xs
xsm
sm
md
lg

โชว์ผลงานฉาว! ยิ่งลักษณ์ไม่เคยแถลง เศรษฐกิจพัง-คุณภาพชีวิต “แย่ลง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ย้อนดูการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชน 3 ปี “ยิ่งลักษณ์ฉาว” บริหารประเทศพัง ทั้งเศรษฐกิจ-คุณภาพชีวิต! คนไทยเตรียมแบกหนี้สาธารณะอ่วม หนี้ครัวเรือนสูงถึง 80% ขณะที่รัฐบาลแถลงผลงานโชว์แต่บวก บวก บวก ส่วนความจริงวันนี้ถูกวิพากษ์บริหาร “เพื่อพี่แม้ว-เพื่อตัวเอง” เป็นหลัก ผนึกพลังอุ้ม “ทักษิณ” กลับประเทศอย่าง “ผู้ชนะ” ด้าน “แหล่งข่าวความมั่นคง” เผย คลิปอัลกออิดะห์ของจริง ชีวิตทักษิณอยู่บนเส้นด้าย อยู่ต่างประเทศก็ยาก-กลับประเทศไทยก็กลัวถูกลอบสังหาร!

ออกจะช้าไปหน่อยในการแถลงผลงานรัฐบาล “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เพราะ ใน “การรายงานผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นั้นจริงๆ แล้วตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 หมวด 5 ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 75 ได้บัญญัติไว้ว่า รัฐบาลจะต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินงานฯ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคต่อรัฐสภา ปีละ 1 ครั้ง

นี่เข้าสู่ปีที่ 3 ของการบริหารงานแล้ว รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพิ่งจะแถลงนโยบายรัฐบาลเป็นครั้งแรก!

เป็นการแถลงนโยบายการบริหารในช่วงปีที่ 1 เท่านั้น คือตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 2554- 23 ส.ค. 2555

การแถลงผลงานครั้งนี้ รัฐบาลได้เตรียมเอกสารสวยหรูมาทั้งสิ้น 519 หน้า แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 ผลการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วน และส่วนที่ 2 ผลการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

ตาม 16 นโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาไว้ในวันเข้ามาดำรงตำแหน่งคือ 23 ส.ค. 2554 ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ, การบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ, การเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้, แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในด้านสินค้าและบริการ, ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค, ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุน

ผลการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ 7 ด้านคือ ด้านความมั่นคงแห่งรัฐ, ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน, ด้านศาสนา สังคม สาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม, ด้านกฎหมายและการยุติธรรม, ด้านการต่างประเทศ, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ด้านวิทยาศาสตร์ ทรัพย์สินทางปัญญา และพลังงาน และด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน

แถมผลงานที่เอามาแถลงก็เป็นผลงานที่สวยหรู เกินกว่าความจริงที่ปรากฏแก่สายตาประชาชนมาตลอด

“รัฐบาลตระหนักว่าความสำเร็จในการดำเนินนโยบายในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมแรงจากทุกภาคส่วน ผ่านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลซึ่งนับเป็นการวางพื้นฐานการพัฒนาที่สำคัญให้แก่ประเทศ ดังนั้น ในระยะต่อไปรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคงทางสังคม และสร้างความสุข ความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนคนไทยทุกคน โดยจะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”

รัฐบาลแถลงสรุปโดยยังยืนยันว่ารัฐบาลมีความสำเร็จในการดำเนินนโยบาย แต่รัฐบาลคงลืมไปว่าเรื่องฉาวๆอันเกิดจากการบริหารงานของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่สามารถปกปิดประชาชนได้ เหมือน “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดก็ไม่มิด” ฉันใดก็ฉันนั้น

ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคม แม้จะถูกต้องตามหลักวิชาการมาอย่างต่อเนื่องถึงผลการบริหารงานที่ผิดพลาดของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ตาม แต่ดูเหมือนนายกฯ จะไม่สนใจ สามารถนำมาสรุปได้ดังนี้

“ทำเพื่อพี่”- ทักษิณสั่งการพร้อมยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ

อันดับแรก รัฐบาลยิ่งลักษณ์หนีไม่พ้นเรื่องฉาวที่ว่าเธอมาเพื่อ “ทำเพื่อพี่” โดยตั้งแต่วันแรกในการบริหารงานจน 2 ปีกว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์บริหารประเทศ ภาพของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นภาพของการเป็นเพียง “เงา” ของพี่ชายอยู่ตลอดเวลา และยิ่งเห็นได้ชัดจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ มีการสไกป์มาสั่งงาน ส.ส.ด้วยตัวเอง ใครไม่ทำตามก็ถือว่า “มีปัญหา” แน่

ดังนั้นพี่ชายต้องการอะไร ยิ่งลักษณ์ต้องจัดให้

แหล่งข่าวด้านความมั่นคง กล่าวว่า ตั้งแต่ตามดูรัฐบาลบริหารงานมาตลอด พบว่า นโยบายที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ประกาศอย่างสวยหรูนั้น เป็นเพียงสิ่งที่ข้าราชการสรุปให้มา นายกฯ ก็พูดตามว่าทำดีมาตลอด แต่สิ่งที่อยากให้คิดคือประชาชนเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมาตลอด ดังนั้น ถ้าจะมองว่าดี หรือไม่ดี ให้พิจารณาเอาเอง แต่ในส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นการบริหารประเทศที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

โดยเฉพาะประเด็นของการ “ทำเพื่อพี่” ที่มันมากเกินไป!

“คนบริหารประเทศเวลานี้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังหนีคดีอยู่ต่างประเทศ เพราะเขาเองก็ไม่ได้ปิดบัง และพยายามบอกต่อสาธารณะตลอดว่าเป็นคนคิดเรื่องของการบริหารประเทศมาตลอด รัฐบาลมีเพียงหน้าที่ทำตามที่เขาคิด แต่ตรงนี้คือเรื่องที่ผิดมหันต์ โดยเฉพาะการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญที่นายกฯ ไม่บริหารประเทศ กลับให้คนอื่นมาบริหารประเทศแทน รัฐบาลเหมือนแค่คนรับจ็อบมาทำเท่านั้น”

สิ่งที่เป็นปัญหาคือ การบริหารประเทศนั้น แม้ว่าจะเป็นคนที่เก่งแค่ไหน แต่อย่าลืมว่า การทำงานที่ดีควรจะมีคนที่ช่วยเป็นหัวคิดหลายคน ระดมสมองเพื่อบริหารประเทศ ไม่ใช่บริหารด้วยความคิดของคนคนเดียว เพราะตามหลักการแล้วจะสร้างความเสียหายกับประเทศชาติมากกว่า

“จริงๆ มีหัวคิดหลายหัวคิด แต่หัวคิดเหล่านั้นก็ทำตัวเป็นคนไม่มีหัวคิด ไม่กล้าแย้ง เพราะกลัวโดนข้อหาอวดเก่ง กลัวว่าจะตกจากความเป็นรัฐมนตรี กลัวว่าจะไม่ได้เป็น ส.ส. ก็เลยกลายเป็นไม่มีใครขัดคนคนเดียวได้”

ปัญหาที่ตามมาคือ คนคนเดียวถ้าไม่ได้เป็นคนมีคุณธรรมเพียงพอแล้ว ก็สามารถทำให้เกิดผลประโยชน์ส่วนต่างๆ ขึ้นได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์กลุ่มของตัวเอง และผลประโยชน์ของพรรคพวก

“มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น เหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ เงินจากการทุจริตจะทำให้เขาสามารถยึดอำนาจเบ็ดเสร็จได้ สามารถครองอำนาจต่อเนื่องได้ยาวนาน เขารู้สึกว่าบ้านเมืองนี้เป็นของเขา”

ดังนั้นอย่าแปลกใจ ที่งานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่สำคัญที่สุด โฟกัสอยู่ในรัฐสภา ทั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม, การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรการแก้ที่มาของ ส.ว., พ.ร.บ.งบประมาณ, การกู้เงิน 2 ล้านล้าน

ทั้งหมดนำไปสู่การยึดอำนาจเบ็ดเสร็จทางการเมืองของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”?

โดยเฉพาะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจน และเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์แบบเต็มๆ

“พรรคเพื่อไทยทำให้เห็นว่า กำลังเดินหน้าเพื่อช่วยประชาชน เพื่อช่วยพี่น้องเสื้อแดง เป็นการยอมเสียสละอย่างมากของ พ.ต.ท.ทักษิณ”

แต่ว่าสุดท้ายมาตรา 3 จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” และแกนนำคนเสื้อแดง เพราะการยกโทษให้ผู้กระทำความผิดเมื่อสำเร็จแล้วเสร็จ ย่อมมีความหมายว่า การกระทำความผิดไม่เกิดขึ้น เมื่อการกระทำความผิดไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่มีผู้สั่งการ หรือ ผู้สั่งการก็ย่อมไม่ผิดไปด้วย

เรื่องนิรโทษกรรมนี้ นายวสันต์ สร้อยวิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาพูดต่อสาธารณะไว้ด้วยว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมของรัฐบาลนี้มีปัญหา โดยเฉพาะ 3 มาตรา คือ

1.มาตรา 3 วรรคสอง เรื่องหลักนิติธรรม เช่น คดีที่เกิดพิพากษามาแล้ว อยู่ๆ จะยกเลิกมาพิจารณาใหม่ไม่ได้

2.มาตรา 29 ซึ่งระบุว่าการออกกฎหมายต้องใช้บังคับเป็นการทั่วไป จะบังคับใช้กับคนคนเดียว หรือบางกลุ่มไม่ได้ เและ

3.ในมาตรา 30 กำหนดไว้ว่า กฎหมายต้องไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะสถานะของบุคคล แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป้าหมายในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมของรัฐบาลเพื่อไทยในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะยกเว้นให้ “คนบางคน” เท่านั้น

หรือกระทั่งเรื่องที่ไม่ยอมแถลงผลงานต่อรัฐสภา ทั้งๆ ที่มีการกำหนดไว้ว่ารัฐบาลต้องแถลงทุกปีนั้น ก็เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 วรรค 2

ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการเร่งพิจารณาในส่วนของที่มาของ ส.ว. ที่เป็นการเดินหน้าอย่าง “หักดิบ” เพราะแสดงให้เห็นว่าต้องการยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ เพราะ ส.ว.มีบทบาทสำคัญในการพิจารณาเลือกบุคลากรไปทำงานในศาล และองค์กรอิสระต่างๆ หากฝ่ายการเมืองคุมอำนาจ ส.ว.ได้เบ็ดเสร็จก็หมายความว่าการแทรกแซงศาล และองค์กรอิสระก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น

‘2 ล้านล้าน’ ช่วยเพื่อไทยครองประเทศ

สำหรับเรื่องต่อมาที่ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือเรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้าน ที่เวลานี้คนในพรรคเพื่อไทยพูดกันให้แซดว่า

“ได้ 2 ล้านล้าน รวมกับ 3.5 แสนล้านบาทจากโครงการน้ำมาได้ ไม่ว่าพรรคไหนก็ไม่มีทางสู้พรรคเราได้แล้ว”

ตรงนี้แสดงให้เห็นชัดว่า เงินกู้ตรงนี้ไม่ได้หวังผลในเรื่องของผลงานเท่าไรนัก แต่เน้นหนักถึงผลการเลือกตั้งที่จะเป็นประโยชน์ต่อพรรคเพื่อไทย

กระทั่งมีการพูดกันต่อว่า

“ถ้าฝ่ายหนึ่งจ่าย 500 บาท ฝ่ายเราจ่าย 1,000 ถ้าเขาจ่าย 1,000 เราจ่าย 2,000”

ที่สำคัญยังมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่แล้ว หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น?

“ความจริงในเชิงการข่าวแล้ว เรารู้มาว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณดำเนินการอย่างเร่งรีบนั้น มีหลายประการ และมีเบื้องหลังที่ต้องทำเช่นนั้น”

แหล่งข่าวด้านความมั่นคง กล่าวว่า ให้สังเกตเรื่องวีซ่าเข้าประเทศมอนเตเนโกรที่มีการเซ็นสัญญาร่วมกันเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมาให้ดี เพราะคนในกระทรวงการต่างประเทศคุยกันให้แซดว่า “มีคำสั่งมาให้ดำเนินการภายใน 1 วัน” และต้องเสร็จให้ทันเวลา

การเซ็นสัญญาครั้งนี้เป็นการตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลมอนเตเนโกรว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับหนังสือเดินทางทูตและราชการไทยและมอนเตเนโกร

เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือพาสปอร์ตมอนเตเนโกร เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมพร้อมเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อมีโอกาส?

“เขาเข้ามาแน่ แต่จะไม่มาตอนนี้ เพราะนิสัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่เข้ามาแบบหลบๆ ซ่อนๆ และจะเข้ามาอย่างผู้ชนะ จะกลับเข้ามาประเทศเมื่อเขามั่นใจว่าเขาสามารถกุมอำนาจได้แล้วเท่านั้น”

เผยคลิป “อัลกออิดะห์” ของจริง

แหล่งข่าวระบุอีกว่า ปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าอยู่ในความกดดันอย่างมาก ในทางการข่าวได้มีการเช็กแล้วและพบว่าเรื่องคลิปอัลกออิดะห์เป็นเรื่องจริง

“ตอนแรกก็มีแต่การสงสัย แต่ตอนนี้หลายๆ อย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นเรื่องจริง เพราะมีการถามไปที่หน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา และได้รับยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งหากไม่ใช่เรื่องจริง กลุ่มอัลกออิดะห์ก็น่าจะออกมาปฏิเสธแล้ว แต่นี่ก็ไม่มี”

ปัญหาจึงเกิดต่อมาว่า ประเทศต่างๆ ที่ได้เช็กแล้วว่าคลิปขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นในระดับประเทศก็ย่อมกลัวว่าจะเกิดวินาศกรรมในประเทศของตัวเองด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่าวินาศกรรม 9/11 ที่เกิดในสหรัฐอเมริกานั้น เป็นเรื่องที่โหดร้ายและแสดงถึงพลังอำนาจของกลุ่มอัลกออิดะห์แค่ไหน ทั้งๆ ที่ตึกที่ถูกถล่มในครั้งนั้นอยู่ในใจกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นตึกที่เป็นสัญญะ (symbolic) ทั้งการคุมอำนาจทางเศรษฐกิจโลก และการคุมอำนาจทางด้านความมั่นคงด้วย

กลุ่มอัลกออิดะห์จึงมีทั้งฝีมือ ทั้งการกระทำที่ไม่ธรรมดา และเมื่อคิดจะทำแล้ว ประกาศออกมาแล้ว และถ้าไม่ทำก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

อย่าลืมว่า กลุ่มนักรบมุสลิมโซมาเลียที่เพิ่งประกาศตัวว่าเป็นเครือข่ายของขบวนการอัลกออิดะห์ ก็เพิ่งบุกโจมตีห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 รายไปแล้ว

“ผมว่าตอนนี้คุณทักษิณรู้ตัวนะ ว่าชีวิตอยู่บนเส้นด้าย การอยู่ต่างประเทศก็เสี่ยงที่จะถูกลอบฆ่า แต่ถ้ากลับมาเมืองไทย คุณทักษิณก็วางใจไม่ได้ว่ากลุ่มที่เป็นศัตรูเขาจะลอบสังหารเขาด้วยหรือไม่ ดังนั้นตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงยากลำบากของคุณทักษิณ”

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวย้ำว่าสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการในขณะนี้คือให้นางสาวยิ่งลักษณ์ดำเนินการเพื่อเขาให้สำเร็จ ทั้งการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม, การแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ลดอำนาจ ส.ว.เพื่อเข้าแทรกแซงศาล และองค์กรอิสระได้, การกู้เงิน 2 ล้านล้าน และเงิน 3.5 แสนล้านเพื่อจัดทำโครงการน้ำ เป็นหลัก

การคุมอำนาจเผด็จการทางการเมืองเบ็ดเสร็จ! คือสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเดินหน้า?

“ข่าวลือว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ก็เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว แต่ก็ยังมองว่า เขาฉลาดพอที่จะรุก และถอย

“ที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวเพื่อโยนหินถามทางมาตลอด พอโยนมาแล้วมีคนต้านมาก เขาก็ถอย เขาฉลาดที่จะแก้เกม กำหนดเกมใหม่ให้คนอื่นเล่นต่อ”

การสร้างภาพ การสร้างข่าวลือ เป็นอีกสิ่งที่ขณะนี้พลพรรคเพื่อไทยกำลังทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ

“การไปร่วมงานกับป๋า การได้รับคำสั่งเข้าเฝ้าพิเศษฯ กว่า 2 ชั่วโมง เป็นเรื่องที่ถูกปล่อยออกมามาก เพื่อโยงให้เห็นว่า คุณยิ่งลักษณ์ได้รับความเมตตา ไม่มีปัญหาแล้ว”

ทั้งๆ ที่เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่ประโยชน์ในเชิงการข่าวแบบนี้ ทางพรรคเพื่อไทยได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เป็นลักษณะโฆษณาชวนเชื่อ

“ทั้งหมดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งให้พรรคพวกทำในเวลานี้ คือเตรียมเปิดทางเพื่อกลับประเทศ ในวันที่เขาจะกลับได้ แต่ไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่ เขาจะกลับต่อเมื่อมั่นใจแล้วว่าชนะ”

นอกจากนี้ การเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่ามีการเดินทางมากเกินไป คือเดินทางในช่วงระยะเวลาการบริหารงาน 2 ปี ไปแล้วมากถึง 42 ครั้ง และไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ ก็ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องทำตามคำสั่งพี่ชาย ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่การเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะพบข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปก่อนหน้า หรือหลังจากนั้นอยู่บ่อยครั้ง

ซึ่งไม่รู้ว่า ไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง หรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝง?

‘ปู’ สร้างขุมกำลังตัวเองไม่สนเสียหาย

ดังนั้น 2 ปีที่ผ่านมานายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงถูกกระแสโจมตีอย่างหนักว่าบริหารประเทศตามคำสั่งและ/หรือ เพื่อ 'พี่ชาย' มาโดยตลอด จนไม่เป็นตัวของตัวเอง

และนี่คือที่มาของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อมาด้วยการพิสูจน์ให้คนเห็นว่าเธอเป็นตัวของตัวเอง
ด้วยการแข็งข้อต่อคำสั่งพี่ชายหลายต่อหลายครั้งให้สังคมได้เห็น เช่นกัน จนมีเสียงบ่นจากคนที่พี่ชายเลือกมาให้เป็นกุนซือด้านต่างๆ ว่านายกฯ ไม่เรียกใช้งาน แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ กลับมีท่าทีแข็งกร้าวที่จะเลือกคนของตัวเอง และกล้า “ขอ” พี่ชายที่จะให้คนเหล่านั้นมาอยู่รายล้อมตัวเธอมากกว่าคนของพี่ชาย

การปรับคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้ง “เด็ก” ของยิ่งลักษณ์ ก็ยังเป็นคนที่ถูกเลือก ไม่ว่าจะมีความผิดพลาดในการบริหารงานสักเพียงใด

คนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์นั้นได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมากกรณี “โกหกสีขาว”

"ยอมรับว่าเป้าการส่งออกในปีนี้เติบโตไม่ถึง 15% อย่างที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้แน่นอน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะผมพูดในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและ รมว.คลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบางเรื่องได้ ซึ่งการตั้งเป้าที่ระดับดังกล่าวก็เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ หากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผมพูดความจริงไปว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยจะเติบโตไม่ถึง 15% ก็จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีปัญหาได้ ดังนั้น ผมในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและ รมว.คลัง เค้าอนุญาตให้ผมพูดไม่จริงได้ในบางเรื่อง หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ดี เหมือนภาษาอังกฤษที่เรียกว่า White lie ที่แปลว่า โกหกสีขาว" นายกิตติรัตน์กล่าวเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2555

นอกจากเรื่องโกหกสีขาวแล้ว นายกิตติรัตน์ยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ออกแบบโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหาย และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตตามมาอย่างมาก รวมทั้งในช่วงที่ นายกิตติรัตน์ เคยดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมราคาสินค้าให้ถูกลงได้ จากการผันผวนของราคาน้ำมัน ทำให้รัฐนาวายิ่งลักษณ์เกือบล่มเพราะค่าครองชีพแพงมาครั้งหนึ่งแล้ว

แต่สุดท้าย “คนนี้น้องขอ” นายกิตติรัตน์จึงยังเป็นผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โต และไม่ถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีสักครั้ง

คนต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เป็นคนสำคัญที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เอามาไว้ใกล้ตัวที่สุดในเวลานี้ ถึงขนาดเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้า “แก๊งไอติม” จากร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ที่ทำให้สารวัตรเฉลิมต้องตกจากที่สูงตำแหน่งรองนายกฯ คุมความมั่นคง ดูแลตำรวจซึ่งเป็นงานที่ถนัดไปเป็น รมว.แรงงาน คือ “ส.ตัวอ้วน” หรือ “เดอะปุ้ม” นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ความจริงออกจากพรรคเพื่อไทยเพื่อไปช่วยงาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์มาพักใหญ่ก่อนที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะเรียกมาใช้งาน

ว่ากันว่า “ส.ตัวอ้วน” คนนี้คือมือประสานกองทัพแทนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และทำตามคำขอของ “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ไม่ต้องการเห็นคนชื่อเดียวกัน “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีสายเสื้อแดง จนคนเสื้อแดงออกมาฮึ่มใส่ “ส.ตัวอ้วน” มาครั้งใหญ่

นอกจากนี้ นายสุรนันทน์ยังได้รับมอบหมายงานสำคัญอย่างการไปนั่งหัวโต๊ะประชุมหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพ หลายครั้ง นอกจากนี้ นายสุรนันทน์ยังเป็นผู้มีบทบาทหลักในการประสานงานลดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มหมอชนบท กับ นพ.ประดิษฐ สินธณวรงค์ รมว.สาธารณสุข ซึ่งเป็น “เด็ก” ในสายนายกฯ หญิงคนนี้เช่นกันจนเกิดเวทีเจรจาลดโทนร้อนการเมืองในช่วงนั้นลงได้สำเร็จ

นพ.ประดิษฐ สินธณวรงค์ นี้ เป็นสายแข็งคนหนึ่งที่ปัจจุบันกำลังทำงานใหญ่ให้ตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะการเข้ามาผ่าตัดโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุข และการรวบอำนาจองค์กรตระกูล ส. กลับสู่อุ้งมือกระทรวงสาธารณสุข และปั้นให้ประเทศเป็น 'เมดิคัลฮับ’ ด้านสุขภาพนานาชาติต่อไป

ฉาวหนัก-บริหารมั่วประเทศชาติมุ่งสู่ภาวะวิกฤต

อย่างไรก็ดี แม้จะมีคนของตัวเองอยู่รอบตัว แต่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เองก็มีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ในการบริหารงานที่ค่อนข้างเป็นลบ เข้าทำนอง “ฉาว” มากกว่า “เจ๋ง”

เริ่มตั้งแต่เรื่องส่วนตัว

การพูดผิดๆ ถูกๆ ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ถูกนำมาพูดถึง และถูกโจมตีทางการเมืองอย่างหนักมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดหาดใหญ่, คอ นก รีต, หญ้าแฝกพูดเป็นหญ้าแพรก, ประเทศซิดนีย์, thank you 3 time, นครรัฐอิตาลี,ล่าสุดก็มีคลิปที่นายกฯ ไปพูดแก้ปัญหาภาคใต้ ที่ต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลังคอยกระซิบว่าพูดผิดตลอดเวลาออกมาซึ่งทำลายภาพลักษณ์นายกฯ หญิงของประเทศไทยคนนี้อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่อง “โฟร์ซีซั่นส์” กับ เศรษฐา ทวีสิน ที่นายเอกยุทธ อัญชันบุตร เผอิญไปเจอ และตั้งข้อสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้นบางประการเกิดขึ้นในการพบปะกันนั้น ว่ากันว่า เพราะนายเอกยุทธจ้างปาปาราซซีตาม “ยิ่งลักษณ์-เศรษฐา” ที่มัลดีฟส์ และได้ข้อมูลลับมาบางอย่าง จึงเป็นเหตุให้นายเอกยุทธถูกอุ้มฆ่าและต้องตายอย่างอนาถในที่สุด

ขณะที่การบริหารประเทศที่ผิดพลาด ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องการกู้เงิน 2 ล้านล้านที่จะสร้างหนี้ให้คนไทยนานกว่า 50 ปี ขณะเดียวกันเป็นที่รู้กันว่าการศึกษาหรือรายละเอียดของการจัดทำโครงการโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เป็นงบก้อนใหญ่ที่สุดในเวลานี้ ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน หรือที่ผ่านมายังมีการจ้างนักวิชาการให้ศึกษาโดยเปลี่ยนผลการศึกษาเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ ให้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าเส้นทาง กทม.-หนองคาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว กทม.-หนองคาย มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่น่าจะลงทุนมากกว่า

อีกทั้งยังมีกระแสการทุจริตอยู่เป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่มี “วิป วิญญรัตน์” ลูกชาย “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ที่ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับหนังสือพิมพ์มติชนว่า รู้สึกท้าทายทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านดังกล่าว แต่กลับได้เป็นที่ปรึกษารับงานวิจัย “รถไฟความเร็วสูง” ดังกล่าว

แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยอมรับว่า

“มาเรียนรู้ใหม่หมดเลย ซึ่งก็สนุกดี เป็นชีวิตอีกโลกหนึ่งที่ไม่ได้เรียนมาไม่ได้โตมา ก็เปิดโลกดีครับ” วิป วิญญรัตน์ ให้สัมภาษณ์กับมติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2556

ขณะที่เรื่อง “ฉาว” ที่หยุดไม่อยู่มากที่สุด คือโครงการรับจำนำข้าวที่ขณะนี้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติไปแล้วด้วยผลขาดทุนของโครงการ ในโครงการรับจำนำข้าว 3 ฤดูการผลิต คือฤดูการผลิตปี 54/55 ฤดูการผลิตปี 55 และฤดูการผลิตปี 55/56 คือมีความเสียหายไปแล้วกว่า 2.2 แสนล้านบาท และล่าสุด นายสมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ ประเมินว่า หากรัฐบาลไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายรับจำนำข้าว การใช้เงินโครงการนี้จะอยู่ในระดับสูงมาก โดยจากการตรวจสอบกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ล่าสุด พบว่าโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2554 มีการใช้เงินในโครงการไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 6.7 แสนล้านบาท หากนโยบายนี้ยังถูกใช้ในปีต่อๆ ไป จะต้องใช้เงินปีละประมาณ 3 แสนล้านบาท และหากบริหารไปอีก 2 ปี คาดว่าจะต้องใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวมากกว่า 1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

โดยการแฉของข้าราชการน้ำดีอย่าง นางสุภา รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่นอกจากขาดทุน นางสุภายังยอมรับว่า การรับจำนำข้าวทุกเมล็ด เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจดทะเบียนเกษตรกร ที่แจ้งตัวเลขเกินความจริง โดยการสุ่มตรวจได้เพียงร้อยละ10 เนื่องจากขาดกำลังคน รวมทั้งมีการนำข้าวเปลือกมาเวียนในโครงการ เพราะขั้นตอนการสีแปรข้าว ต้องเก็บที่โรงสีประมาณ 50 วัน เพราะข้าวมีจำนวนมากเกินความสามารถในการสีแปรของโรงสี จึงมีมติให้รับข้าวได้ 50 เท่าของความสามารถของโรงสี ขณะที่ตัวเลขข้าวค้างสต๊อกของรัฐบาลก็ไม่ใช่ตัวเลขที่แท้จริงของกระทรวงพาณิชย์ที่ปิดเป็นความลับ

ปัญหาการรับจำนำข้าวนี้ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ออกมาพูดด้วยว่า เป็นอีกเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าผิด แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัย คือ โครงการรับจำนำข้าว เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (5) ที่บัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐว่า นโยบายที่รัฐกำหนดขึ้นต้องให้มีการแข่งขันเสรีเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด ตัดตอน แต่โครงการรับจำนำข้าวที่ทำกันอยู่ถือว่ารัฐตัดตอนเสียเอง เพราะแท้จริงแล้วไม่ใช่การรับจำนำ แต่เป็นการรับซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนา กลายเป็นโรงสีของรัฐเท่านั้นที่มีสิทธิได้ซื้อ แต่โรงสีเอกชนบางรายจะไม่ได้สิทธิรับซื้อ ขัดกับหลักของการรับจำนำ เพราะการจำนำคือ การเอาทรัพย์ไปประกันหนี้กับเจ้าหนี้ เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องมีการไถ่ถอนหรือมีการต่อรอง แต่นี่กลับเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อทั้งหมด ถือเป็นการโกหกตั้งแต่ต้นอีกด้วย

เรื่องจำนำข้าวนี้ นอกจากจะมีปัญหาในตัวมันเองแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาความรู้สึกได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างไม่ยุติธรรมกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชอื่นๆ อย่าง ยางพารา ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์พูดว่ายางได้ช่วยเหลือไปเยอะแล้ว และจะไม่ช่วยเหลืออีก ขณะเดียวกันก็มีการอนุมัติเงินให้โครงการรับจำนำข้าวรอบใหม่อีก 2 แสนล้านในช่วงเดียวกัน ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยาง รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่น และมีราคาตกต่ำเป็นอย่างมาก ทำให้ม็อบเกษตรกรจะไม่หยุดแค่ม็อบยางพารา แต่จะตามมาด้วยม็อบปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ

ขณะที่โครงการประชานิยม อย่าง “รถคันแรก” ก็โดนกระหน่ำจากภาคสังคมตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นที่มองว่าเป็นนโยบายที่ขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับนโยบายประหยัดพลังงาน ล่าสุด สำนักข่าวต่างประเทศอย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ก็ได้อ้างผลวิจัยของไอเอชเอส โกลบอล ออโตโมทีฟ ผู้วิจัยข้อมูลเพื่อองค์กรธุรกิจ พบว่า ในจำนวนผู้เข้าใช้สิทธิ์ขอคืนภาษีโครงการรถคันแรก 1.2 ล้านคน มีถึงร้อยละ 10 แล้วที่ขอสละสิทธิ์ หรือไม่ก็สามารถผ่อนต่อไปได้

ขณะเดียวกัน เหล่าผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดท้องถิ่นถึงร้อยละ 80 ก็บอกว่ามียอดขายเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2013 ลดลงถึงร้อยละ 30 โครงการนี้ทำให้ธนาคารโลกประมาณการว่าไทยต้องสูญเสียงบประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (78,000 ล้านบาท)

อีกทั้งรอยเตอร์ยังระบุถึงความเป็นห่วงของนักลงทุนกับประเทศไทยที่มีหนี้ครัวเรือนเทียบเท่าเกือบร้อยละ 80 ของจีดีพี ที่เป็นตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย

ตัวเลขที่สะท้อนออกมาว่า ถึงแม้รัฐบาลจะเลือกวิธีช่วยเหลืออุตสาหกรรมรถยนต์ผ่านโครงการรถคันแรก แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถกระตุ้นได้ประสบความสำเร็จมากนัก เหตุคือการบริโภคภายในประเทศลดน้อยถอยลงอย่างมากจากหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก และจากค่าครองชีพที่ทำให้ประชาชนกระอักอยู่ในเวลานี้

เคยกินข้าวจานละ 25 บาท เดี๋ยวนี้ 50 บาทอย่างถูก แบบที่ไม่ได้เรียกว่าคิดไปเองตามอย่างที่ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์แถลงไว้แต่อย่างใด

ค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นี้ บวกกับปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงมาก จึงส่งผลให้ประชาชนต้องตกอยู่ในภาวะเดือดร้อนกันถ้วนทั่ว แถมรัฐบาลยังเดินหน้าขึ้นราคาค่าแก๊ส LPG ขึ้นค่าไฟ และขึ้นค่าทางด่วนในวันที่ 1 กันยายน สดๆ ร้อนๆ ก็ยิ่งทับถมปัญหาความเดือดร้อนของภาคประชาชนมากขึ้นไปอีก

ดังนั้นวันใดที่หนี้สาธารณะประเทศคุมไม่ได้ หรือวันใดที่ประเทศไทยเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหนัก ตัวเลขส่งออกก็ตกต่ำลงทุกวัน ขณะที่ภาคประชาชนไม่สามารถพึ่งตัวเองได้เลย

วันนั้นจะเป็นวันที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นรัฐบาลที่บริหารงานให้ประเทศชาติล้มเหลวที่สุด!

กำลังโหลดความคิดเห็น