เป็นอันว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของไทย ถูกมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ 23 มกราคม 2558 ถอดถอน กรณีไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว สมาชิก สนช.เห็นชอบให้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ 190 เสียงไม่ถอดถอน 18 เสียง และงดออกเสียง 11 เสียง ผลจากการถูกถอดถอน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
หลังจากที่คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการเมืองของไทยมาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2556 จนเกือบที่จะมีการปะทะกันของมวลชน 2 ฝ่าย และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
แม้ในช่วงแรกของการรับเรื่องเข้าสู่การพิจารณาถอดถอน สนช.สายทหารจำนวนหนึ่งพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้มีการถอดถอน แต่สุดท้ายเรื่องก็เข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ทั้งคณะและมีมติออกมาดังกล่าว
ขณะเดียวกันในส่วนของคดีอาญา จากเดิมที่ค้างอยู่ในชั้นของอัยการสูงสุดนั้น ก่อนมีการลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ในส่วนของ สนช. ทางสำนักงานอัยการสูงสุดมีมติสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องมา ข้อหากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในโครงการรับจำนำข้าว
โดยในชั้นแรกนั้นอัยการสูงสุดยังไม่สั่งฟ้อง ต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุดเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ทางสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาแถลงว่า ได้พิจารณาพยานหลักฐานที่คณะทำงานส่งมาดังกล่าวข้างต้น ประกอบพยานหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดในสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้วเห็นว่า คดีมีความสมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีอาญาฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ จึงให้ดำเนินคดีอาญาฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามข้อกล่าวหา
หลังจากนั้นเป็นคิวของ สนช.ที่ลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผลของการถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้เธอต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ที่เป็นคนของตระกูลชินวัตรส่งมาและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองทั้ง 3 คน
จากนี้ไปผลทางคดีอาญาของนางสาวยิ่งลักษณ์ คงต้องอยู่ที่การพิจารณาของศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาออกมาเช่นไร
หลากหลายอารมณ์คนชินวัตร
อย่างไรก็ดีเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติถอดถอน “ปู ยิ่งลักษณ์” อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยเสียง 190 ต่อ 18 เสียง คนในตระกูลชินวัตร ได้ระดมใช้โซเชียลมีเดียด้วยข้อความและภาพต่างๆ ออกมา เพื่อสื่อให้สังคมรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับสำรวจความพร้อมของพลังที่สนับสนุนคนชินวัตร
เริ่มตั้งแต่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์คำแถลงในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ข้อความว่า “เป็นไปตามความคาดหมาย ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตนเองขอยืนยัน และมั่นใจในความบริสุทธิ์” และยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี ไม่ได้สร้างความเสียหายแต่อย่างใด และเสียใจแทนชาวนาและประชาชนคนไทยทั้งประเทศ.......”
