาประมาณ 9 โมงเช้า มีคนร้ายเป็นผู้หญิง 2 คนเข้ามาตีสนิท หลังจากนั้นก็ทำให้ผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้สึกตัว แล้วเหยื่อก็พาคนร้ายกลับไปที่พักของตน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนถนนกรุงเทพ-กรีฑา

โดยเมื่อถึงบ้านผู้เสียหายเล่าว่า ตนเองไม่รู้ตัว และได้ค้นทรัพย์สิน นำเอาทองคำแท่งหนัก 3 บาท สร้อยไพลิน 1 เส้น แหวนทองคำ 2 วง สร้อยคอทองคำ 1 เส้นให้กับคนร้ายไป

ความคืบหน้าในการติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ล่าสุดนั้น สน.ลาดพร้าวได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดของสำนักงานเทศกิจบางกะปิที่ติดในที่เกิดเหตุบริเวณตลาดบางกะปิแล้ว และมีภาพคนร้ายที่ก่อเหตุชัดเจน โดยในขั้นตอนต่อไป คือ การตรวจสอบประวัติคนร้ายจากกล้องวงจรปิด ถ้ามีประวัติการกระทำความผิด สามารถออกหมายจับได้เลย คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์

พันตำรวจเอกภาคภูมิ ย้ำว่าการติดตามล่าตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้ แม้จะมีการก่อเหตุตามไปที่บ้านของเหยื่อ แต่ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการก่อเหตุของแก๊งตกทองทั่วไป คือ “ทองหาย” และมีคนแปลกหน้าเข้ามาตีสนิท ชวนแบ่งทองกัน ซึ่งเหยื่อมักจะให้ข้อมูลว่าไม่รู้สึกตัว อย่างไรก็ดีกรณีนี้สำหรับในคดีอื่นๆ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งผู้เสียหายไปตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งผลไม่ปรากฏว่าพบสารผิดปกติ

“ส่วนใหญ่ที่เจอลักษณะนี้ ผู้เสียหายมักจะให้การว่ามีการป้ายยา หรือเป็นเพราะมนต์ดำไสยศาสตร์ แต่เมื่อส่งผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจหาหลักฐานว่ามีสารอะไรที่จะส่งผลให้มีอาการไม่รู้สึกตัว หรือเบลอบ้าง พบว่าทุกอย่างปกติ

พิจารณาจากการที่ผู้เสียหายสามารถพาคนร้ายกลับบ้านได้ ทำทุกอย่างถูกหมด แสดงว่าสติยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ รู้ตัวหมดทุกอย่าง พฤติการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ไม่รู้สึกตัว หรือโดนสะกดจิต สาเหตุอาจจะเป็นเพราะความอาย ว่าตัวเองถูกหลอกจึงบอกว่าโดนป้ายยาไม่รู้สึกตัว ทำให้ถอดทองให้คนร้ายไปหมดเลย หรืออาจจะไม่กล้าพูดความจริงกับญาติ จึงบอกว่าโดนยามาแตะแล้วเบลอ”

ส่วนความเชื่อว่า เป็นเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ ถือว่าเป็นสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลว่าจะมีมนต์นะจังงัง ตามที่มีในภาพยนตร์ ไม่สามารถนำมาพิสูจน์ในชั้นศาล หรือนำมาใช้ในการพิจารณาคดีได้

ชาวบ้านกลัวเป็นเหยื่อแบบ ‘หมวย’

หมวย เป็นหญิงเชื้อสายจีนวัย 40 กว่าๆ พูดไทยไม่ค่อยชัดเท่าไร ขณะที่สามีของเธอประกอบอาชีพเป็นแพทย์แผนจีนและเข้ามาอยู่เมืองไทยกว่า 10 ปีแล้ว และเมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ญาติของหมวยเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของหมวยมีความกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก และสับสนว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะจากกล้องวงจรปิดที่ทางญาติได้ไปติดต่อขอมาจากสำนักเทศกิจเขตบางกะปิก็พบภาพคนร้ายที่เดินไปด้วยกับหมวยชัดเจน ในขณะที่หมวยมีท่าทีอิดโรยจนต้องพยุง ส่วนคนร้ายก็เอาถุงต่างๆ ของหมวยไปช่วยถือด้วย

“คนร้ายเป็นผู้หญิง 2 คนเดินประกบหมวยพาข้ามสะพานลอยหน้าตลาดบางกะปิ ตรงห้างพันธุ์ทิพย์ บางกะปิมาลงฝั่งสำนักงานเขต แต่คนร้ายไม่เรียกแท็กซี่ตรงนั้น กลับพาหมวยเดินต่อมาและเรียกแท็กซี่ตรงสะพานข้ามคลอง มาจนถึงหมู่บ้านนักกีฬา”

เมื่อถึงหมู่บ้านนักกีฬา ทุกคนลงจากรถหมดและต่างรอหมวยที่ร้านเซเว่นหน้าหมู่บ้านที่หมวยอยู่เพื่อให้หมวยเข้าไปเอาทอง ตรงนี้กล้องวงจรปิดของร้านเซเว่นจับภาพไว้ได้หมด โดยมีคนร้ายหนึ่งคนเอามือบังหน้าไว้ และเมื่อหมวยเข้าไปในบ้านเพื่อเอาทอง หมวยได้รื้อของกระจุยกระจายและหยิบเฉพาะทอง ขณะที่มีเงินสดนับแสนบาท หมวยก็ไม่หยิบไป

“หมวยก็นั่งแท็กซี่กลับไปกับคนร้ายอีกและคนร้ายก็ปล่อยให้หมวยลงตรงจุดเดิมที่ขึ้นแท็กซี่ไป”

