นายแพทย์เหรียญทองติดเครื่องกำจัดพวกหมิ่นสถาบัน ผุดโครงการสืบค้นหาตัวผู้กระทำความผิด รณรงค์ภาคเอกชนใช้มาตรการทางสังคมลงโทษ “ไม่รับเข้าทำงาน” สร้างเครือข่ายสอดส่องทุกอณูสังคม ใช้ข้าราการเกษียณร่วมงาน เป็นทั้งที่ปรึกษาและช่วยตรวจสอบ ย้ำทำทุกอย่างตามกฎหมาย ไม่ใช้อาวุธ เตรียมผุดวิทยุชุมชนสู่พื้นที่เป้าหมายสร้างความเข้าใจเรื่องสถาบันที่ถูกต้อง
นับตั้งแต่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ สิ่งที่ควบคู่มากับการเรืองอำนาจทางการเมืองของคนในตระกูลนี้คือ กลุ่มที่มีแนวความคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่พร้อมเป็นกองหนุนให้รัฐบาลของคนในตระกูลชินวัตรมาโดยตลอด โดยที่บางครั้งการกระทำหลายครั้งหลายหนของทักษิณเองก็หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
แม้จะมีหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในคดีเหล่านี้ แต่หน่วยงานเหล่านั้นล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมืองทั้งสิ้น ทั้งตำรวจ ทหาร ไม่ทำหน้าที่ปกป้องตามที่กฎหมายมอบอำนาจให้ไว้ จึงทำให้ขบวนการเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางไปในหลายพื้นที่ จนภาคประชาชนต้องออกมารวมตัวกันเพื่อปกป้องสถาบันในนามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอีกหลายกลุ่มที่พร้อมใจกันออกมาต่อต้านการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้
อย่าง เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ที่มี นายบวร ยสินธร เป็นแกนนำ นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินและแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี รวมถึงกลุ่มหน้ากากขาวที่เคลื่อนไหวในเรื่องการหมิ่นสถาบันด้วยเช่นกัน
ยิ่งหลังจากที่ตระกูลชินวัตรถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 ยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้น จำนวนไม่น้อยถูกแจ้งความดำเนินคดี หลายคนได้รับการอภัยโทษ โดยขบวนการหมิ่นสถาบันได้ลดลงไปเมื่อพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
หนึ่งในทีมงานตรวจสอบการหมิ่นสถาบันเล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วพวกที่หมิ่นสถาบันก็ยังคงมีอยู่ ลดลงไปเพียงเล็กน้อยในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ไม่เอิกเกริกมากนัก อีกทั้งกลุ่มนักรบไซเบอร์ที่ปกป้องสถาบันเปลี่ยนวิธีการ โดยไม่เข้าไปต่อกรเหมือนครั้งก่อนๆ แจ้งรายงานไปที่หน่วยงานอย่างกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ICT) เป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกปิด
“ไม่รู้จะเป็นเพราะว่ารัฐบาลนี้คุม ICT อยู่ด้วยหรือไม่ เพราะกลุ่มที่กระทำส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้เราไม่ได้กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงทุกคนหมิ่นสถาบัน แต่คนที่หมิ่นสถาบันเกือบร้อยละร้อยเป็นคนเสื้อแดง”
ผุดองค์กรเก็บขยะหลังโกตี๋หมิ่น
ในช่วงปลายรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่สถานะทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเข้าสู่หนทางตีบตัน จากคดีความต่างๆ รวมไปถึงการออกมาขับเคลื่อนของภาคประชาชนในนาม กปปส. ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ โดยคนในพรรคเพื่อไทยและฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในนามของคนเสื้อแดงต่างงัดทุกวิธีการออกมาตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระดมพลแสดงพลัง หรือการประกาศตัวแยกดินแดนที่มีหลักฐานชัดเจน และคำให้สัมภาษณ์ของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลุดออกมา ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นสถาบันอย่างชัดเจน จนประชาชนหลายภาคส่วน หลายพื้นที่เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับโกตี๋
จากนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้ออกมาจัดตั้ง “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” ขึ้น โดยเป้าหมายเพื่อกวาดล้างพวกที่มีพฤติกรรมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ถูกถล่มจนเคยขอติดอาวุธ
ที่ฮือฮาไม่น้อยสำหรับองค์กรเก็บขยะแผ่นดินคือการประกาศจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา หลังจากนายแพทย์เหรียญทองได้โพสต์ข้อความเมื่อ 21 เมษายน 2557 ที่ว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน มีความจำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่มีขีดความสามารถอย่างเพียงพอที่จะรับมือกับอาวุธสงครามจากกองกำลังติดอาวุธของขบวนการก่อการร้ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
“เมื่อรัฐบาลและผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีข้อจำกัดในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ดังนั้นองค์กรเก็บขยะแผ่นดินจึงมีความจำเป็นต้องระวังป้องกันตนเองด้วยกองกำลังติดอาวุธ ทั้งนี้ไม่ได้มีกองกำลังติดอาวุธไว้เพื่อไล่ล่า ปลิดชีพ ผู้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่มีไว้เพื่อระวังป้องกันตนเองจากกองกำลังติดอาวุธของขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น”
กระผมขอความกรุณาจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้โปรดเข้าใจถึงความจำเป็น โดยอย่าได้ดำเนินคดีอาวุธสงครามกับองค์กรเก็บขยะแผ่นดินด้วย ทั้งนี้องค์กรเก็บขยะแผ่นดินจะเตรียมพร้อมระวังป้องกันตนเอง ณ ที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยเท่านั้น
ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศอ.รส. ออกมาตอบโต้ว่าไม่สามารถกระทำได้ จากนั้นในวันที่ 23 เมษายน นายแพทย์เหรียญทองได้แจ้งว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ได้รับการคุ้มครองรักษาความปลอดภัยจากกองทัพแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธป้องกันตนเอง
เดินเครื่องกลุ่มหมิ่นสถาบัน
โดยในวันดังกล่าวนายแพทย์ เหรียญทอง ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นางสาวฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ โรส ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กองการปราบปราม การกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
การเดินเครื่องเพื่อดำเนินการกับกลุ่มหมิ่นสถาบัน นับว่าแรงเกินคาด จากการเปิดเฟซบุ๊กองค์กรเก็บขยะแผนดิน ไม่ถึง 2 สัปดาห์ มีผู้ที่เข้ามาเป็นแฟนเพจแล้วกว่า 1.5 แสนราย
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้ก่อตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน กล่าวถึงแนวทางในการดำเนินงานขององค์กรเก็บขยะแผ่นดินว่า ประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก คือ
1. การสืบค้นหาตัวผู้กระทำความผิด สังคม ออนไลน์ วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เป้าหมายนั้นเพื่อต้องการหาตัวบุคคลผู้กระทำความผิดที่ใช้สื่อเหล่านี้กระทำการหมิ่นสถาบัน โดยมุ่งไปที่การเก็บรวบรวมข้อมูลบุคคลและหลักฐานของการกระทำความผิด เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
2. มาตรการต่อต้านทางสังคม กับบุคคลผู้กระทำความผิด
3. รณรงค์สร้างความถูกต้อง ความเข้าใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากที่ปัญหานี้ถูกปล่อยปละละเลยมานาน