นอกจากนี้ยังกล่าวในเชิงตัดพ้ออีกว่า เธอโดนถอดถอนโดยไม่เป็นธรรม และถูกยัดเยียดให้ผิด เพราะความมีอคติต่อตัวเองและนำชาวนามาเป็นเครื่องมือ ในการทำลายล้างทางการเมือง และหวังว่าฝ่ายยุติธรรมจะไม่ถูกคนกลุ่มใดชี้นำได้ เพราะจะทำให้ประเทศไม่เหลือความยุติธรรม
จากนั้น “โอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์อินสตาแกรมมีข้อความว่า “พร้อมไหมพร้อม? พร้อมไหมคนไทย” อีกทั้งยังมีภาพชูกำปั้น บนพื้นหลังที่เป็นสีดำ หลังจากนั้นยังโพสต์ข้อความต่อเนื่องอีกว่า “เข้าใจตรงกันนะ”
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาบ่ายโมงตรง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นอินสตาแกรมว่า “นี่คงไม่ใช่ครั้งแรก..ครั้งสุดท้าย..เจ็บจนชิน ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจค่ะ (ภาพกราฟิกพนมมือ)” พร้อมเขียนข้อความด้วยว่า ไม่มีประเด็นนะคะ #แฟนทิ้งค่ะ #หรา”
“เพื่อไทย” เคลื่อนไหวทันที
ส่วนความเคลื่อนไหวจากพรรคเพื่อไทย ล่าสุด “นายก่อแก้ว พิกุลทอง” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาแสดงความเห็นข้องใจ ที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องอาญา ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติว่าจะถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะอาจจะทำให้ประชาชนมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมืองเพื่อจ้องเล่นงานเฉพาะคนในตระกูลชินวัตร
ขณะที่คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงท่าทีด้วยเช่นกัน “นายสิงห์ทอง บัวชุม” กล่าวถึงมติถอดถอนในครั้งนี้ว่า ทีมทนายรู้สึกกังวลต่อกรณีที่อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยในคดีที่กล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จากกรณีส่อทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเป็นคดีอาญามีบทกำหนดโทษที่ร้ายแรงกว่า แต่ก็เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งต้องดูเงื่อนไขว่าจะนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มใด “เพราะหากไม่มีนิรโทษกรรม การปรองดองจะไม่เกิดผล” และทุกอย่างจะกลับไปในอดีตทำให้การปฏิรูปไม่เป็นผล
ย้อนมองคนชินวัตรถูกตัดสิทธิ์
หากไล่ย้อนไปถึงผู้ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในพรรคเพื่อไทย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาอย่างพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ที่มีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทยทุกวันนี้ก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีมาแล้วเช่นกัน
กรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีเป็นผลจากคดียุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 ครั้งนั้น ถูกกล่าวหาว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงเลือกตั้งเพราะต้องการหลีกเลี่ยงกฎ 20% จนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง จนไปสู่ขั้นศาลรัฐธรรมนูญและพิพากษายุบพรรค ทักษิณในฐานะหัวหน้าพรรคจึงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
ต่อมานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 สามีของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีเช่นเดียวกัน จากกรณีการยุบพรรคเพื่อไทย (เปลี่ยนชื่อมาจากไทยรักไทยที่ถูกยุบ) เมื่อปี 2551 ที่มีกรรมการบริหารพรรคเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งและศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษายุบพรรคในปลายปี 2551
ไม่เพียงแค่ 3 รายของคนในตระกูลชินวัตรที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีเท่านั้น แต่ยังมีกรณีของนางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263
เชื่อทักษิณสู้ไม่ถอย
ด้านแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การตัดสินครั้งนี้ทั้งในเรื่องการตัดสิทธิ์ทางการเมือง และสั่งฟ้องคดีอาญายิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และจะต้องต่อสู้ทุกวิถีทางต่อไปโดยเฉพาะต้องดำรงความเป็นพรรคเพื่อไทยและส่งผู้สมัครเพื่อชนะในการเลือกตั้งสมัยหน้าให้ได้แน่นอน
“เวลานี้เราไม่อาจเคลื่อนไหวต่อต้านอะไรได้ แค่อดีตหัวหน้าพรรคจะแถลงข่าวหลัง สนช.ลงมติยังไม่ได้เลย ทำให้ตอนนี้พรรคต้องระมัดระวังและเตรียมพร้อมจะหาใครมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป”
โดยในเบื้องต้นคาดการณ์กันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (ณ ป้อมเพชร) จะเลือกคนในชินวัตรมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งอาจจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นแทนอดีตนายกยิ่งลักษณ์ แต่ก็มีเสียงคัดค้านเพราะจะกลายเป็นเป้าให้ฝ่ายที่ไม่ชอบตระกูลชินวัตร จัดการได้ง่าย