หมวยเล่าว่า ก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่า นั่งรถเมล์สาย 93 กลับมาบ้านได้อย่างไร และเมื่อมาถึงบ้านก็นอนหลับแบบไม่รู้เรื่องว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จนกระทั่งสามีและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน เห็นสภาพบ้านถูกรื้อค้น

อย่างไรก็ดีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น บรรดาญาติๆ และเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงที่ได้รับรู้เรื่องราวพร้อมดูกล้องวงจรปิดทั้งของเขตบางกะปิและของร้านเซเว่น ต่างพากันกลัวว่าเหตุการณ์นี้จะมาเกิดกับตนเองถึงกับออกปากกันว่า

“ต่อไปนี้ถ้าเราไปไหน จะต้องมีคนไปเป็นเพื่อน เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบหมวย พาคนร้ายมาเอาทรัพย์สินถึงบ้าน ก็กลัวว่าจะต้องหมดเนื้อหมดตัวกันแน่”

ขณะที่ญาติของหมวยเล่าอีกว่า ความจริงได้มีการคุยกันในวงญาติว่า อยากเอาเรื่องนี้ไปบอกให้สังคมได้รับรู้ผ่านรายการสื่อ เพราะเรามีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดปรากฏชัดเจนมาก จะได้ระมัดระวังและไม่ตกเป็นเหยื่อ แบบหมวย เพราะการที่คนร้ายสามารถสั่งได้ว่าต้องการทรัพย์สินอะไร และมาเอาถึงบ้านมันดูน่ากลัวมาก โดยคนร้ายถามหมวยก่อนว่า มีบัตรเอทีเอ็มหรือไม่ เมื่อหมวยตอบว่าไม่มี ก็ถามต่อว่าที่บ้านมีคนอยู่ไหม ก็บอกไม่มี ถามต่อไปว่ามีทองหรือไม่ หมวยก็บอกที่บ้านมีทองเก็บไว้ จากนั้นก็นำไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“น่าจะหาคำตอบให้ได้ว่า เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมหมวยถึงมีอาการเหมือนคนต้องมนต์ และทำไมต้องเอาเฉพาะทองคำแท้ ทองปลอมก็ไม่เอา เงินสดก็มีเก็บไว้เป็นแสนบาทแต่ไม่เอา”

หมวยเริ่มลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้และยืนยันว่าไม่รู้จักคนร้าย ที่คาดว่าจะมีประมาณ 4 คน โดยเฉพาะคนร้ายผู้หญิงที่มาตีสนิทกับหมวยด้วยท่าทีจะเป็นลม เรียกให้หมวยช่วยเหลือเพราะภาพที่ปรากฏชัดเจนและคงปล่อยให้เป็นเรื่องของ สน.ลาดพร้าว ดำเนินการต่อไป
พันตำรวจเอกภาคภูมิ พูลศิริโภคา หัวหน้าพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว
ปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะรู้ทันโจร

พันตำรวจเอกภาคภูมิ บอกอีกว่า การระบาดของแก๊งตกทอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีการฉ้อโกงทรัพย์ที่เกิดขึ้นในท้องที่ สน.ลาดพร้าว เขตบางกะปิ มีมานานแล้ว และในระยะหลัง ยังมีการขยายวงกว้างไปพื้นที่บริเวณใกล้เคียงอย่าง สน.มีนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่แก๊งตกทองอาละวาดด้วยเช่นกัน เหตุผลที่พื้นที่บริเวณนี้ติดอันดับต้น เป็นโซนที่มีแก๊งล่อลวงตกทองออกอาละวาดมาก นั่นเป็นเพราะพื้นที่นี้มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะด้วยลักษณะของชุมชนที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหลากหลาย มีทั้งคนในพื้นที่ดั้งเดิมและประชากรแฝงเข้ามาอาศัยร่วมด้วยค่อนข้างมาก

การที่มีบางคนโชคร้ายใส่สร้อยคอหรือแหวนทองคำเป็นเครื่องประดับติดตัวแล้วกลายเป็นเหยื่อ หรือผู้เสียหาย ที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อติดกับดักโจรที่ก่อเหตุในลักษณะนี้ สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดนั้น ประการแรก คือ นิสัยที่เป็นคนหลงเชื่อคนง่าย และมีความโลภ ทำให้มีโอกาสจะตกเป็นเหยื่อได้ง่ายมาก

“เพราะถ้าคนร้ายเอาทองมาล่อ แต่หากว่าเราไม่คิดอยากได้เรื่องราวก็จะจบ เพราะไม่เข้าไปยุ่งด้วย เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”

ประการต่อมา คือ คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และวันๆ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนไม่ได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร ไม่รู้ในเล่ห์เหลี่ยม รูปแบบของโจรที่แฝงมาในชุมชน ซึ่งเมื่อโจรสบโอกาสที่จะก่อเหตุ สุดท้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์จึงตกเป็นเหยื่อของคนร้ายทันที

สำหรับบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วงที่โจรเริ่มอาละวาดในพื้นที่ สน.ลาดพร้าว นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุได้หลายราย ส่วนการช่วยเหลือประชาชนลักษณะการป้องกันก่อนเกิดเหตุ คือ การเตือนภัยให้กับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาสื่อรายการโทรทัศน์ต่างๆ ก็มีการจัดทำเรื่องราวเพื่อเตือนประชาชนให้ระมัดระวังมาโดยตลอด ทำให้อัตราผู้เสียหายที่โดนล่อลวงลักษณะนี้เริ่มลดน้อยลงไป
กำลังโหลดความคิดเห็น