ในการสืบหาตัวบุคคลผู้กระทำความผิดนั้น จะต้องสืบหาให้ถึงตัวบุคคลที่กระทำและต้องเป็นผู้กระทำผิดจริง เนื่องจากในโซเชียลเน็ตเวิร์กต้องระวังในเรื่องใช้ชื่อปลอม รูปปลอม หรือข้อมูลอื่นๆ อาจจะเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบหรือเป็นการกลั่นแกล้งบุคคลอื่น ดังนั้นต้องตรวจสอบจนแน่ชัดก่อน จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วนการสืบค้นตัวผู้กระทำความผิดนั้น เราใช้ทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยพลเรือน ด้วยความรู้ความสามารถของทีมงานที่มีนั้น สามารถเจาะเข้าไปถึงตัวบุคคลผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริง รู้ทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และสถานที่ที่ใช้กระทำความผิด
“ตอนนี้เรามีทีมงานสืบค้นผู้กระทำความผิดแล้ว 2,000 ทีม และยังต้องการคนเข้ามาเพิ่ม มีเป้าหมายให้ได้ 1 ล้านทีม และในเดือนพฤษภาคมจะมีโครงการฝึกอบรมการสืบค้นหาตัวบุคคลและแนวร่วมที่กระทำการหมิ่นสถาบันทางช่องทางสื่ออื่นๆ โดยเชื้อเชิญคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันให้เข้ามาร่วมอบรม เพื่อให้มีความรู้ที่จะดำเนินการสืบค้นได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมาแจ้งกลับที่องค์กรเก็บขยะ”
ขณะเดียวกัน เมื่อตรวจพบผู้กระทำผิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งมีทีมนักกฎหมาย ทนายความเข้ามาช่วยมาก สามารถที่จะดูแลคดีได้อย่างน้อย 1 คนต่อ 1 คดี หรือใน 1 คดีอาจมีทนายความเข้ามาช่วยกันทำคดีได้มากกว่า 1 คน
“เราไม่ได้ใช้เงินทองในการว่าจ้างบุคคลเหล่านี้ เนื่องจากเกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือองค์กร”
สร้างเครือข่าย-กดดันทางสังคม
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อแทรกซึมและรายงานการกระทำความผิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลืองานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงการติดตามความคืบหน้าของคดี เพื่อรายงานต่อสมาชิกขององค์กรให้ทราบต่อไป
สำหรับมาตรการต่อต้านทางสังคมนั้น จะกระทำเมื่อแนวทางทางกฎหมายเข้าไม่ถึง โดยจะใช้ภาคธุรกิจเข้ามาเป็นตัวนำ ซึ่งจะสอดคล้องไปกับการรณรงค์ในภาคธุรกิจให้สำนึกในสถาบันพระมหากษัตริย์ มีทีมงานที่จะหามาตรการทางสังคมมาสกัดกั้นบุคคลเหล่านี้ อย่างเช่น การไม่รับบุคคลเหล่านี้เข้าทำงานในองค์กรเอกชนรายอื่นๆ หรือแจ้งให้ทราบถึงบุคคลเหล่านี้ที่อาจทำงานอยู่ในองค์กรของเอกชนเหล่านั้น
“เราไม่มีมาตรการไล่ล่าใคร หรือปลิดชีพใคร กองทุนเก็บขยะสังคมที่มีไม่ได้ใช้จ้างฆ่าใคร แต่เป็นการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดเท่านั้น เงินของกองทุนที่มีจะใช้เฉพาะในการปฏิบัติงาน เช่น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ส่วนทีมที่ทำงานทั้งหมดเป็นจิตอาสา ไม่เอาเงิน”
สำหรับเรื่องการจัดตั้งวิทยุชุมชนนั้น ยังเป็นเพียงแนวคิด เพื่อจะเผยแพร่ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน มุ่งไปยังพื้นที่เป้าหมายที่อาจมีความเข้าใจผิดต่อสถาบัน โดยจะไม่มีเรื่องทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เน้นเรื่องการทำมาหากินของประชาชน อาจมีสินค้าราคาถูกมาจำหน่าย เพื่อสร้างชีวิตที่ดีให้กับคนระดับล่าง โดยจะใช้กองทุนเก็บขยะเป็นทุนในการดำเนินงาน แม้จะเป็นแค่เพียงแนวคิดแต่เราทำแน่
โครงการทหารเก่าไม่มีวันตายที่เราดำเนินการอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องการไปรบกับใคร แต่เราได้เชิญผู้บังคับบัญชาทุกระดับที่เกษียณอายุราชการไปแล้วเข้ามาร่วมกันทำงาน เนื่องจากพวกเขามีความรู้ความสามารถและทักษะทางทหารในการดำเนินการติดตามหรือมีวิธีการรู้ถึงที่หลบซ่อนของผู้กระทำความผิด รวมถึงเข้ามาช่วยติดตามความคืบหน้าของคดีที่ได้ดำเนินการไปแล้วกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี
ไม่เพียงแค่การมีทหารเก่าเข้ามาร่วมกับองค์กรเก็บขยะเท่านั้น แต่ยังมีข้าราชการส่วนอื่นๆ อย่างเช่น อัยการที่เกษียณอายุแล้วเข้ามาช่วยดูสำนวนการฟ้องร้องว่าอ่อนไปหรือไม่ เพราะถ้าอ่อนไปก็อาจทำให้คดีนั้นถูกยกฟ้องได้ รวมไปถึงมีทีมของอดีตผู้พิพากษาเข้ามาร่วมด้วย บุคคลเหล่านี้จะเข้ามาช่วยเป็นทีมที่ปรึกษาให้กับองค์กรเก็บขยะ นอกจากนี้ยังมีครู แพทย์ พยาบาล พระ นักเรียน ประชาชนทุกวิชาชีพ ทั้งนี้เพื่อต้องการทำให้เป็นกองทัพประชาชนพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
ที่สำคัญหากปล่อยให้ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเช่นนี้ต่อไป คนไทยที่มีความจงรักภักดีต้องลุกฮือขึ้นจัดการกันเองอย่างไร้การควบคุม ไม่มีศูนย์กลางในการควบคุมประสานงาน ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรงและเลวร้าย ดังนั้น การที่มีองค์กรเก็บขยะแผ่นดินนี้ จึงเป็นศูนย์กลางในการควบคุมประสานงานที่เป็นความหวังของคนไทยที่มีความจงรักภักดีซึ่งเป็นการลุกขึ้นต่อสู้ที่อยู่ในการควบคุม ไม่ใช่การลุกขึ้นสู้แบบต่างคนต่างทำ ไร้การควบคุม แต่จะเป็นการลุกขึ้นสู้ที่อยู่ในการควบคุมที่หันมาร่วมมือกัน สนับสนุนกัน เพื่อช่วยเหลือผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม
หน่วยงานรัฐไร้ประสิทธิภาพ
นายแพทย์เหรียญทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากขบวนการหมิ่นสถาบันเหิมเกริม ก่อการร้าย ล้มล้างราชบัลลังก์ จึงเกิดเครือข่ายนี้ขึ้นมา ไม่ติดอาวุธ ไม่ใช้อาวุธ ใช้กำลังทรัพย์ สติปัญญาและกำลังคน เพื่อหนุนการทำงานของกองทัพหลักคือทหาร
ที่ผ่านมาหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่จัดการกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบันไร้ประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลย หรืออาจจะมีคนน้อยหรืองบประมาณจำกัด รวมไปถึงคนไทยทั้งประเทศด้วยที่ละเลย ดังนั้นกลุ่มของเราจึงเข้าไปช่วยเหลือหน่วยงานราชการเหล่านี้ แต่จากการละเลยต่อการจัดการกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบันทำให้พวกนี้มีเพิ่มมากขึ้น
แม้ในช่วงแรกของการเข้าดำเนินการกับกลุ่มหมิ่นสถาบัน ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการปลุกให้กลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาอีกครั้ง นายแพทย์เหรียญทองยอมรับว่า ช่วงแรกอาจจะมีฝุ่นตลบบ้าง แต่เป็นปฏิกิริยา Re- Action แต่ถ้าทำอย่างจริงจังต่อเนื่อง ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ากระทำผิดอีก
“ที่เราทำมานี้ไม่ได้เกี่ยวกับ กปปส. ไม่ว่าจะมีการปฏิรูปประเทศหรือไม่เราก็ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว เราไม่ได้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับคนเสื้อแดง แต่เราประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกที่หมิ่นสถาบัน และขอให้คนไทยมีจิตสำนึกของความจงรักภักดี รู้พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ รู้คุณแผ่นดิน”
นับเป็นการขับเคลื่อนของภาคประชาชนอีกครั้ง ที่ออกมารวมตัวกันเพื่อดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่มีหน่วยงานราชการของรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มทางกฎหมายที่จะดำเนินการกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้
ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะถูกสังคมมองว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาล หรือฝ่ายที่กระทำผิดเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับรัฐบาลก็ตาม ผู้ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดย่อมหนีไม่พ้นรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน
นับตั้งแต่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ สิ่งที่ควบคู่มากับการเรืองอำนาจทางการเมืองของคนในตระกูลนี้คือ กลุ่มที่มีแนวความคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่พร้อมเป็นกองหนุนให้รัฐบาลของคนในตระกูลชินวัตรมาโดยตลอด โดยที่บางครั้งการกระทำหลายครั้งหลายหนของทักษิณเองก็หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
แม้จะมีหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในคดีเหล่านี้ แต่หน่วยงานเหล่านั้นล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมืองทั้งสิ้น ทั้งตำรวจ ทหาร ไม่ทำหน้าที่ปกป้องตามที่กฎหมายมอบอำนาจให้ไว้ จึงทำให้ขบวนการเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางไปในหลายพื้นที่ จนภาคประชาชนต้องออกมารวมตัวกันเพื่อปกป้องสถาบันในนามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอีกหลายกลุ่มที่พร้อมใจกันออกมาต่อต้านการกระทำของกลุ่มคนเหล่านี้
อย่าง เครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน ที่มี นายบวร ยสินธร เป็นแกนนำ นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดินและแกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี รวมถึงกลุ่มหน้ากากขาวที่เคลื่อนไหวในเรื่องการหมิ่นสถาบันด้วยเช่นกัน
ยิ่งหลังจากที่ตระกูลชินวัตรถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 ยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้น จำนวนไม่น้อยถูกแจ้งความดำเนินคดี หลายคนได้รับการอภัยโทษ โดยขบวนการหมิ่นสถาบันได้ลดลงไปเมื่อพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
หนึ่งในทีมงานตรวจสอบการหมิ่นสถาบันเล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วพวกที่หมิ่นสถาบันก็ยังคงมีอยู่ ลดลงไปเพียงเล็กน้อยในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ไม่เอิกเกริกมากนัก อีกทั้งกลุ่มนักรบไซเบอร์ที่ปกป้องสถาบันเปลี่ยนวิธีการ โดยไม่เข้าไปต่อกรเหมือนครั้งก่อนๆ แจ้งรายงานไปที่หน่วยงานอย่างกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ICT) เป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกปิด
“ไม่รู้จะเป็นเพราะว่ารัฐบาลนี้คุม ICT อยู่ด้วยหรือไม่ เพราะกลุ่มที่กระทำส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลนี้มาโดยตลอด ทั้งนี้เราไม่ได้กล่าวหาว่าคนเสื้อแดงทุกคนหมิ่นสถาบัน แต่คนที่หมิ่นสถาบันเกือบร้อยละร้อยเป็นคนเสื้อแดง”
ผุดองค์กรเก็บขยะหลังโกตี๋หมิ่น
ในช่วงปลายรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่สถานะทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยเข้าสู่หนทางตีบตัน จากคดีความต่างๆ รวมไปถึงการออกมาขับเคลื่อนของภาคประชาชนในนาม กปปส. ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ โดยคนในพรรคเพื่อไทยและฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลอย่างกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในนามของคนเสื้อแดงต่างงัดทุกวิธีการออกมาตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระดมพลแสดงพลัง หรือการประกาศตัวแยกดินแดนที่มีหลักฐานชัดเจน และคำให้สัมภาษณ์ของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศหลุดออกมา ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นสถาบันอย่างชัดเจน จนประชาชนหลายภาคส่วน หลายพื้นที่เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับโกตี๋
จากนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ได้ออกมาจัดตั้ง “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” ขึ้น โดยเป้าหมายเพื่อกวาดล้างพวกที่มีพฤติกรรมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ถูกถล่มจนเคยขอติดอาวุธ
ที่ฮือฮาไม่น้อยสำหรับองค์กรเก็บขยะแผ่นดินคือการประกาศจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา หลังจากนายแพทย์เหรียญทองได้โพสต์ข้อความเมื่อ 21 เมษายน 2557 ที่ว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน มีความจำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธที่มีขีดความสามารถอย่างเพียงพอที่จะรับมือกับอาวุธสงครามจากกองกำลังติดอาวุธของขบวนการก่อการร้ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
“เมื่อรัฐบาลและผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีข้อจำกัดในการรักษาความปลอดภัยให้แก่ องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ดังนั้นองค์กรเก็บขยะแผ่นดินจึงมีความจำเป็นต้องระวังป้องกันตนเองด้วยกองกำลังติดอาวุธ ทั้งนี้ไม่ได้มีกองกำลังติดอาวุธไว้เพื่อไล่ล่า ปลิดชีพ ผู้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่มีไว้เพื่อระวังป้องกันตนเองจากกองกำลังติดอาวุธของขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น”
กระผมขอความกรุณาจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้โปรดเข้าใจถึงความจำเป็น โดยอย่าได้ดำเนินคดีอาวุธสงครามกับองค์กรเก็บขยะแผ่นดินด้วย ทั้งนี้องค์กรเก็บขยะแผ่นดินจะเตรียมพร้อมระวังป้องกันตนเอง ณ ที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยเท่านั้น
ทำให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศอ.รส. ออกมาตอบโต้ว่าไม่สามารถกระทำได้ จากนั้นในวันที่ 23 เมษายน นายแพทย์เหรียญทองได้แจ้งว่า องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน ได้รับการคุ้มครองรักษาความปลอดภัยจากกองทัพแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธป้องกันตนเอง
เดินเครื่องกลุ่มหมิ่นสถาบัน
โดยในวันดังกล่าวนายแพทย์ เหรียญทอง ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นางสาวฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือ โรส ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กองการปราบปราม การกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
การเดินเครื่องเพื่อดำเนินการกับกลุ่มหมิ่นสถาบัน นับว่าแรงเกินคาด จากการเปิดเฟซบุ๊กองค์กรเก็บขยะแผนดิน ไม่ถึง 2 สัปดาห์ มีผู้ที่เข้ามาเป็นแฟนเพจแล้วกว่า 1.5 แสนราย
พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้ก่อตั้งองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน กล่าวถึงแนวทางในการดำเนินงานขององค์กรเก็บขยะแผ่นดินว่า ประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก คือ
1. การสืบค้นหาตัวผู้กระทำความผิด สังคม ออนไลน์ วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เป้าหมายนั้นเพื่อต้องการหาตัวบุคคลผู้กระทำความผิดที่ใช้สื่อเหล่านี้กระทำการหมิ่นสถาบัน โดยมุ่งไปที่การเก็บรวบรวมข้อมูลบุคคลและหลักฐานของการกระทำความผิด เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
2. มาตรการต่อต้านทางสังคม กับบุคคลผู้กระทำความผิด
3. รณรงค์สร้างความถูกต้อง ความเข้าใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากที่ปัญหานี้ถูกปล่อยปละละเลยมานาน
ในการสืบหาตัวบุคคลผู้กระทำความผิดนั้น จะต้องสืบหาให้ถึงตัวบุคคลที่กระทำและต้องเป็นผู้กระทำผิดจริง เนื่องจากในโซเชียลเน็ตเวิร์กต้องระวังในเรื่องใช้ชื่อปลอม รูปปลอม หรือข้อมูลอื่นๆ อาจจะเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบหรือเป็นการกลั่นแกล้งบุคคลอื่น ดังนั้นต้องตรวจสอบจนแน่ชัดก่อน จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วนการสืบค้นตัวผู้กระทำความผิดนั้น เราใช้ทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยพลเรือน ด้วยความรู้ความสามารถของทีมงานที่มีนั้น สามารถเจาะเข้าไปถึงตัวบุคคลผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริง รู้ทั้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ และสถานที่ที่ใช้กระทำความผิด
“ตอนนี้เรามีทีมงานสืบค้นผู้กระทำความผิดแล้ว 2,000 ทีม และยังต้องการคนเข้ามาเพิ่ม มีเป้าหมายให้ได้ 1 ล้านทีม และในเดือนพฤษภาคมจะมีโครงการฝึกอบรมการสืบค้นหาตัวบุคคลและแนวร่วมที่กระทำการหมิ่นสถาบันทางช่องทางสื่ออื่นๆ โดยเชื้อเชิญคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันให้เข้ามาร่วมอบรม เพื่อให้มีความรู้ที่จะดำเนินการสืบค้นได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมาแจ้งกลับที่องค์กรเก็บขยะ”
ขณะเดียวกัน เมื่อตรวจพบผู้กระทำผิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งมีทีมนักกฎหมาย ทนายความเข้ามาช่วยมาก สามารถที่จะดูแลคดีได้อย่างน้อย 1 คนต่อ 1 คดี หรือใน 1 คดีอาจมีทนายความเข้ามาช่วยกันทำคดีได้มากกว่า 1 คน
“เราไม่ได้ใช้เงินทองในการว่าจ้างบุคคลเหล่านี้ เนื่องจากเกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่อาสาเข้ามาช่วยเหลือองค์กร”
สร้างเครือข่าย-กดดันทางสังคม
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อแทรกซึมและรายงานการกระทำความผิด ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลืองานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงการติดตามความคืบหน้าของคดี เพื่อรายงานต่อสมาชิกขององค์กรให้ทราบต่อไป
สำหรับมาตรการต่อต้านทางสังคมนั้น จะกระทำเมื่อแนวทางทางกฎหมายเข้าไม่ถึง โดยจะใช้ภาคธุรกิจเข้ามาเป็นตัวนำ ซึ่งจะสอดคล้องไปกับการรณรงค์ในภาคธุรกิจให้สำนึกในสถาบันพระมหากษัตริย์ มีทีมงานที่จะหามาตรการทางสังคมมาสกัดกั้นบุคคลเหล่านี้ อย่างเช่น การไม่รับบุคคลเหล่านี้เข้าทำงานในองค์กรเอกชนรายอื่นๆ หรือแจ้งให้ทราบถึงบุคคลเหล่านี้ที่อาจทำงานอยู่ในองค์กรของเอกชนเหล่านั้น
“เราไม่มีมาตรการไล่ล่าใคร หรือปลิดชีพใคร กองทุนเก็บขยะสังคมที่มีไม่ได้ใช้จ้างฆ่าใคร แต่เป็นการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดเท่านั้น เงินของกองทุนที่มีจะใช้เฉพาะในการปฏิบัติงาน เช่น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ส่วนทีมที่ทำงานทั้งหมดเป็นจิตอาสา ไม่เอาเงิน”
สำหรับเรื่องการจัดตั้งวิทยุชุมชนนั้น ยังเป็นเพียงแนวคิด เพื่อจะเผยแพร่ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน มุ่งไปยังพื้นที่เป้าหมายที่อาจมีความเข้าใจผิดต่อสถาบัน โดยจะไม่มีเรื่องทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เน้นเรื่องการทำมาหากินของประชาชน อาจมีสินค้าราคาถูกมาจำหน่าย เพื่อสร้างชีวิตที่ดีให้กับคนระดับล่าง โดยจะใช้กองทุนเก็บขยะเป็นทุนในการดำเนินงาน แม้จะเป็นแค่เพียงแนวคิดแต่เราทำแน่
โครงการทหารเก่าไม่มีวันตายที่เราดำเนินการอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องการไปรบกับใคร แต่เราได้เชิญผู้บังคับบัญชาทุกระดับที่เกษียณอายุราชการไปแล้วเข้ามาร่วมกันทำงาน เนื่องจากพวกเขามีความรู้ความสามารถและทักษะทางทหารในการดำเนินการติดตามหรือมีวิธีการรู้ถึงที่หลบซ่อนของผู้กระทำความผิด รวมถึงเข้ามาช่วยติดตามความคืบหน้าของคดีที่ได้ดำเนินการไปแล้วกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี
ไม่เพียงแค่การมีทหารเก่าเข้ามาร่วมกับองค์กรเก็บขยะเท่านั้น แต่ยังมีข้าราชการส่วนอื่นๆ อย่างเช่น อัยการที่เกษียณอายุแล้วเข้ามาช่วยดูสำนวนการฟ้องร้องว่าอ่อนไปหรือไม่ เพราะถ้าอ่อนไปก็อาจทำให้คดีนั้นถูกยกฟ้องได้ รวมไปถึงมีทีมของอดีตผู้พิพากษาเข้ามาร่วมด้วย บุคคลเหล่านี้จะเข้ามาช่วยเป็นทีมที่ปรึกษาให้กับองค์กรเก็บขยะ นอกจากนี้ยังมีครู แพทย์ พยาบาล พระ นักเรียน ประชาชนทุกวิชาชีพ ทั้งนี้เพื่อต้องการทำให้เป็นกองทัพประชาชนพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์
ที่สำคัญหากปล่อยให้ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเช่นนี้ต่อไป คนไทยที่มีความจงรักภักดีต้องลุกฮือขึ้นจัดการกันเองอย่างไร้การควบคุม ไม่มีศูนย์กลางในการควบคุมประสานงาน ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรงและเลวร้าย ดังนั้น การที่มีองค์กรเก็บขยะแผ่นดินนี้ จึงเป็นศูนย์กลางในการควบคุมประสานงานที่เป็นความหวังของคนไทยที่มีความจงรักภักดีซึ่งเป็นการลุกขึ้นต่อสู้ที่อยู่ในการควบคุม ไม่ใช่การลุกขึ้นสู้แบบต่างคนต่างทำ ไร้การควบคุม แต่จะเป็นการลุกขึ้นสู้ที่อยู่ในการควบคุมที่หันมาร่วมมือกัน สนับสนุนกัน เพื่อช่วยเหลือผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม
หน่วยงานรัฐไร้ประสิทธิภาพ
นายแพทย์เหรียญทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากขบวนการหมิ่นสถาบันเหิมเกริม ก่อการร้าย ล้มล้างราชบัลลังก์ จึงเกิดเครือข่ายนี้ขึ้นมา ไม่ติดอาวุธ ไม่ใช้อาวุธ ใช้กำลังทรัพย์ สติปัญญาและกำลังคน เพื่อหนุนการทำงานของกองทัพหลักคือทหาร
ที่ผ่านมาหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่จัดการกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบันไร้ประสิทธิภาพ ปล่อยปละละเลย หรืออาจจะมีคนน้อยหรืองบประมาณจำกัด รวมไปถึงคนไทยทั้งประเทศด้วยที่ละเลย ดังนั้นกลุ่มของเราจึงเข้าไปช่วยเหลือหน่วยงานราชการเหล่านี้ แต่จากการละเลยต่อการจัดการกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบันทำให้พวกนี้มีเพิ่มมากขึ้น
แม้ในช่วงแรกของการเข้าดำเนินการกับกลุ่มหมิ่นสถาบัน ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการปลุกให้กลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาอีกครั้ง นายแพทย์เหรียญทองยอมรับว่า ช่วงแรกอาจจะมีฝุ่นตลบบ้าง แต่เป็นปฏิกิริยา Re- Action แต่ถ้าทำอย่างจริงจังต่อเนื่อง ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ากระทำผิดอีก
“ที่เราทำมานี้ไม่ได้เกี่ยวกับ กปปส. ไม่ว่าจะมีการปฏิรูปประเทศหรือไม่เราก็ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว เราไม่ได้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับคนเสื้อแดง แต่เราประกาศตัวเป็นศัตรูกับพวกที่หมิ่นสถาบัน และขอให้คนไทยมีจิตสำนึกของความจงรักภักดี รู้พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ รู้คุณแผ่นดิน”
นับเป็นการขับเคลื่อนของภาคประชาชนอีกครั้ง ที่ออกมารวมตัวกันเพื่อดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มที่หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่มีหน่วยงานราชการของรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มทางกฎหมายที่จะดำเนินการกับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเหล่านี้
ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะถูกสังคมมองว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาล หรือฝ่ายที่กระทำผิดเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับรัฐบาลก็ตาม ผู้ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุดย่อมหนีไม่พ้นรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน