ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ใกล้สะดุดขาตัวหลายฝ่ายฟันธง 3 เรื่อง “น้ำ ข้าว เงินกู้ 2 ล้านล.” จะทำให้รัฐบาลถึงทางตัน สะดุดขาตัวเองล้มได้ง่ายๆ ปชป.เชื่อพ.ย.นี้รัฐบาลเตรียมรับมือม๊อบชาวนาชุดใหญ่ ขณะที่แหล่งข่าวความมั่นคงชี้มีงานวิจัยของ ม.ฮาร์วาร์ด ยอมรับรัฐประหารหากนักการเมืองที่เลือกตั้งมา มีการบริหารราชการแบบเผด็จการ มีการบริหารงานผิดพลาดแบบ Failed government แต่หน้าด้านไม่ยอมลาออก-ยุบสภา ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปในประเทศกำลังพัฒนา แต่เวลานี้ประเทศไทยคงไว้ใจทหารยาก เผยทหารสมยอมการเมืองเหตุถูกแบล็กเมล์เปิดโปงทุจริตที่ซุกไว้ ขณะที่ ปชป.คาด 1 ส.ค.เปิดประชุมสภา การเมืองร้อน!
มีคนกล่าวว่าวิธีการล้มระบอบทักษิณที่ดีที่สุดรอให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะสะดุดขาตัวเอง จากนโยบายและวิธีการบริหารจัดการที่ “เสี่ยง” ต่อความเสียหายต่อประเทศชาติในทุกด้าน อะไรคือปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้น และบัดนี้ใกล้ถึงจุดที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใกล้สะดุดขาตัวเองหรือยัง?
นพ.วรงค์ชี้ “พ.ย.”-ลดราคาจำนำข้าว-ม็อบชาวนาพรึบ
นพ.วรงค์ เดชวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้ามองว่าปัจจัยอะไรที่จะทำให้รัฐบาลสั่นคลอนนั้น ในสายตาทางการเมืองแล้ว เชื่อมั่นว่าการบริหารจัดการโครงการประชานิยมอย่างโครงการรับจำนำข้าวจะเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนลงได้ โดยครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเจอปัญหาใหญ่จากเรื่องนโยบาย เพราะที่ผ่านมานั้นจะเจอแต่เรื่องของความขัดแย้งภายใน
อย่างไรก็ดี เมื่อผ่านการบริหารนโยบายรับจำนำราคาข้าวไปแล้ว 1 ปี 10 เดือน ก็เห็นว่ารัฐบาลบริหารผิดพลาด และจะไปต่อได้ยาก โดยเฉพาะการประกาศลดราคารับจำนำข้าวจาก 15,000 บาท เหลือ 12,000 บาท แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็ต้องยกเลิกการลดราคาจำนำดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเริ่มเมาหมัดตัวเอง และเป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลมีปัญหาฐานะการเงินการคลังอย่างรุนแรง ทั้งนี้ มองว่าในช่วงเวลา 1 ตุลาคม 2556 นี้ รัฐบาลจะมีการปรับลดราคาจำนำอีก และจะมีปัญหามากที่สุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป เนื่องจากเป็นระยะที่ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าว และขณะนี้รัฐบาลก็เริ่มโยนหินถามทางมาแล้วว่าช่วงดังกล่าวจะมีการลดราคาจำนำข้าวในช่วงข้าวฤดูกาล 56/57 ข้าวเปลือกเจ้าจะอยู่ที่ราคา 13,500 บาทต่อตัน
ระยะนี้จะเป็นระยะร้อนที่สุดของรัฐบาล เพราะถ้าประกาศลดราคาจำนำ ชาวนาที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวจะออกมาก่อม็อบให้มีการรับจำนำข้าวในราคา 15,000 บาทแน่นอน และครั้งนี้เนื่องจากเคยทำสำเร็จมาแล้ว ชาวนาหลายกลุ่มก็จะออกมาเดินขบวนมากขึ้น
ถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหา หรือแก้ปัญหาไม่ได้ นั่นก็หมายความว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เข้าโครงการกว่า 1.5 แสนครัวเรือนย่อมเป็นกลุ่มที่จะสั่นสะเทือนรัฐบาลเป็นกลุ่มแรก
ขณะที่เรื่องร้อนอื่นๆ ที่สั่นคลอนรัฐบาลได้เช่นกัน นพ.วรงค์เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการทุจริตนั้น จะเป็นอีกเรื่องที่ทำให้รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์สะดุดขาตัวเองได้เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องจำนำข้าว และเรื่องของโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่ส่อแววทุจริตประพฤติมิชอบ
“รัฐบาลดิ้นไม่หลุดแน่ เพราะข้อมูลที่ถูกเปิดเผยต่อสังคมจะมีมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตทุกขั้นตอน”
เรื่องร้อนต่อมาคือเรื่องการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีคนจำนวนไม่น้อยรับไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแฉเรื่องคลิปฉาวระหว่างผู้มีอำนาจสายทหาร กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในลักษณะของการต่อรองผลประโยชน์ออกมา เชื่อว่าเมื่อไรก็ตามที่รัฐบาล หรือ ทหาร มีการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย เหมะ ที่ให้ช่วยเฉพาะประชาชนไม่ช่วยแกนนำ หรือฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ให้นิรโทษกรรมทั้งหมดรวมแกนนำของทุกฝ่าย ประชาชนที่อยู่กลางๆ จะไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่ากฎหมายซึ่งเป็นเสาหลักหนึ่งของบ้านเมืองกำลังถูกทำลาย ซึ่งจุดนี้จะเสริมอำนาจของกลุ่มหน้ากากขาวที่เคลื่อนไหวทุกสัปดาห์อยู่ ณ เวลานี้ให้มีพลังมากขึ้น
ในประเด็นนี้ ถ้ามองว่าการต่อรองของทหารและ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นทำให้เกิดความไม่พอใจของกลุ่มคนเสื้อแดงรากหญ้าเพิ่มมากขึ้นหรือไม่นั้น โดยส่วนตัวแล้วยังมองว่า อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่เนื่องจากคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่ม ความขัดแย้งกันเองของคนเสื้อแดงแต่ละกลุ่มจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า และเป็นอีกเรื่องร้อนหนึ่งของรัฐบาลที่จะต้องเจอในไม่ช้านี้
ประเด็นที่ 5 ที่ นพ.วรงค์ชี้ว่าจะเป็นปัญหากับรัฐบาลอีกเรื่องหนึ่งคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมพรรคเพื่อไทยแล้วว่าจะผลักดันให้มีการเดินหน้าพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าทางพรรคเพื่อไทยจะเสนอทันทีหรือไม่ หรือจะนำเรื่องการพิจารณางบประมาณเข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ก่อน
ทั้งนี้ มองว่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญยืนยันแล้วว่ามีอำนาจที่จะวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายนิติบัญญัติได้ ดังนั้น มองว่าถ้ารัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อไร ก็จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้สนใจที่จะขัดกับศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ดังนั้นประเด็นนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นชนวนความขัดแย้งรุนแรง เพราะจะมีประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน-สนับสนุน
ทหารบ้อท่า-3 เรื่องล้มรัฐบาลแน่
ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงเปิดเผยว่า เรื่องที่จะทำให้รัฐบาลสั่นสะเทือนได้ในเวลานี้ประเมินว่ามี 3 เรื่อง คือเรื่องโครงการรับจำนำข้าว การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน และโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพราะเป็นเรื่องใหญ่ และมีภาพการทุจริตเกิดขึ้นอย่างมาก ไม่เหมือนกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังสามารถเดินเกมชะลอในช่วงที่การเมืองร้อนแรงได้ แต่เรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้นตอนนี้มีการรับรู้กันไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ต่างประเทศก็ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวอย่างมาก
ถือว่าเวลานี้รัฐถึงแม้ไม่ได้เป็น Failed state ก็เป็น Failed government เพราะถ้าดูให้ดีนโยบายต่างๆ ที่หาเสียงไว้ ล้วนแต่ทำไปแล้วล้มเหลวแทบทั้งสิ้น อีกทั้งตามระเบียบแล้วจะต้องมีการแถลงผลงานต่อรัฐสภาเมื่อรัฐบาลบริหารประเทศครบ 1 ปี แต่ตอนนี้ใกล้จะ 2 ปีแล้วก็ยังไม่มีการแถลงผลงาน เพราะรู้ดีว่าการบริหารผิดพลาดจึงไม่กล้าที่จะแถลงผลงานใช่หรือไม่
“มันเกิดประเด็นขึ้นว่า เมื่อคนรู้แล้วว่ารัฐบาลบริหารผิดพลาด แต่รัฐบาลไม่สนใจ เหมือนคนหน้าด้าน ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ทั้งๆ ที่มีคนต่อต้านมากขึ้น ก็กลายเป็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นลักษณะตื๊อกันอยู่อย่างนี้ แล้วจะทำอย่างไร”
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าวว่า ขณะนี้ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีบทความการศึกษาชิ้นหนึ่งออกมาที่น่าสนใจมาก เรื่อง The Democratic Coup d'e'tat โดย Ozan O. Varol (2012) เขียนถึงว่าหากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มีการบริหารประเทศแบบเผด็จการ ซึ่งเป็นโมเดลที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศมาก ควรจะมีทางออกอย่างไร ซึ่งบทความการศึกษานี้เสนอว่า ทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ทหารควรที่จะเข้ามาทำการรัฐประหารหากเกิดกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากทำรัฐประหาร หรือปฏิวัติก็ทำได้ทันที จะต้องมีปัจจัยสำคัญคือรัฐบาลมีท่าทีที่เป็นเผด็จการชัดเจน ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ เดือดร้อน และประชาชนเห็นด้วยกับการยึดอำนาจบริหารคืน ซึ่งเป็นโมเดลที่เป็นทางออกสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังเกิดปัญหารัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้ง มีความเป็นเผด็จการ มีการบริหารผิดพลาด แต่ก็ไม่ยอมออกจากตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี เมื่อมีคลิปฉาวที่เป็นเรื่องการต่อรองผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลกับทหารเกิดขึ้น ตอนนี้ประชาชนก็ยากที่จะไว้ใจทหารแล้ว
“ตอนนี้มันไม่ใช่แค่คลิป หรือแค่คนพูดกันว่ามีทหารชั้นผู้ใหญ่ที่คุมอำนาจการรบหลงเสน่ห์สตรีที่เป็นผู้นำเท่านั้น แต่เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการแบล็กเมล์นายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพราะมีแผลที่อาจมีการทุจริตในบางเรื่อง จึงต้องเล่นบทภาวะสมยอม หรือไม่ก็คือสมยอมเพราะต้องการตำแหน่งทางการเมืองเมื่อตัวเองเกษียณอายุราชการ หรือไม่ก็ทั้งสอง”
ดังนั้น เมื่อประชาชนยากที่จะไว้ใจทหาร ทางออกของประเทศก็อยู่ในภาวะตีบตัน?
จับตากระบวนการยุติธรรมล้างบางทักษิณ
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าวว่า ให้จับตากระบวนการยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมจะเป็นกระบวนการเดียวที่เหลืออยู่ที่จะต่อต้านรัฐบาลเผด็จการได้ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง และศาลฎีกา
และการต่อสู้ทางการเมืองต่อจากนี้ไป การต่อสู้ในชั้นศาลจะยิ่งเข้มข้น!
เหมือนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวกับสื่อมวลชนในการเข้าร่วมการประชุม ครม.สัญจรครั้งล่าสุดที่ว่า หลังจากเปิดประชุมสภาฯ ในเดือนสิงหาคมนี้การเมืองจะร้อนแรงอย่างยิ่ง
และพรรคเพื่อไทยต้องระวังที่สุดคือ “องค์กรอิสระ”
“ต้องระวังองค์กรอิสระใน 3 เรื่อง คือ เรื่องน้ำ เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และเรื่องข้าว ตอนนี้ศาลปกครองมาแล้วเรื่องน้ำ ยังมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ารัฐบาลรอดได้จะยาว แต่จะรอดหรือไม่ผมก็สวดมนต์ไหว้พระให้ตลอด” นายเฉลิมกล่าว
อีกปัญหาที่รัฐบาลคงมองข้ามไม่ได้ คือขณะนี้องค์กรภาคธุรกิจเองก็ออกมาต่อต้านโครงการประชานิยมที่ทำลายมากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยอีกองค์กร เสริมทัพด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ในการบริหารเศรษฐกิจ รัฐบาลควรเร่งแก้ไข 1. นโยบายประชานิยม 2. การป้องปรามคอร์รัปชัน 3. การคุ้มครองข้าราชการซึ่งหากไม่เลิกประเทศชาติจะหายนะอย่างมาก
ตอนนี้หากรัฐบาลยังคิดว่าตัวเองเป็นรัฐบาลที่มั่นคง เวลานี้ก็ถือว่ารัฐบาลประมาทอย่างมากแล้ว!