ตีแผ่เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติระหว่างพระสงฆ์ที่ “โดนของ” และเซียนพระที่อยู่ในบทบาทของ “คนแก้ของ” สะท้อนมุมมอง 2 ด้าน ต่างลงความเห็นตรงกันว่ามนต์ดำไสยศาสตร์ ยังมีอยู่จริงในโลกนี้ ชี้ กทม.จะเป็นศูนย์รวมมนต์ดำจากทั่วสารทิศ พร้อมบอกวิธีเลี่ยงไม่ให้มนต์ดำเข้าตัว โดยเฉพาะพวกที่ชอบเที่ยวป่าพึงระมัดระวัง ส่วนใครที่ถูกมนต์ดำจะมีลักษณะเด่นชัดที่คนปกติไม่เป็น ที่สำคัญคนทุกชนชั้นเกี่ยวข้องกับมนต์ดำ ที่มักจะมากับเรื่องของการชิงมรดก การช่วงชิงอำนาจ และเรื่องชู้สาว ที่วันนี้ภรรยาหลวงของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใช้ “มนต์ดำ” ดึงสามีกลับคืน!
โลกสมัยใหม่ เมื่อพูดถึงเรื่องไสยศาสตร์หรือมนต์ดำ ดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไกลตัวและเกินจริง แต่เรื่องนี้ก็พลิกชะตาชีวิตพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งมีการศึกษาระดับดอกเตอร์ จากต่างประเทศ และครึ่งหนึ่งของชีวิตท่านได้บวช เล่าเรียนพุทธศาสนา ซึ่งขณะนี้จำวัดอยู่ที่วัดดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันมีอันต้องจมอยู่ในความทุกข์ร่างกายต้องทรมาน พบกับความเจ็บปวดมานานหลายปี
พิสูจน์มนต์ดำมีจริง
โดยพระรูปนี้บอกว่า ตัวท่านไม่เคยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำ กระทั่งพลาดพลั้งประสบเข้ากับตัวเอง จึงอยากบอกให้ทุกคนรู้ว่ามนต์ดำเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง และมันร้ายกาจขนาดไหน แม้ตัวเองเป็นพระ สอนทางด้านพุทธศาสนาในระดับปริญญาตรี โท เอก ก็ยังเอาตัวไม่รอด
“ที่บอกว่ามนต์ดำร้ายกาจ เพราะในกลุ่มมีด้วยกัน 5 คน มีทั้งพระและฆราวาส ทั้งหมดโดนมนต์ดำ ทุกคนต่างพากันไปหาหมอในโรงพยาบาลหลายๆ แห่ง แต่อาการก็ไม่ดีขั้น อาการปวดเมื่อยทรมานยังคงอยู่ สุดท้าย 4 คนก็ตายไป จึงเหลือเพียงอาตมารูปเดียวเท่านั้น”
พระรูปนี้เล่าอีกว่า การตายของทั้ง 4 คนจะเหมือนกันคือตายโดยไม่รู้สาเหตุ โดยระยะหลังทั้งกลุ่มก็เริ่มหันไปหาหมอทางไสยศาสตร์ เพราะเมื่อเราหาหมอที่โรงพยาบาลแล้วไม่ดีขึ้นอาการปวดมีแต่หนักขึ้น จึงต้องพึ่งไสยศาสตร์ โดยพยายามไปถอนของที่พวกเราโดนตามที่ต่างๆ แต่เมื่อมันเข้าไปที่เส้นเลือดแล้วก็ยากที่จะรอดชีวิต
“อาตมาจบปริญญาเอกพุทธศาสนาจากต่างประเทศ จึงไม่มีเรื่องมนต์ดำอยู่ในสมอง แต่ตอนนี้ยอมรับแล้ว และการที่อาตมาโดนของ ก็เป็นเพราะการแย่งชิงอำนาจกันในวงการสงฆ์ ซึ่งมันมีอยู่จริง ในลักษณะเหมือนไปทับเส้นคนอื่น อาตมาเองก็ไม่รู้ไม่ได้ตั้งใจ แค่ไปเห็นเฉยๆ เค้าก็คิดไปว่าจะทำอะไรเค้า”
