ชี้เหตุ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาลูกหาบ ออกมาปูดข่าวจัดตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” หวั่น คสช. ขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ รื้อระบบยุติธรรม จะทำให้เด็กในคาถา “อัยการ-ตำรวจ” เปลี่ยนสี ขณะที่ “แม้ว” ไม่ปลอดภัย กลัวถูกจับตัวส่งกลับมาดำเนินคดีในไทย เร่งตีปี๊บให้นานาชาติเห็นใจถูกกลั่นแกล้งรัฐประหารถึง 2 ครั้ง หวังขอเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ด้านวงในเผย คสช. ปิดเกมระบอบทักษิณไม่ยาก ต้องใช้ล็อบบียีสต์ประโคมมรดกชั่วร้ายที่ระบอบทักษิณทิ้งไว้ให้กับแผ่นดินไทย พร้อมเสนอ “ถอน” พาสปอร์ต เพื่อให้ทักษิณโบยบินไม่ได้อีกแล้ว!
ความพยายามปูดกระแสจัดตั้ง รัฐบาลพลัดถิ่น ของคนในพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 6 เดือนที่ผ่านมาก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมนั้น จึงเห็นเพื่อนสนิทมิตรสหายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคเพื่อไทยออกมาให้สัมภาษณ์ตอกย้ำถึงแผนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หากกองทัพเข้ายึดอำนาจด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น แผนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น จึงเป็นแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการเตรียมการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้ขาด แต่จะอยู่ที่มวลมหามิตรประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทย เคยติดต่อไว้ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาที่ตระกูลชินวัตรเข้าบริหารประเทศ
ทั้งนี้ เพราะเงื่อนไขในการรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ล้วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งหลายๆ ประเทศให้ความสำคัญ จึงมีการลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC,2003) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมทั่วโลก เพราะการคอร์รัปชันในยุคทุนนิยมนั้นจะมีการพัฒนารูปแบบ และกระบวนการที่แยบยลในระดับข้ามชาติ มีการยักย้ายถ่ายโอนสินทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบกันอย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศต่างๆ จะกล้าเอาศักดิ์ศรีของประเทศมาปกป้องคนที่ถูกยึดอำนาจ เพราะเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างไร แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องดิ้นรนจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้!
“ชินวัตร” ปลุกกระแสรัฐบาลพลัดถิ่น
ทั้งนี้ ในการปูดกระแส “รัฐบาลพลัดถิ่น” ของระบอบทักษิณ มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (บิ๊กบัง) หัวหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ กระทั่งมาถึงยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มีเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาโหมกระพือในทำนองข่มขู่หากกองทัพทำการปฏิวัติ รัฐประหารรัฐบาลชินวัตร ก็จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาต่อสู้ทันที
เมื่อย้อนมองเหตุการณ์ไปในปี 2553 ที่มีการต่อสู้ระหว่าง นปช. คนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์ถึงเวทีการชุมนุมใหญ่ ณ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี บอกกับคนเสื้อแดงว่าจะปล่อยให้พี่น้องสู้ตามลำพังได้อย่างไร ถ้ามีการทำปฏิวัติขึ้นมาตัวเขาจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา เพราะการปฏิวัติทำให้ประเทศเสียหายล้าหลัง พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศลำบากกันหมด มีสบายกันอยู่ไม่กี่คน จึงปล่อยให้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
ขณะที่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร พล.ท.มนัส เปาริก เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาเปิดเผยว่า ทุกฝ่ายก็เปิดหน้ากันออกมาหมดแล้ว ว่าใครต้องการอะไร ทหารจะดำเนินการโดยใช้คำว่าออกมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยแทนการปฏิวัติ ซึ่งจะเป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เคยพูดไว้ ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะไม่หนี แต่จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และหากกองทัพทำเมื่อไร กองทัพตายเมื่อนั้น จบเกมไม่มีถอย เราประกาศเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มาจาก 2 รูปแบบ คือ 1. ใช้กำลังทหาร 2. ให้อำนาจศาลและองค์กรอิสระ ทั้ง 2 อย่างนี้จะไม่ยอมทั้งสิ้น
แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการออกมาให้สัมภาษณ์ เอบีซี นิวส์ สื่อดังของออสเตรเลีย ของ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชื่อดังชาวแคนาดา แห่งสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พาร์ทเนอร์ส ซึ่งรับจ้างเป็น “ที่ปรึกษากฎหมาย” ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาให้ข่าวว่าสองพี่น้องตระกูลชินวัตร มีแผนตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” ในต่างแดน หลังเกิดการรัฐประหารที่ไม่ชอบธรรมที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ล่าสุด นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาปูดข่าวย้ำอีกว่าเตรียมตั้งองค์กรพลัดถิ่นในประเทศใดประเทศหนึ่งมีเป้าหมายต่อต้านคณะรัฐประหารที่เข้ามาโค่นล้มอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อปูทางไปสู่การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในไม่ช้านี้
หวั่น คสช. จี้ “อัยการ-ตำรวจ” เล่นงาน
ด้านแหล่งข่าวความมั่นคง ระบุว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้ เพื่อที่ตัวเขาจะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจของ คสช. และมีการสลายขั้วอำนาจที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง คนเสื้อแดง กองกำลังติดอาวุธ รวมไปถึงการยึดอาวุธสงครามจำนวนมากนั้นทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองหมดโอกาสที่จะได้กลับเมืองไทย และโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งดูจะเป็นเรื่องยากมาก
“เขารู้ตัวว่ากลับมาเมืองไทยไม่ได้ ถ้ากลับมาก็ต้องติดคุก ตอนนี้เขากลัวมากคือกลัวถูกส่งตัวมาลงโทษสูง หากเขาเดินทางไปในประเทศที่ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน”
โดยสิ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หวั่นไหวว่าจะถูกจับตัวมาลงโทษน่าจะเกิดจากอำนาจต่างๆ ถูกขุดรากถอนโคนไปมาก และเชื่อว่า คสช. จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาดำเนินงานก็คงจะมีการปัดกวาดองค์กรยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล รวมทั้งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งขึ้น
“ตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ ส่วนใหญ่เป็นคนในระบอบทักษิณ ที่ผ่านมาจึงเพิกเฉยต่อการเอาคนผิดมาลงโทษ บอกแต่ว่าหาตัวไม่เจอตามที่มีคนแจ้งเบาะแสมาตามรูปถ่าย ทั้งที่ทักษิณต้องคดีเป็นนักโทษ”
ดังนั้น หาก คสช. หรือรัฐบาลใหม่ดำเนินการอย่างจริงจัง อัยการก็จะต้องทำหน้าที่ติดตามคดี ประสานกับดีเอสไอ เข้าดำเนินการจับกุม ก็จะเป็นการบีบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ได้เฉพาะประเทศที่ไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบเดียวกับประเทศดูไบ ส่วนการไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศที่มีสนธิสัญญาก็ต้องอยู่แบบระแวดระวังว่าจะถูกเล่นงานในช่วงการเดินทางเข้า-ออกบริเวณสนามบินของประเทศนั้นๆ หรือไม่
“เขาถึงพยายามที่จะให้สังคมโลกได้เห็นว่าตระกูลชินวัตรถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง มีการรัฐประหารจากทหารเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ถึง 2 ครั้ง มีการเชื่อมโยงใช้กลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อโค่นล้มพรรคเพื่อไทย ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาได้รับการคุ้มครองจากนานาชาติ”
แหล่งข่าวอธิบายว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในประเทศที่มีสนธิสัญญาก็จะไม่เกิดขึ้น และประเทศนั้นๆ ก็จะให้อาศัยพักพิงในประเทศของตนได้ ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้า-ออกได้สะดวก ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับตัวส่งกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
มิตรประเทศแค่ขู่-ไม่ให้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ทันทีที่ คสช. เข้ายึดอำนาจก็เดินหน้าขจัดปัญหา อุปสรรค และข้อขัดแย้งต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงความเชื่อมั่นจากประชาชนคนไทยทั้งหมด ด้วยการลบภาพความขัดแย้งการเมือง 2 ขั้ว และหันไปสร้างความสมานฉันท์ในทุกกลุ่ม เพราะหากแก้ปัญหาการเมืองให้มีเสถียรภาพ และจัดให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายตาม Roadmap ที่ คสช. วางไว้จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนประเทศได้สำเร็จ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ ก็ประสานสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความจำเป็นในการเข้ายึดอำนาจของ คสช. และยืนยันจะส่งมอบความสุขคืนประเทศไทยโดยเร็ว
“วันนี้เราจะได้เห็นมิตรประเทศ ยืนยันไม่ให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเกิดขึ้นในบ้านเขาโดยเฉพาะกัมพูชา ที่เป็นมิตรประเทศสนิทกับตระกูลชินวัตรมาก ทั้งในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว และทางการเมือง ก็ยังออกมาปฏิเสธที่จะให้ใช้กัมพูชาเป็นที่จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น”
โดยสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้กัมพูชาเป็นฐานในการโจมตีรัฐบาลของประเทศอื่น โดยอ้างอิงถึงเงื่อนไขที่ระบุถึงเรื่องความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในรัฐธรรมนูญของกัมพูชา “ผมต้องการที่จะเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่ใช่สถานที่ที่ประเทศหรือกลุ่มใดๆ แม้กระทั่งกลุ่มของทักษิณ (ชินวัตร) จะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้”
ส่วนมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา หรือกรณีของประเทศออสเตรเลีย ที่ออกตัวแรงในการออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารครั้งนี้ โดย นายชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่บอกว่า “…….ให้คืนอำนาจให้ประชาชนคนไทย ด้วยการกำหนดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในทันที และจนกว่าจะทำตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง สหรัฐฯ ขอระงับการสนับสนุนทางการทหาร และการซ้อมรบร่วมกับไทย รวมทั้งทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ”
ขณะที่ นายเดวิด จอห์นสตัน รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย บอกว่า “…..ออสเตรเลียขอลดความร่วมมือกับกองทัพไทยและลดระดับความสัมพันธ์กับผู้นำทางทหารของไทย ....และยังจัดกลไกป้องกันไม่ให้ผู้นำรัฐประหารเดินทางไปยังออสเตรเลียด้วย โดยขอให้กองทัพไทยจัดทำแผนการคืนประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมให้เร็วที่สุด”
อย่างไรก็ดี แม้ทั้งสองประเทศจะมีการออกตัวแรงในการต่อต้านคณะรัฐประหารของไทย แต่เชื่อว่าหัวหน้า คสช. และกระทรวงการต่างประเทศจะสามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยแหล่งข่าวอธิบายว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศเหล่านี้จะต้องออกมาต่อต้าน หรือตัดสัมพันธ์ในช่วงแรก เพราะประเทศเหล่านี้กระทำเพื่อปกป้องภาคธุรกิจของตัวเองที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง
“เขามีธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย อย่างเชฟรอน ที่เข้ามาลงทุนในไทย ก็คงจะกลัวได้รับผลกระทบ เลยจี้ให้เราจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ตอนนี้อยู่ที่ คสช. ต้องชี้ให้ชาวโลกได้รู้ว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นมันมีรากฐานมาจากการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นอาชญากรของชาติที่น่ากลัวและเป็นตัวทำลายประชาธิปไตยโดยตรง”
ดึงต่างชาติต้านคนโกงชาติ
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ คสช. ต้องหยิบประเด็นในเรื่องการลงนามในภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเข้ามาเกี่ยวข้องตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC,2003) เพราะมีหลายประเทศที่แม้จะยังไม่มีการลงสัตยาบันแต่ได้มีการลงนามเป็นภาคีแล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในเวลานี้
โดยอนุสัญญาดังกล่าว จะร่วมต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งวันนี้มีความซ้ำซ้อน และถือเป็นภัยร้ายหรืออาชญากรของประเทศ เนื่องจากการทุจริตจะกระทำในลักษณะข้ามชาติ มีการโอนสินทรัพย์ไปยังต่างประเทศทำให้การตรวจสอบยากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น การที่รัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ถูกรัฐประหารทั้งสองครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ใช่ถูก
กลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ คดีต่างๆ ก็มีการตัดสินจนกลายเป็นนักโทษหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว
“ตระกูลชินวัตรไม่ได้แค่ถูกยึดอำนาจ ทักษิณยังมีคดีติดตัว และยังถูกยึดทรัพย์จำนวน 46,000 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน”
สำหรับคดีที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็คือ คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่ศาลอาญาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ”
ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญา โดยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ไปรายงานตัวและเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม้วันนี้เขาจะหนีรอดไม่ติดคุกติดตะราง แต่ก็ต้องระหกระเหินใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพราะคดีนี้มีอายุความ 15 ปี ซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 12 สิงหาคม 2566
ส่วนกรณีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ปรากฏให้เห็นชัดในเรื่องการทุจริตจำนำข้าวที่ทำให้รัฐเสียหายซึ่งมีการประมาณการไว้ที่ 5 แสนล้านบาท และมีกลุ่มการเมืองได้ประโยชน์จากโครงการนี้แน่นอน
จี้ คสช. ถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ”
ดังนั้นสิ่งที่ คสช. จะต้องเร่งดำเนินการเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เครือข่ายที่มีอยู่เล่นงานและทำให้ประเทศไทยเสียหาย ทั้งในเรื่องการสนับสนุนให้มีการต่อต้านรัฐประหารทั้งในและต่างประเทศรวมไปถึงการประโคมข่าวเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ ที่ล้วนแล้วเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น
แหล่งข่าวบอกอีกว่า คสช. ต้องจัดหาล็อบบียิสต์เข้ามาช่วยในการสื่อสารให้โลกเห็นความเลวร้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำไว้กับประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนพลเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นผู้กดดันรัฐบาลของประเทศเขาไม่ให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคของเขาในการจัดตั้งองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่เป้าหมายในการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศนั้น เพราะการจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศใดก็ตามจะสำเร็จได้ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและพลเมืองของประเทศนั้นๆ เป็นหลัก รวมถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยด้วย
“ประเทศต่างๆ ต้องเลือกให้ถูกว่า จะสนับสนุนคนโกงชาติ เพราะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยกัน หรือจะเลือกศักดิ์ศรีของประเทศที่เคยลงนามภาคีในการต่อต้านคอร์รัปชัน”
ส่วนประเด็นสำคัญสุดและสามารถจัดการได้อย่างรีบด่วน คือการสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศถอนหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นจำเลยที่ศาลมีหมายจับสั่งห้ามออกนอกประเทศแล้ว
“ก่อนหน้านี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เคยทำเรื่องถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านไปยังกระทรวงการต่างประเทศให้ทบทวนการออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเขาเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาออกหมายจับ และศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล”
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่กระทรวงการต่างประเทศ จะจัดการทบทวนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และทันทีที่เขาถูกถอนหนังสือเดินทางไทย จะทำให้โลกอันกว้างใหญ่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถใช้เงินมหาศาลที่มีอยู่เดินทางไปไหนอย่างสะดวกสบาย แคบลงสำหรับเขาในทันที!
ความพยายามปูดกระแสจัดตั้ง รัฐบาลพลัดถิ่น ของคนในพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 6 เดือนที่ผ่านมาก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมนั้น จึงเห็นเพื่อนสนิทมิตรสหายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคเพื่อไทยออกมาให้สัมภาษณ์ตอกย้ำถึงแผนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หากกองทัพเข้ายึดอำนาจด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น แผนการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น จึงเป็นแนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการเตรียมการมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้ขาด แต่จะอยู่ที่มวลมหามิตรประเทศที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทย เคยติดต่อไว้ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาที่ตระกูลชินวัตรเข้าบริหารประเทศ
ทั้งนี้ เพราะเงื่อนไขในการรัฐประหารในปี 2549 และในปี 2557 ล้วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งหลายๆ ประเทศให้ความสำคัญ จึงมีการลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC,2003) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมทั่วโลก เพราะการคอร์รัปชันในยุคทุนนิยมนั้นจะมีการพัฒนารูปแบบ และกระบวนการที่แยบยลในระดับข้ามชาติ มีการยักย้ายถ่ายโอนสินทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบกันอย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศต่างๆ จะกล้าเอาศักดิ์ศรีของประเทศมาปกป้องคนที่ถูกยึดอำนาจ เพราะเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างไร แล้วทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องดิ้นรนจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้!
“ชินวัตร” ปลุกกระแสรัฐบาลพลัดถิ่น
ทั้งนี้ ในการปูดกระแส “รัฐบาลพลัดถิ่น” ของระบอบทักษิณ มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (บิ๊กบัง) หัวหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ กระทั่งมาถึงยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็มีเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาโหมกระพือในทำนองข่มขู่หากกองทัพทำการปฏิวัติ รัฐประหารรัฐบาลชินวัตร ก็จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาต่อสู้ทันที
เมื่อย้อนมองเหตุการณ์ไปในปี 2553 ที่มีการต่อสู้ระหว่าง นปช. คนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์ถึงเวทีการชุมนุมใหญ่ ณ เขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี บอกกับคนเสื้อแดงว่าจะปล่อยให้พี่น้องสู้ตามลำพังได้อย่างไร ถ้ามีการทำปฏิวัติขึ้นมาตัวเขาจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมา เพราะการปฏิวัติทำให้ประเทศเสียหายล้าหลัง พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศลำบากกันหมด มีสบายกันอยู่ไม่กี่คน จึงปล่อยให้ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
ขณะที่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร พล.ท.มนัส เปาริก เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาเปิดเผยว่า ทุกฝ่ายก็เปิดหน้ากันออกมาหมดแล้ว ว่าใครต้องการอะไร ทหารจะดำเนินการโดยใช้คำว่าออกมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยแทนการปฏิวัติ ซึ่งจะเป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เคยพูดไว้ ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะไม่หนี แต่จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น และหากกองทัพทำเมื่อไร กองทัพตายเมื่อนั้น จบเกมไม่มีถอย เราประกาศเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มาจาก 2 รูปแบบ คือ 1. ใช้กำลังทหาร 2. ให้อำนาจศาลและองค์กรอิสระ ทั้ง 2 อย่างนี้จะไม่ยอมทั้งสิ้น
แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการออกมาให้สัมภาษณ์ เอบีซี นิวส์ สื่อดังของออสเตรเลีย ของ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความชื่อดังชาวแคนาดา แห่งสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พาร์ทเนอร์ส ซึ่งรับจ้างเป็น “ที่ปรึกษากฎหมาย” ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาให้ข่าวว่าสองพี่น้องตระกูลชินวัตร มีแผนตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” ในต่างแดน หลังเกิดการรัฐประหารที่ไม่ชอบธรรมที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ล่าสุด นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกมาปูดข่าวย้ำอีกว่าเตรียมตั้งองค์กรพลัดถิ่นในประเทศใดประเทศหนึ่งมีเป้าหมายต่อต้านคณะรัฐประหารที่เข้ามาโค่นล้มอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อปูทางไปสู่การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในไม่ช้านี้
หวั่น คสช. จี้ “อัยการ-ตำรวจ” เล่นงาน
ด้านแหล่งข่าวความมั่นคง ระบุว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นให้ได้ เพื่อที่ตัวเขาจะมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง เพราะตั้งแต่มีการยึดอำนาจของ คสช. และมีการสลายขั้วอำนาจที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง คนเสื้อแดง กองกำลังติดอาวุธ รวมไปถึงการยึดอาวุธสงครามจำนวนมากนั้นทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองหมดโอกาสที่จะได้กลับเมืองไทย และโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งดูจะเป็นเรื่องยากมาก
“เขารู้ตัวว่ากลับมาเมืองไทยไม่ได้ ถ้ากลับมาก็ต้องติดคุก ตอนนี้เขากลัวมากคือกลัวถูกส่งตัวมาลงโทษสูง หากเขาเดินทางไปในประเทศที่ไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน”
โดยสิ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หวั่นไหวว่าจะถูกจับตัวมาลงโทษน่าจะเกิดจากอำนาจต่างๆ ถูกขุดรากถอนโคนไปมาก และเชื่อว่า คสช. จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมาดำเนินงานก็คงจะมีการปัดกวาดองค์กรยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล รวมทั้งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งขึ้น
“ตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ ส่วนใหญ่เป็นคนในระบอบทักษิณ ที่ผ่านมาจึงเพิกเฉยต่อการเอาคนผิดมาลงโทษ บอกแต่ว่าหาตัวไม่เจอตามที่มีคนแจ้งเบาะแสมาตามรูปถ่าย ทั้งที่ทักษิณต้องคดีเป็นนักโทษ”
ดังนั้น หาก คสช. หรือรัฐบาลใหม่ดำเนินการอย่างจริงจัง อัยการก็จะต้องทำหน้าที่ติดตามคดี ประสานกับดีเอสไอ เข้าดำเนินการจับกุม ก็จะเป็นการบีบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ได้เฉพาะประเทศที่ไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบเดียวกับประเทศดูไบ ส่วนการไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศที่มีสนธิสัญญาก็ต้องอยู่แบบระแวดระวังว่าจะถูกเล่นงานในช่วงการเดินทางเข้า-ออกบริเวณสนามบินของประเทศนั้นๆ หรือไม่
“เขาถึงพยายามที่จะให้สังคมโลกได้เห็นว่าตระกูลชินวัตรถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง มีการรัฐประหารจากทหารเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ถึง 2 ครั้ง มีการเชื่อมโยงใช้กลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อโค่นล้มพรรคเพื่อไทย ทั้งหมดก็เพื่อให้เขาได้รับการคุ้มครองจากนานาชาติ”
แหล่งข่าวอธิบายว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง ปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในประเทศที่มีสนธิสัญญาก็จะไม่เกิดขึ้น และประเทศนั้นๆ ก็จะให้อาศัยพักพิงในประเทศของตนได้ ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้า-ออกได้สะดวก ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับตัวส่งกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
มิตรประเทศแค่ขู่-ไม่ให้ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ทันทีที่ คสช. เข้ายึดอำนาจก็เดินหน้าขจัดปัญหา อุปสรรค และข้อขัดแย้งต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงความเชื่อมั่นจากประชาชนคนไทยทั้งหมด ด้วยการลบภาพความขัดแย้งการเมือง 2 ขั้ว และหันไปสร้างความสมานฉันท์ในทุกกลุ่ม เพราะหากแก้ปัญหาการเมืองให้มีเสถียรภาพ และจัดให้มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายตาม Roadmap ที่ คสช. วางไว้จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนประเทศได้สำเร็จ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ ก็ประสานสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความจำเป็นในการเข้ายึดอำนาจของ คสช. และยืนยันจะส่งมอบความสุขคืนประเทศไทยโดยเร็ว
“วันนี้เราจะได้เห็นมิตรประเทศ ยืนยันไม่ให้มีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเกิดขึ้นในบ้านเขาโดยเฉพาะกัมพูชา ที่เป็นมิตรประเทศสนิทกับตระกูลชินวัตรมาก ทั้งในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว และทางการเมือง ก็ยังออกมาปฏิเสธที่จะให้ใช้กัมพูชาเป็นที่จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น”
โดยสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชาจะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้กัมพูชาเป็นฐานในการโจมตีรัฐบาลของประเทศอื่น โดยอ้างอิงถึงเงื่อนไขที่ระบุถึงเรื่องความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในรัฐธรรมนูญของกัมพูชา “ผมต้องการที่จะเน้นย้ำว่า กัมพูชาไม่ใช่สถานที่ที่ประเทศหรือกลุ่มใดๆ แม้กระทั่งกลุ่มของทักษิณ (ชินวัตร) จะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้”
ส่วนมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา หรือกรณีของประเทศออสเตรเลีย ที่ออกตัวแรงในการออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารครั้งนี้ โดย นายชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่บอกว่า “…….ให้คืนอำนาจให้ประชาชนคนไทย ด้วยการกำหนดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในทันที และจนกว่าจะทำตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง สหรัฐฯ ขอระงับการสนับสนุนทางการทหาร และการซ้อมรบร่วมกับไทย รวมทั้งทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศ”
ขณะที่ นายเดวิด จอห์นสตัน รัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย บอกว่า “…..ออสเตรเลียขอลดความร่วมมือกับกองทัพไทยและลดระดับความสัมพันธ์กับผู้นำทางทหารของไทย ....และยังจัดกลไกป้องกันไม่ให้ผู้นำรัฐประหารเดินทางไปยังออสเตรเลียด้วย โดยขอให้กองทัพไทยจัดทำแผนการคืนประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมให้เร็วที่สุด”
อย่างไรก็ดี แม้ทั้งสองประเทศจะมีการออกตัวแรงในการต่อต้านคณะรัฐประหารของไทย แต่เชื่อว่าหัวหน้า คสช. และกระทรวงการต่างประเทศจะสามารถคลี่คลายปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยแหล่งข่าวอธิบายว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศเหล่านี้จะต้องออกมาต่อต้าน หรือตัดสัมพันธ์ในช่วงแรก เพราะประเทศเหล่านี้กระทำเพื่อปกป้องภาคธุรกิจของตัวเองที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครอง
“เขามีธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย อย่างเชฟรอน ที่เข้ามาลงทุนในไทย ก็คงจะกลัวได้รับผลกระทบ เลยจี้ให้เราจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ตอนนี้อยู่ที่ คสช. ต้องชี้ให้ชาวโลกได้รู้ว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นมันมีรากฐานมาจากการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นอาชญากรของชาติที่น่ากลัวและเป็นตัวทำลายประชาธิปไตยโดยตรง”
ดึงต่างชาติต้านคนโกงชาติ
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ คสช. ต้องหยิบประเด็นในเรื่องการลงนามในภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเข้ามาเกี่ยวข้องตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (United Nations Convention against Corruption-UNCAC,2003) เพราะมีหลายประเทศที่แม้จะยังไม่มีการลงสัตยาบันแต่ได้มีการลงนามเป็นภาคีแล้วมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในเวลานี้
โดยอนุสัญญาดังกล่าว จะร่วมต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งวันนี้มีความซ้ำซ้อน และถือเป็นภัยร้ายหรืออาชญากรของประเทศ เนื่องจากการทุจริตจะกระทำในลักษณะข้ามชาติ มีการโอนสินทรัพย์ไปยังต่างประเทศทำให้การตรวจสอบยากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้น การที่รัฐบาลทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ถูกรัฐประหารทั้งสองครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ใช่ถูก
กลั่นแกล้งทางการเมือง ซึ่งกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ คดีต่างๆ ก็มีการตัดสินจนกลายเป็นนักโทษหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว
“ตระกูลชินวัตรไม่ได้แค่ถูกยึดอำนาจ ทักษิณยังมีคดีติดตัว และยังถูกยึดทรัพย์จำนวน 46,000 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน”
สำหรับคดีที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็คือ คดีทุจริตประมูลซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ที่ศาลอาญาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดฐาน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และสนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ”
ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และประมวลกฎหมายอาญา โดยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ไปรายงานตัวและเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แม้วันนี้เขาจะหนีรอดไม่ติดคุกติดตะราง แต่ก็ต้องระหกระเหินใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพราะคดีนี้มีอายุความ 15 ปี ซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 12 สิงหาคม 2566
ส่วนกรณีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ปรากฏให้เห็นชัดในเรื่องการทุจริตจำนำข้าวที่ทำให้รัฐเสียหายซึ่งมีการประมาณการไว้ที่ 5 แสนล้านบาท และมีกลุ่มการเมืองได้ประโยชน์จากโครงการนี้แน่นอน
จี้ คสช. ถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ”
ดังนั้นสิ่งที่ คสช. จะต้องเร่งดำเนินการเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เครือข่ายที่มีอยู่เล่นงานและทำให้ประเทศไทยเสียหาย ทั้งในเรื่องการสนับสนุนให้มีการต่อต้านรัฐประหารทั้งในและต่างประเทศรวมไปถึงการประโคมข่าวเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ ที่ล้วนแล้วเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น
แหล่งข่าวบอกอีกว่า คสช. ต้องจัดหาล็อบบียิสต์เข้ามาช่วยในการสื่อสารให้โลกเห็นความเลวร้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำไว้กับประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนพลเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นผู้กดดันรัฐบาลของประเทศเขาไม่ให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และพลพรรคของเขาในการจัดตั้งองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อไปสู่เป้าหมายในการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศนั้น เพราะการจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในประเทศใดก็ตามจะสำเร็จได้ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและพลเมืองของประเทศนั้นๆ เป็นหลัก รวมถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยด้วย
“ประเทศต่างๆ ต้องเลือกให้ถูกว่า จะสนับสนุนคนโกงชาติ เพราะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยกัน หรือจะเลือกศักดิ์ศรีของประเทศที่เคยลงนามภาคีในการต่อต้านคอร์รัปชัน”
ส่วนประเด็นสำคัญสุดและสามารถจัดการได้อย่างรีบด่วน คือการสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศถอนหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นจำเลยที่ศาลมีหมายจับสั่งห้ามออกนอกประเทศแล้ว
“ก่อนหน้านี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เคยทำเรื่องถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ผ่านไปยังกระทรวงการต่างประเทศให้ทบทวนการออกหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเขาเป็นจำเลยในคดีอาญาที่ศาลฎีกาออกหมายจับ และศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล”
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่กระทรวงการต่างประเทศ จะจัดการทบทวนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และทันทีที่เขาถูกถอนหนังสือเดินทางไทย จะทำให้โลกอันกว้างใหญ่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถใช้เงินมหาศาลที่มีอยู่เดินทางไปไหนอย่างสะดวกสบาย แคบลงสำหรับเขาในทันที!