“อาจจะมีการเลือกคนนอกที่ภาพลักษณ์ดีๆ เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคแทน เพราะไม่ว่าใครเป็นหัวหน้าพรรค เราก็เชื่อว่า ประชาชนในต่างจังหวัด ทั้งเหนือ อีสาน เลือกคนเพื่อไทย ทำให้มีโอกาสชนะเลือกตั้ง แต่ถ้าได้เนื้อชินวัตรจะดีที่สุด”
ดังนั้นสถานการณ์จากนี้ไปในเรื่องของคดีความ คงเป็นหน้าที่ของทีมทนายความของพรรคที่ต้องดำเนินการต่อสู้ในชั้นศาลให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องสู้กันถึงที่สุดก่อน ส่วนผลจะเป็นอย่างไรค่อยมาพิจารณากัน เพราะสิ่งที่เร่งพิจารณากันในช่วงนี้คือการหาตัวผู้นำคนใหม่ของพรรคเพื่อไทยต่อไป
“สมาชิกพรรคยังเชื่อว่าผู้นำของพรรคเพื่อไทยคนต่อไป ที่ต้องการชูเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมาจากตระกูลชินวัตร เพราะคุณทักษิณไม่ไว้ใจใคร” คนจากพรรคเพื่อไทยย้ำ
ทำให้ทุกสายตาจึงเริ่มพุ่งเป้าไปที่สายตรงอย่างลูกของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างพานทองแท้ ชินวัตร พิณทองทา หรือแพทองธาร แต่ลูกสาวคนเล็กคงยังเด็กเกินไป หรืออาจต้องไปหาคนอื่นอย่างลูกของพี่ๆ น้องๆ ของทักษิณ ที่บางคนก็มีบทบาททางการเมืองอยู่ในวงนอกเข้ามาแทนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ปั้นมากับมือ
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ปั้นยิ่งลักษณ์ ที่ในอดีตก็อ่อนต่อโลกการเมือง เข้ามานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ แล้วทำไมจะปั้นคนในชินวัตร ที่อ่อนหัดกว่ายิ่งลักษณ์ เข้ามาสู้ในสนามการเมืองไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม!
หลังจากที่คดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการเมืองของไทยมาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2556 จนเกือบที่จะมีการปะทะกันของมวลชน 2 ฝ่าย และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
แม้ในช่วงแรกของการรับเรื่องเข้าสู่การพิจารณาถอดถอน สนช.สายทหารจำนวนหนึ่งพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้มีการถอดถอน แต่สุดท้ายเรื่องก็เข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ทั้งคณะและมีมติออกมาดังกล่าว
ขณะเดียวกันในส่วนของคดีอาญา จากเดิมที่ค้างอยู่ในชั้นของอัยการสูงสุดนั้น ก่อนมีการลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ในส่วนของ สนช. ทางสำนักงานอัยการสูงสุดมีมติสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งเรื่องมา ข้อหากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในโครงการรับจำนำข้าว
โดยในชั้นแรกนั้นอัยการสูงสุดยังไม่สั่งฟ้อง ต้องมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุดเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ทางสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาแถลงว่า ได้พิจารณาพยานหลักฐานที่คณะทำงานส่งมาดังกล่าวข้างต้น ประกอบพยานหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดในสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.แล้วเห็นว่า คดีมีความสมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีอาญาฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ จึงให้ดำเนินคดีอาญาฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามข้อกล่าวหา
หลังจากนั้นเป็นคิวของ สนช.ที่ลงมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผลของการถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้เธอต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ที่เป็นคนของตระกูลชินวัตรส่งมาและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองทั้ง 3 คน
จากนี้ไปผลทางคดีอาญาของนางสาวยิ่งลักษณ์ คงต้องอยู่ที่การพิจารณาของศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำพิพากษาออกมาเช่นไร
หลากหลายอารมณ์คนชินวัตร
อย่างไรก็ดีเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติถอดถอน “ปู ยิ่งลักษณ์” อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยเสียง 190 ต่อ 18 เสียง คนในตระกูลชินวัตร ได้ระดมใช้โซเชียลมีเดียด้วยข้อความและภาพต่างๆ ออกมา เพื่อสื่อให้สังคมรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับสำรวจความพร้อมของพลังที่สนับสนุนคนชินวัตร
เริ่มตั้งแต่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์คำแถลงในเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ข้อความว่า “เป็นไปตามความคาดหมาย ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติถอดถอนตนเองออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตนเองขอยืนยัน และมั่นใจในความบริสุทธิ์” และยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี ไม่ได้สร้างความเสียหายแต่อย่างใด และเสียใจแทนชาวนาและประชาชนคนไทยทั้งประเทศ.......”