ส่วนการโดนของเข้าร่างกายนั้น พระรูปนี้เล่าว่า จะมาในรูปของการใส่ในอาหาร ซึ่งทำให้ท่านมีอาการปวดท้องแบบทุรนทุราย จนทนไม่ไหว ส่วนเพื่อนของท่านก็มีอาการเช่นเดียวกัน แต่ทุกคนต่างพากันไปหาหมอที่โรงพยาบาล และรักษาทางยามาตลอด ส่วนอาตมาเลือกสวดมนต์ภาวนา ดับความเจ็บปวดแทน
“เพื่อนๆ ไปหาหมอรักษาทางยาอยู่ 2 ปี หมอเจาะเลือดตรวจก็ไม่พบสาเหตุของโรค ทำอย่างนี้ซ้ำๆ อยู่นาน เพื่อนๆ และอาตมา จึงตัดสินใจตระเวนหาหมอผี เรียกว่าตระเวนกันไปทั่วประเทศ ทั้งหมอแขก หมอมุสลิม เค้าบอกเหมือนกันเลยว่าโดนของมา ตอนนี้อาตมาก็เลือกรักษากับอาจารย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งเป็นมหาที่บวชเรียนมาแล้ว และมีความรู้ด้านอาคม ช่วยรักษาและบรรเทาอาการปวดให้จนถึงวันนี้”
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระรูปนี้และเพื่อนๆ อีก 4 คน ท่านมีการบันทึกไว้อย่างละเอียดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวของท่านบ้าง เหมือนไม่ใช่ตัวตนของท่าน มีคนอื่นมาบังคับ จึงตั้งสมาธิสวดมนต์ภาวนา
พระรูปนี้เล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและสงบว่า “วันนี้ในกลุ่มเหลืออาตมาเพียงคนเดียว ก็ไม่รู้ว่า “ของ” จะเข้าถึงเส้นเลือดและจะจบชีวิตเหมือนเพื่อนๆ วันไหน เพราะวันนี้ยังไม่สามารถเอาของออกจากตัวได้หมด แม้เวลาที่ผ่านมาก็ไปแสวงหาสถานที่แก้ อำนาจแห่งมนต์ดำ เวทมนตร์และไสยศาสตร์เหล่านี้ออกจากร่างกายแล้วก็ตาม
วงการสงฆ์ใช้มนต์ดำชิงตำแหน่ง
แต่ในระหว่างที่พระรูปนี้เล่าถึงเรื่องมนต์ดำนั้น ก็เกิดอาการประหลาดที่ทีม Special scoop ก็รู้สึกตกใจและกลัวๆ ไปด้วยเพราะอยู่ๆ ท่านก็มีอาการกระตุก สั่น และขนแขนลุก หน้าคล้ำ พร้อมๆ กับมีอาการตาเหลือก ปลิ้น คล้ายๆ กับอาการชักอยู่ประมาณ 1-2 นาที จึงค่อยๆ สงบลง
จากนั้นพระรูปนี้ก็หยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง จึงบอกมาว่า อาการที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เป็นอาการของที่กำลังเข้าตัว เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้คนที่ไม่เชื่อได้เห็น ซึ่งตัวพระเองก็บอกอีกว่าเมื่อมนต์ดำเข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านแล้ว ก็เหมือนรอวันว่า มนต์ดำจะสำแดงและจะเข้ากระแสเลือด และร่างกายท่านก็จะอ่อนล้าไป และในที่สุดคือจบชีวิตตามเพื่อนทั้ง 4 ไป
“หลายปีมานี้ปวดเมื่อยและเจ็บปวดภายในท้องเป็นระยะ อาตมาก็ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจของสงฆ์ ที่จะขึ้นสวดศพกับใครได้เลย เพราะว่าการเข้าไปในพิธีสวดศพจะมีวิญญาณตามมา และเท่ากับเป็นการบั่นทอนอายุอาตมาให้สั้นลงไปอีก”
อย่างไรก็ดี พระรูปนี้เล่าต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า คนจำนวนมากอาจไม่เชื่อว่าวงการสงฆ์มีการแก่งแย่งชิงดีกัน ถึงขั้นมีการ “ใส่ของ” แต่อาตมามานั่งประมวลภาพทุกอย่างที่เกิดขั้น จนกระทั่งเพื่อนอาตมาเสียชีวิต และตัวอาตมาเองก็ต้องมาโดนวิบากกรรมแบบนี้ก็น่าจะมาจาก “เรื่องชิงดีชิงเด่นกันในวงการสงฆ์ โดยอาตมาสังเกตว่าพระหรือฆราวาสหากไปปะทะกับท่านคนนั้น ก็จะโดนเหมือนกัน
“ประมวลภาพแล้ว ก็ได้แต่นึกอยู่ในใจให้ระวัง ไม่กล้าบอกให้ใครๆ รู้ว่าจงระวังท่าน แต่เรื่องนี้มันจับตัวตนไม่ได้ ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าท่านมีการทำมนต์ดำใส่”
พระรูปนี้บอกว่า หากนำเรื่องนี้มาเปิดเผยคงไม่มีใครเชื่อ แต่ก็อยากเตือนให้ทุกคนระวังตัวเพราะ “มนต์ดำเป็นสิ่งไม่ดี” อย่าไปเกี่ยวข้อง เมื่อเข้ามาในร่างกายแล้วสามารถเข้ามาในกระแสเลือด ทำลายกัดกร่อนกระดูกของเราได้ และสิ่งที่พิสูจน์ได้อีกอย่างหนึ่งคือในช่วงเวลา 2 ปีผ่านมาที่ไม่ได้เจอพระหนุ่มรูปนี้ บอกได้ทันทีว่าวันนี้ร่างกายท่านทรุดโทรมลงไปมาก ดูอ่อนเพลีย ผิวดำคล้ำ แววตาเหนื่อยล้า แต่ในด้าน “สมอง” ของท่านยังดูเฉียบคม ยังคงสอนหนังสือในสถาบันการศึกษาและเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทและเอก จนถึงทุกวันนี้
ก่อนที่จะนมัสการลาพระรูปนี้นั้น ท่านฝากเตือนว่า “ตัวอาตมาจบดอกเตอร์ เป็นอาจารย์สอนหนังสือ และเป็นพระที่เลื่อมใสมีความเคารพศรัทธาพุทธศาสนาแท้ๆ แต่ต้องมาเกี่ยวข้องและเจ็บปวดกับสิ่งนี้ “มันไม่น่าเลย” ซึ่งมนต์ดำสามารถสัมผัสกับคนได้ทั่วไป สามารถเข้าได้ทุกอย่าง ถ้าเราหลีกได้ควรหลีกให้ไกล ใช้พุทธคุณ (อำนาจความดีของพุทธศาสนา) เป็นตัวนำทางที่ดีที่สุด”
กทม.ศูนย์รวมไสยศาสตร์มนต์ดำ
อย่างไรก็ดี ทีม Special scoop ไปสอบถามนายธวัชชัย ศิริพลารักษ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ ชำนาญด้านการแก้ไสยศาสตร์มนต์ดำ หรือที่ในวงการพระเครื่องรู้จักกันในนามว่า “ตือ ท่าพระจันทร์” ซึ่งกล่าวยอมรับว่า “มนต์ดำมีจริง” ใครที่โดนต้องไปถอนออก และปัจจุบันกรุงเทพฯ กลายเป็นแหล่งรวมของไสยศาสตร์มนต์ดำแบบไม่น่าเชื่อ
จากประสบการณ์ที่ตนเองเกี่ยวข้องกับเรื่องมนต์ดำและมนต์ขาวมาตั้งแต่เด็ก ทั้งสืบทอดวิชามนต์ขาวจากบิดา และยังมีโอกาสเล่าเรียนกับพระเกจิมีชื่อเสียงโด่งดังด้าน “รอยสัก คาถาอาคมและวิชาอยู่ยงคงกระพัน” คือ “หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม และ “หลวงปู่เจือ” วัดกลางบางแก้ว พระที่สืบสานตำนานการสร้าง “เบี้ยแก้” ซึ่งเป็นเครื่องรางของขลังที่เชื่อกันว่ามีสรรพคุณด้านการคุ้มครองป้องกันและแก้อาถรรพ์ต่างๆ และต่อมาได้เข้าไปทำงานเป็นผู้คุมที่เรือนจำบางขวางอยู่ 4-5 ปี ทำให้ได้สัมผัสกับวิชาคุณไสยนานารูปแบบ
ยิ่งไปกว่านั้นการได้ศึกษาค้นคว้า และเจอกับเรื่องเหล่านี้มาตลอด ทำให้อาจารย์ตือยอมรับว่าเรือนจำเป็นแหล่งที่สะสมของไสยศาสตร์มนต์ดำ และวันนี้มนต์ดำจากหลายๆ ที่ได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคนมีของ ที่อาศัยในพื้นที่รอบนอกชายแดนติดกับประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ที่มีคุณไสย จะถูกขับไล่หนีมาแฝงตัวอยู่ในชุมชนแออัดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ
ดังนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ดวงเราตก สัมภเวสีก็จะเข้ามาง่าย ต้องดูอาการของแต่ละคนเพราะไม่เหมือนกัน บางคนเข้าไปแล้วกลายเป็นเสียงแขกพูดออกมา แล้วมองลักษณะตัวแข็ง ซึ่งนี่ไม่ธรรมดา เป็นลักษณะของการโดนมนต์ดำ พวกแขกทำ ตัวดำพูดเป็นภาษาแขกน่ากลัว เพราะเอาของออกยากมาก อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงประเภทคุณไสยมนต์ดำนั้นมีมากกว่า 200 ชนิด โดยหลักๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับวิญญาณที่ตายแล้วไม่ยอมไปผุดไปเกิด คือตายแล้วยังสิงสถิตอยู่บริเวณนั้น
อาจารย์ตือบอกว่า มนต์ดำจะเป็นพวกที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณต่างๆ ซึ่งมีหลายแบบด้วยกัน ตัวอย่างเช่น 1.วิญญาณของเด็กที่แม่ไปทำแท้งไม่ยอมให้ลืมตามาดูโลก 2.ผีบัง แอบเอาเด็กไปซ่อนไว้ และให้ตายอยู่ข้างในหรือเข้าไปอยู่ข้างใน สำหรับเด็กอย่าไปวิ่งเล่น 3.ผีสามแพร่ง คนดวงตกอย่าไปยืนตรงนี้ ผีจะวิ่งเข้าเท้าได้ ลมเพลมพัด 4.ผีสัมภเวสี หมายถึง ข้างถนนตายโหง คนที่ตายแล้วไม่ได้ไปเกิด จังหวะหากเราไปล้มข้างถนนอยู่ตรงนั้นก็เข้าเราทันที กำลังหาจังหวะและโอกาส 5.ผีโลงศพ ตายไปแล้วไม่มีใคร ญาติทิ้งเอาไว้เดินไปบริเวณนั้นไปเหยียบเข้าที่เท้า เช่นตามวัดวาอารามไม่ครบพิธีส่งวิญญาณ 6.ผีในโรงพยาบาล ตายไปแล้วไม่มีญาติ หรือโดนสตัฟฟ์ไว้ไม่ให้ไปเกิด จะนั่งร้องไห้อยู่ในโรงพยาบาล แล้วดูไปดูมาก็เข้าตัว 7.ผีทัก คือ เวลามีคนมาทักทาย เรียกชื่อ ได้ยินเสียงตูมตามแล้วขานรับ จะเข้าเราได้เลย 8.ผีป่า เวลาไปอาบน้ำเดินป่าต้องกราบไว้ ต้องล้างอาถรรพ์ ต้องเขวี้ยงหินลงไปก่อน จะมีไอน้ำลอยขึ้นมาเป็นการโยนหินถามทาง
มนต์ดำเกี่ยวข้องชู้สาว-ชิงผลประโยชน์
ส่วนใครที่โดนคุณไสยหรือโดนของ จะมีลักษณะเด่นที่เห็นกันชัดเจนคือ หน้าจะดำหมอง, อารมณ์จะเปลี่ยนแปลง,จะเกิดการปวดเมื่อยตามร่างกาย, หูจะร้อน, จิบน้ำจะออกรสชาติแปลก เปรี้ยว เค็ม และหวาน
“ทุกคนมีความเสี่ยงจะโดนมนต์ดำได้เหมือนกันหมด แต่คุณไสยหรือมนต์ดำเข้าที่ตัวไม่ได้ แต่จะวิ่งเข้าที่เท้าเพื่อไปอยู่ในร่างกายของเรา และทุกคนมีโอกาสไปเหยียบหรือไปนอนในที่ที่มีวิญญาณ และเข้าเราได้ทันที ยิ่งถ้าเรารู้ว่าดวงตกก็อย่าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นด้านลบ คนที่ชอบไปเที่ยวป่าเขา หากดวงกำลังตกในช่วงนั้นให้ระวัง จะไปเหยียบไปพลาดท่าได้”
ดังนั้นวิธีการป้องกันไม่ให้มนต์ดำที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เข้ามาทำร้ายเราได้นั้น จะต้องปฏิบัติตัวดังนี้
1.อย่านอนโดยหันเท้าออกนอกประตู 2.อย่ายืนตรงทางสามแพร่ง 3.ระวังไม่หกล้มข้างถนน 4.เวลาได้ยินเรียกชื่อเรา หรือได้ยินเสียงอะไรอย่าไปทัก ให้เห็นหน้าเห็นตาก่อนแล้วค่อยขานรับ 5.ข้อปฏิบัติในการเดินทางไปในป่า คือ ต้องกราบไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา หรือเวลาจะใช้น้ำให้แก้อาถรรพ์โดยปาหินถามทาง 6.เวลาไปนอนในป่าอย่าพาดเท้าไปที่ต้นไม้ใหญ่ หรือปัสสาวะใส่ เพราะต้นไม้ใหญ่จะมีเทวดาอาศัยอยู่ 7.การนั่งอย่าหันหลังให้คนอื่น ให้นั่งหันหลังชนกำแพงแล้วหันหน้ามองออกไป 8. ถ้าสงสัยว่าโดนของ ให้ใช้เกลือล้างเท้าก่อนนอน คุณไสยจะหลุดออกไป 9.เวลาเข้าห้องน้ำ ทำธุระถ่ายหนักถ่ายเบาไม่ให้คุยกัน
ข้อปฏิบัติเหล่านี้เป็นวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองต้องเจอมนต์ดำ ทั้งนี้หากเจอมนต์ดำควรทำอย่างไรบ้างนั้น อาจารย์ตือบอกว่า วิธีการคือต้องไปรักษากับแพทย์ให้แน่ใจ ถ้าไม่หายจึงค่อยไปหาหมอที่รักษามนต์ดำ แต่อาจารย์ตือยังยืนยันว่าหากคุณเป็นคนดี พุทธคุณจะช่วยคุ้มครองได้ และให้ระวังที่สุด คือ ช่วงที่ดวงตก ให้ระวังวันโกน กับวันพระให้มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ปล่อยของ เป็นที่รู้กันในวงการไสยศาสตร์
อย่างไรก็ดี อาจารย์ตือย้ำว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ยืนยันได้ว่าผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมนต์ดำ มักจะเกี่ยวข้องกับปมเรื่องของการชิงมรดก การแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่การงาน เรื่องชู้สาวเมียน้อยเมียหลวง ซึ่งคนกลุ่มนี้จะชอบแสวงหาที่ทำมนต์ดำมาก จนบางครั้งทำจนกระทั่งเข้าตัวเอง
“บอกได้เลยว่า คนที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์มนต์ดำมีทุกชนชั้น ชนชั้นสูง นักการเมือง ข้าราชการผู้ใหญ่ พระสงฆ์ และวันนี้ภรรยาของนายตำรวจระดับสูง ยังมาใช้มนต์ดำเพื่อดึงสามีให้กลับคืนมาจากภรรยาน้อย”
ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่า ไสยศาสตร์มนต์ดำมีอยู่จริงหรือไม่ ? พระรูปนี้และอาจารย์ตือยืนยันตรงกันว่า “เรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นกับตัวเองก่อนจึงจะเชื่อว่ามนต์ดำมีจริง” ก็คงเป็นคำตอบให้หลายคนคลายความสงสัยได้เช่นกัน?