จับตายุทธวิธีเปิดเกมรุกบีบธุรกิจเครือข่าย “ตระกูลชิน” ที่แกนนำ กปปส.ขานรับไอเดีย “หลวงปู่พุทธะอิสระ” นักวิชาการชี้เป็นการเปิดเกมรุกที่เยี่ยมยอด หวังดึงเจ้าของทุนที่มีอำนาจเต็มอย่าง “คุณหญิงพจมาน” ออกมาเจรจาหาข้อยุติ-ตัดท่อน้ำเลี้ยง ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์รวมกลุ่มวิพากษ์เชื่อการบีบไปที่ธุรกิจตระกูลชิน ตรงประเด็นที่สุด เพราะการทำลายฐานทุน เป็นวิธีการต่อสู้กับระบบทุนที่มีพลังสูงสุด ด้านภาคธุรกิจกังวลธุรกิจเกี่ยวเนื่องตายเรียบ ต่างชาติถอนหุ้นระนาว!!
100 กว่าวันผ่านไปสำหรับการต่อสู้ของ กปปส.เพื่อล้มอำนาจเผด็จการของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้นายกฯ รักษาการ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้คนกลางเข้ามาปฏิรูปประเทศ แต่จะบีบ จะไล่อย่างไร ก็ไม่ได้ผล แม้กระทั่งชาวนาที่แห่กันออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบโครงการรับจำนำข้าว แต่ชาวนาไม่ได้เงิน และมีการยกระดับการเรียกร้องไปสู่การขับไล่รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ อีกกลุ่มหนึ่งก็ตาม
แต่ทุกกระแสเสียงที่ออกมาขับไล่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง จะมีก็เพียงคำยืนยันจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะรักษาฐานอำนาจของตัวเองไว้ให้นานที่สุด
ขณะที่แกนนำ กปปส.ก็ปรับยุทธวิธีด้วยการไล่ล่ารักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยการไปปิดทุกที่ที่ยิ่งลักษณ์ไปปรากฏตัว
ส่วนที่เด็ดกว่านั้นก็คือ ยุทธวิธีของ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ที่เปิดเกมรุกบีบไปที่ธุรกิจของตระกูลชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ให้กับพรรคเพื่อไทย และยุทธวิธีนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) เห็นด้วยจึงเกิดปฏิบัติการปิดธุรกิจที่เป็นของเครือชินวัตรตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะการเคลื่อนทัพไปบุกโรงแรมเอสซี ปาร์ค โดยมีการจองห้องพักไว้ก่อนจำนวน 10 ห้อง และมีการมัดจำเงินไว้ล่วงหน้าแค่ 4,200 บาท แต่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก จนกระทั่งผู้จัดการโรงแรมเอสซี ปาร์ค ถึงกับนั่งไม่ติด ต้องยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นน้ำเลี้ยงต่อม็อบให้ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ถึง 120,000 บาท และ พ.ต.อ.สรรค์หกิจ บำรุงสุขสวัสดิ์ ผู้กำกับ สน.วังทองหลาง ต้องควักคืนให้อีก 4,000 บาทเป็นค่าห้องที่จองไว้แล้ว
ผลสะเทือนคือ ลูกค้าของโรงแรมเอสซี ปาร์ค แห่กันเช็กเอาต์เป็นทิวแถว เพราะความกลัวจะเกิดความวุ่นวาย
อีกทั้งแกนนำ กปปส.ก็มีการแบ่งมวลชนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนพลไปปิดอาคารชินวัตร 3 ทุกวัน ไม่พอยังให้คนที่อยู่ที่บ้านโทร.ไปก่อกวนที่บริษัททุกบริษัทของตระกูลชินวัตรทุกวัน และทั้งวัน รวมทั้งใครมีหุ้นก็ให้ขายทิ้ง และรอช้อนซื้อเวลาที่หุ้นตกเหลือราคาถูกสุดๆ
การรุกคืบไปที่ธุรกิจตระกูลชินครั้งนี้ เป็นแผนปฏิบัติการระยะยาว ต่อเนื่องจนกว่าจะชนะ และจะมีแผนรุกคืบใหม่ๆ ทุกวัน ซึ่งวันจันทร์ที่ 24 ก.พ.นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ตระกูลชินวัตรต้องหนักใจในการเปิดเกมรุกครั้งนี้
ชกตรง “ทุนชิน” บีบ “นายหญิง” เจรจา
“ฐานของพรรคเพื่อไทยมีหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจของตระกูลชินวัตร ธุรกิจสื่อ ธุรกิจสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล และธุรกิจเครือข่ายอีกจำนวนมาก ธุรกิจทั้งหมดเกี่ยวเนื่องกับพรรคเพื่อไทย เกมรุกครั้งนี้ของ กปปส.จึงต้องหาว่าธุรกิจอะไรบ้างที่เป็นท่อน้ำเลี้ยง จะได้ไปชุมนุมให้ตรงเป้าหมาย” ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ (ยุคศรีอารยะ) นักวิชาการอิสระกล่าว
พร้อมระบุว่า เหตุการณ์การรุกคืบเข้าไปบีบธุรกิจของฝ่ายรัฐบาลอย่างนี้ ไม่เคยเห็นเกิดขึ้นมาก่อนในการต่อสู้ของการเมืองไทย ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผลกระทบด้านเศรษฐกิจจะกระทบหนักแค่ไหน โดยเฉพาะราคาหุ้นของบริษัทของกลุ่มตระกูลชินวัตร ต้องรอดู เพราะการเมืองกับธุรกิจเกี่ยวข้องกัน และเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการต่อสู้ทางการเมือง
“พลังของชนชั้นกลางมีพลังด้านเศรษฐกิจไม่น้อย ดูอย่างออมสิน ต้องหยุดการให้กู้แบบอินเตอร์แบงก์ ปล่อยต่อไปไม่ได้ เป็นกรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าได้รับผลกระทบ เสียหายหนัก ยอดเงินฝากตก ถ้าผู้อำนวยการออมสินคนใหม่มา ต้องปรับนโยบายใหม่ ขึ้นดอกเบี้ย แต่จะดึงคนกลับมาได้เท่าไร”
นอกจากนี้ ยังประเมินว่า การที่ กปปส.ปรับเป้าไปบีบที่ธุรกิจของตระกูลชินวัตรนั้น จะได้ผลดีในเรื่องของการตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มทุนฝ่ายรัฐบาล
แต่การต่อสู้แบบนี้ มีเป้าหมายคือต้องการเร่งให้เกมจบโดยเร็ว จะทำนานๆ ไม่ได้ ระยะยาวจะลำบาก
“กปปส.ไปยึดโน่นนี่ ไม่มีประโยชน์ เขาไม่เดือดร้อน ตอนนี้ปรับเป้าหมาย คนก็เข้าใจ ก็ชัดเจนมากขึ้นว่ากำลังสู้กับอะไร”
ดร.เทียนชัย มองว่า การบีบไปที่ธุรกิจของตระกูลชินวัตรโดยตรง นอกจากจะตัดท่อน้ำเลี้ยงไปให้สายกำลังทางการเมืองแล้ว ยังเป็นการบีบให้คนดูแลเรื่องเงินของธุรกิจตระกูลชินวัตรออกมาต่อรอง
“ผมมองว่า การเจรจากับคุณทักษิณมันไม่ได้ผล แต่การบีบไปที่คนดูแลเงินคือ คุณหญิงพจมาน อีกไม่นานก็จะมีการเจรจา การเจรจากับคุณหญิงพจมานจะรู้เรื่องมากกว่า ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางการเจรจาของกลุ่ม กปปส.ซึ่งคนที่ดำเนินการทางการเมืองแม้จะเป็นคุณทักษิณ แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าคนที่บริหารจัดการคือเมีย คิดยังไง ว่ายังไง ขึ้นอยู่กับเมียด้วย”
ดังนั้นการเลือกใช้ยุทธวิธีด้วยการพุ่งเป้าไปที่ภาคธุรกิจครั้งนี้ จึงเป็นการพุ่งเป้าไปบีบให้ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร” หลังบ้านตระกูลชินออกมาเจรจา!
“หากมีการเจรจาต่อรองเกิดขึ้นได้ การเมืองก็มีเหตุให้เกิดการนำไปสู่ข้อสรุป”
ตัดท่อน้ำเลี้ยงตัดเงิน “ซื้อคน” ของทักษิณ
ขณะที่ ดร.ณรงค์ เพชรประเสริฐ อดีตผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทางกลุ่มนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มีการคุยเรื่องนี้กันมาสักพักหนึ่งแล้ว เห็นว่า การบีบไปที่ธุรกิจตระกูลชินวัตรจะเป็นการต่อสู้ที่ตรงประเด็นที่สุด และเป็นการต่อสู้ที่เป็นไปตามภาวะทั่วไปของระบอบทุนนิยม
“ยุคนี้มันยุคทุนนิยมครอบงำ ฐานหลักของคู่ต่อสู้อยู่ที่ทุน ทุนถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมืองตลอด แต่มักจะเป็นการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่มักใช้มาตรการบีบไปที่ภาวะเศรษฐกิจ หรือการสั่งห้ามสินค้าเพื่อผลทางการเมืองมาตลอด เช่น ล่าสุดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทำกับประเทศอิหร่าน หรือบางทีก็มีการใช้มาตรการนี้โดยไม่รู้ตัว เช่น การเข้ามาทำลายค่าเงินบาท หรือ ใช้ทุนกดดันการค้าการขาย สุดท้ายก็เป็นไปตามที่ประเทศมหาอำนาจต้องการ”
การทำลายฐานทุน จึงเป็นวิธีการต่อสู้กับระบบทุนที่มีพลัง!
“ฝ่ายหนึ่งใช้ ศรส.มาตัดท่อน้ำเลี้ยงของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ไปตัดท่อน้ำเลี้ยงเหมือนกัน หมู่นักเศรษฐศาสตร์คุยกันว่าหากสู้ยาว ในเมืองสู้ยืดเยื้อ ถ้าจะเอาชนะครบ 12 ยก ไม่มีหมัดน็อกอย่างนี้ ก็ต้องตัดแขนตัดขาให้อ่อนเปลี้ยไปถึงชนะได้”
พูดง่ายๆ ว่า เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้กลุ่มทุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ แขน ขาไม่ขยับ!
“กปปส.ขับเคลื่อนชนชั้นกลางด้วยความรู้สึกร่วม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขับเคลื่อนคนชั้นกลางด้วยการขับเคลื่อนด้วยทุน ใช้วิธีผลักคนชั้นกลางผ่านผลประโยชน์ด้วยการใช้เงินมาซื้อคนนั้นคนนี้ เมื่อท่อน้ำเลี้ยงถูกโจมตีไปตรงๆ การใช้เงินไปซื้อคนนั้นคนนี้คงสะดุดไปด้วย น่าจะลดลงทันที”
ฝ่ายธุรกิจกังวลกระทบธุรกิจต่อเนื่อง-ตลาดหุ้นซบ
ขณะที่แหล่งข่าวด้านธุรกิจระบุว่า การขับเคลื่อนการต่อสู้ทางการเมืองไปที่ภาคธุรกิจครั้งนี้มีความน่ากลัวมาก เพราะเหตุที่ว่ากลุ่มทุนของใครก็ตามจะไม่ใช่ทุนของกลุ่มเดียว แต่มีกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
หากมีการต่อสู้ระยะยาว จะกระทบไปที่เครือข่ายของทุน รวมทั้งเศรษฐกิจโดยรวมด้วย โดยเฉพาะภาวะตลาดหุ้น ที่จะได้รับผลกระทบมากจากความไม่เชื่อมั่นของต่างชาติ
โดยมองว่าจากประวัติศาสตร์การเมืองไทย แม้จะมีการต่อสู้ทางการเมือง แต่ยังไม่เคยรุกไปที่ภาคธุรกิจของอีกฝ่ายมาก่อน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรก!
ดังนั้น อยากให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง ไม่อยากให้การเมืองใช้วิธีมาต่อสู้กันในระบบเศรษฐกิจ เพราะอาจทำให้กลุ่มทุนฝั่งรัฐบาล ใช้วิธีบีบไปที่กลุ่มทุนของกลุ่ม กปปส.เพื่อเป็นการแก้เผ็ดคืนได้เช่นกัน!