นอกจากนี้ยังกล่าวในเชิงตัดพ้ออีกว่า เธอโดนถอดถอนโดยไม่เป็นธรรม และถูกยัดเยียดให้ผิด เพราะความมีอคติต่อตัวเองและนำชาวนามาเป็นเครื่องมือ ในการทำลายล้างทางการเมือง และหวังว่าฝ่ายยุติธรรมจะไม่ถูกคนกลุ่มใดชี้นำได้ เพราะจะทำให้ประเทศไม่เหลือความยุติธรรม
จากนั้น “โอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์อินสตาแกรมมีข้อความว่า “พร้อมไหมพร้อม? พร้อมไหมคนไทย” อีกทั้งยังมีภาพชูกำปั้น บนพื้นหลังที่เป็นสีดำ หลังจากนั้นยังโพสต์ข้อความต่อเนื่องอีกว่า “เข้าใจตรงกันนะ”
ขณะเดียวกันในช่วงเวลาบ่ายโมงตรง “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นอินสตาแกรมว่า “นี่คงไม่ใช่ครั้งแรก..ครั้งสุดท้าย..เจ็บจนชิน ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจค่ะ (ภาพกราฟิกพนมมือ)” พร้อมเขียนข้อความด้วยว่า ไม่มีประเด็นนะคะ #แฟนทิ้งค่ะ #หรา”
“เพื่อไทย” เคลื่อนไหวทันที
ส่วนความเคลื่อนไหวจากพรรคเพื่อไทย ล่าสุด “นายก่อแก้ว พิกุลทอง” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาแสดงความเห็นข้องใจ ที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องอาญา ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะลงมติว่าจะถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะอาจจะทำให้ประชาชนมองว่าเป็นการหวังผลทางการเมืองเพื่อจ้องเล่นงานเฉพาะคนในตระกูลชินวัตร
ขณะที่คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงท่าทีด้วยเช่นกัน “นายสิงห์ทอง บัวชุม” กล่าวถึงมติถอดถอนในครั้งนี้ว่า ทีมทนายรู้สึกกังวลต่อกรณีที่อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยในคดีที่กล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี มีความผิดมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จากกรณีส่อทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเป็นคดีอาญามีบทกำหนดโทษที่ร้ายแรงกว่า แต่ก็เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งต้องดูเงื่อนไขว่าจะนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มใด “เพราะหากไม่มีนิรโทษกรรม การปรองดองจะไม่เกิดผล” และทุกอย่างจะกลับไปในอดีตทำให้การปฏิรูปไม่เป็นผล
ย้อนมองคนชินวัตรถูกตัดสิทธิ์
หากไล่ย้อนไปถึงผู้ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายในพรรคเพื่อไทย และเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาอย่างพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ที่มีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทยทุกวันนี้ก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีมาแล้วเช่นกัน
กรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีเป็นผลจากคดียุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 ครั้งนั้น ถูกกล่าวหาว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงเลือกตั้งเพราะต้องการหลีกเลี่ยงกฎ 20% จนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง จนไปสู่ขั้นศาลรัฐธรรมนูญและพิพากษายุบพรรค ทักษิณในฐานะหัวหน้าพรรคจึงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
ต่อมานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 สามีของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีเช่นเดียวกัน จากกรณีการยุบพรรคเพื่อไทย (เปลี่ยนชื่อมาจากไทยรักไทยที่ถูกยุบ) เมื่อปี 2551 ที่มีกรรมการบริหารพรรคเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งและศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษายุบพรรคในปลายปี 2551
ไม่เพียงแค่ 3 รายของคนในตระกูลชินวัตรที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีเท่านั้น แต่ยังมีกรณีของนางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263
เชื่อทักษิณสู้ไม่ถอย
ด้านแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การตัดสินครั้งนี้ทั้งในเรื่องการตัดสิทธิ์ทางการเมือง และสั่งฟ้องคดีอาญายิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และจะต้องต่อสู้ทุกวิถีทางต่อไปโดยเฉพาะต้องดำรงความเป็นพรรคเพื่อไทยและส่งผู้สมัครเพื่อชนะในการเลือกตั้งสมัยหน้าให้ได้แน่นอน
“เวลานี้เราไม่อาจเคลื่อนไหวต่อต้านอะไรได้ แค่อดีตหัวหน้าพรรคจะแถลงข่าวหลัง สนช.ลงมติยังไม่ได้เลย ทำให้ตอนนี้พรรคต้องระมัดระวังและเตรียมพร้อมจะหาใครมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป”
โดยในเบื้องต้นคาดการณ์กันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (ณ ป้อมเพชร) จะเลือกคนในชินวัตรมาเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งอาจจะเป็นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นแทนอดีตนายกยิ่งลักษณ์ แต่ก็มีเสียงคัดค้านเพราะจะกลายเป็นเป้าให้ฝ่ายที่ไม่ชอบตระกูลชินวัตร จัดการได้ง่าย
“อาจจะมีการเลือกคนนอกที่ภาพลักษณ์ดีๆ เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคแทน เพราะไม่ว่าใครเป็นหัวหน้าพรรค เราก็เชื่อว่า ประชาชนในต่างจังหวัด ทั้งเหนือ อีสาน เลือกคนเพื่อไทย ทำให้มีโอกาสชนะเลือกตั้ง แต่ถ้าได้เนื้อชินวัตรจะดีที่สุด”
ดังนั้นสถานการณ์จากนี้ไปในเรื่องของคดีความ คงเป็นหน้าที่ของทีมทนายความของพรรคที่ต้องดำเนินการต่อสู้ในชั้นศาลให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องสู้กันถึงที่สุดก่อน ส่วนผลจะเป็นอย่างไรค่อยมาพิจารณากัน เพราะสิ่งที่เร่งพิจารณากันในช่วงนี้คือการหาตัวผู้นำคนใหม่ของพรรคเพื่อไทยต่อไป
“สมาชิกพรรคยังเชื่อว่าผู้นำของพรรคเพื่อไทยคนต่อไป ที่ต้องการชูเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมาจากตระกูลชินวัตร เพราะคุณทักษิณไม่ไว้ใจใคร” คนจากพรรคเพื่อไทยย้ำ
ทำให้ทุกสายตาจึงเริ่มพุ่งเป้าไปที่สายตรงอย่างลูกของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างพานทองแท้ ชินวัตร พิณทองทา หรือแพทองธาร แต่ลูกสาวคนเล็กคงยังเด็กเกินไป หรืออาจต้องไปหาคนอื่นอย่างลูกของพี่ๆ น้องๆ ของทักษิณ ที่บางคนก็มีบทบาททางการเมืองอยู่ในวงนอกเข้ามาแทนยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ปั้นมากับมือ
เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ปั้นยิ่งลักษณ์ ที่ในอดีตก็อ่อนต่อโลกการเมือง เข้ามานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ แล้วทำไมจะปั้นคนในชินวัตร ที่อ่อนหัดกว่ายิ่งลักษณ์ เข้ามาสู้ในสนามการเมืองไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม!