ผศ.นพ.นิพัญจน์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เตือน-ธุรกิจหลอกลวงสเต็มเซลล์มากขึ้นเรื่อยๆ อยากที่จะทำให้คนไทยมีความรู้เรื่องสเต็มเซลล์ที่ถูกต้อง เพื่อไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของนักธุรกิจเสื้อกาวน์ได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันเป็นการพัฒนาวิธีการรักษาโรคใหม่จากเทคโนโลยีสเต็มเซลล์มีความเป็นไปได้จริงแต่ยังไม่ใช่ในปัจจุบัน ที่มีข่าวใช้กันแพร่หลายในสังคมไทยตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นใช้ต้านวัยชรา ใช้เสริมความงาม ไปจนถึงรักษาโรคเรื้อรังที่ไม่มีทางหายเช่น อัมพาตร ไตวาย สมองเสื่อม นั้นเป็นการเกาะกระแสความดังระดับโลกของงานวิจัยสเต็มเซลล์ในหลอดทดลองซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วใน 10 ปีที่ผ่านมา นำมาหาผลประโยชน์ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลหรือแม้แต่หลักการทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน นำมาหลอกลวงขายในราคาแพงมากทั้งที่บางครั้งอาจเป็นเพียงการฉีดน้ำเปล่าหรือเซลล์ที่ไม่ใช่สเต็มเซลล์ มีการให้ข้อมูลต่อคนไข้ที่ไม่ถูกต้อง และไม่แจ้งถึงผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้เกิดความเชื่อผิดๆว่าสเต็มเซลล์เป็นเซลล์วิเศษเป็นโรคอะไรฉีดเข้าไปก็รักษาได้
จริงๆแล้ว สเต้มเซลล์มีหลายชนิดแต่ละชนิดมีคุณสมบัติไม่แหมือนกัน สำหรับวงการแพทย์ทั่วโลกการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ที่เป็นการรักษาที่ได้รับการยอมรับว่าได้ผลจริงในปัจจุบันนับแค่การใช้สเต็มเซลล์จากระบบเลือดรักษาโรคเลือดต่างๆ เท่านั้น การใช้สเต็มเซลล์โรคเช่นข้อเข่าเสื่อม-กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด—เชื่อมกระดูกยังเป็นระดับการทดลอง มีที่ได้ผลเล็กน้อยบ้างแต่ยังไม่ได้ผลน่าพอใจจนเป็นการรักษามาตรฐาน ส่วนอื่นๆเช่นโรคสมอง ฉีดรกแกะ ชะลอความแก่ ลดความเหี่ยวย่น กล่าวได้ว่ายังไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือแม้ในระดับสัตว์ทดลอง
Stem cell “สเต็มเซลล์” แสงสว่างของผู้ป่วยที่แฝงด้วยมุมมืด!
กว่า 10 ปีมาแล้วที่ชื่อของ “สเต็มเซลล์” ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันอย่างมากในวงการแพทย์ถึงนวัตกรรมการรักษาที่ก้าวหน้า และในหมู่ประชาชนเอง “สเต็มเซลล์” ก็กลายเป็น “ความหวัง” สำคัญสำหรับผู้ที่กำลังประสบภาวะโรคร้ายแรง รักษาไม่หายขาด รวมทั้งครอบครัวของผู้ป่วยเหล่านั้น จนกระทั่งแพทยสภาประกาศว่าการใช้สเต็มเซลล์ในประเทศไทยยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายเมื่อหลายปีก่อน หลายคนรู้สึกว่าแพทยสภาล้าหลัง ไม่ยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งๆ ที่มีความหวัง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะเรื่อง “สเต็มเซลล์” ยังไม่ได้มีผลวิจัยที่ระบุอย่างชัดเจนว่าปลอดภัยต่อผู้ป่วย แต่ธุรกิจทางการแพทย์ต่างๆ ได้เตรียมจับจ้องเอาชื่อของ “สเต็มเซลล์” หารายได้กันอย่างไม่แคร์จริยธรรมเป็นดอกเห็ด
ปัจจุบัน ผศ.นพ.นิพัญจน์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสเต็มเซลล์ (Stem Cell and Cell Therapy Research Unit) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย!
ผศ.นพ.นิพัญจน์เล่าว่า สเต็มเซลล์ในประเทศไทยเวลานี้หากหมายถึงเรื่องนวัตกรรมทางการแพทย์แล้ว สเต็มเซลล์ก็เป็นความหวังสำคัญสำหรับแพทย์ และผู้ป่วย ในการรักษาโรคร้ายต่างๆ มากมาย แต่ก็ต้องเข้าใจว่าขณะนี้การใช้สเต็มเซลล์มารักษาทางการแพทย์ในประเทศไทย และแม้แต่ในต่างประเทศเองนั้น มีการรับรองการใช้แค่รักษาโรคที่เกี่ยวกับโรคเลือดต่างๆ เพราะผ่านการวิจัยมาแล้วว่าปลอดภัยพอสำหรับมนุษย์ แต่การนำสเต็มเซลล์มารักษาโรคอื่นนั้น ยังเป็นเพียงการอยู่ในขั้นตอนของการทดลอง หรือการทำวิจัยเท่านั้น
หมอนิพัญจน์ยืนยันว่าไม่มีโรงพยาบาลใดทั้งรัฐบาล และเอกชนที่ได้รับการรับรองการรักษาโรคต่างๆ ที่ไม่ใช่โรคเลือดเลยแม้แต่โรงพยาบาลเดียว
ดังนั้น ที่เห็นโฆษณาว่า รพ.นี้มีการใช้สเต็มเซลล์ หรือบางแห่งเลี่ยงบาลีด้วยการใช้คำว่า เซลล์บำบัด มารักษาคนไข้ได้ เห็นผลอย่างนั้นอย่างนี้ ถือว่าเป็นการโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวง!
ถึงวันนี้คนไข้ทุกคนต้องรู้ตัวว่ากำลังถูกหลอก เพราะทุกโรงพยาบาลนำสเต็มเซลล์มารักษาได้เฉพาะในขั้นตอนของการทดลองวิจัย ซึ่งมีความเสี่ยงต่อชีวิต ดังนั้นหากแพทย์โรงพยาบาลไหนรักษาคนไข้ด้วยสเต็มเซลล์ในเวลานี้ จึงไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากคนไข้ได้ เพราะเป็นเพียงการทดลอง แพทย์โรงพยาบาลไหนเรียกเก็บเงินการรักษา จึงถือว่าทำผิดวินัยทางการแพทย์!
Cell Therapy จริงหรือหลอก?
อย่างไรก็ดี หลายๆ ประเทศมีการใช้ “ความเชื่อ” ในการรักษาพยาบาลมาอย่างยาวนานด้วย โดยเฉพาะกรณีการรักษาที่เรียกว่า Cell Therapy หรือเซลล์ซ่อมแซมรักษา
ผศ.นพ.นิพัญจน์อธิบายว่า Cell Therapy หรือการใช้เซลล์เพื่อรักษาโรคนั้นมีทั้งส่วนที่เป็นศาสตร์จริงที่กำลังมีการศึกษาพัฒนา เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งเป็นการรักษามาตรฐานในปัจจุบัน การใช้เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง การใช้ mesenchymal stem cell จากไขกระดูกเพื่อรักษาภาวะภูมิต้านทานจากเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่าย ที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ยอมรับแต่ยังอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อทดสอบพัฒนาประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็มีการใช้คำว่า cell therapy ในสิ่งที่ที่อาจไม่ตรงกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แต่มาจากความเชื่อ เช่นเชื่อว่าร่างกายเซลล์ชนิดใดเสียก็ฉีดเซลล์ชนิดนั้นเข้าไป ทั้งๆที่ในทางวิทยาศาสตร์เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าต่อให้มีเซลล์ชนิดที่ต้องการ การจะนำไปปลูกถ่ายให้เซลล์เชื่อมกับเซลล์ร่างกายโดยสมบูรณ์ มีการทำงาน และอยู่ในร่างกายอย่างยาวนานเป็นไปได้ยากมาก การฉีดเข้าเลือดหรือแม้แต่ฉีดเข้าอวัยวะส่วนใหญ่เซลล์ที่ฉีดจะหายไปจากร่างกายใน 24 ชั่วโมง ในส่วนที่เป็นความเชื่อนี้มีไปจนถึงการฉีดเซลล์สัตว์ ซึ่งในทางการแพทย์การฉีดเซลล์สัตว์มีโอกาสเกิดอันตรายได้หลายๆอย่าง มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต ทำให้หลายๆประเทศรวมทั้งไทยห้ามการฉีดเซลล์สัตว์เข้าในร่างกายมนุษย์
“Cell Therapy ที่ทำตามความเชื่อ มีมานานแล้ว เกือบ 100 ปี แต่ถามว่าพิสูจน์ในวงการรักษาหรือยัง ตรงนี้ ไม่มีพื้นฐานทางวิชาการรองรับ แต่บางประเทศก็เอาเรื่องนี้ออกยาก เพราะอยู่ในวงการมานานแล้ว เช่นบางประเทศในยุโรปแต่อย่าลืมว่าหมอมีหน้าที่พัฒนาความรู้มารักษาคน ถ้าองค์ความรู้เดิมดี แน่นอนว่าหมอจะต้องลงไปศึกษาแล้วหาทางว่าจะเอามารักษาอย่างไร ต้องถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางแล้ว แต่ ที่รักษากันมาเป็น 100 ปี ก็ยังไม่มีข้อสรุป โอกาสที่จะเป็นจริงมันก็ต่ำมาก”
พอมาถึงเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีการนำเซลล์กระดูกมารักษาโรคเลือดจริงๆ บางคนก็เลยเรียกว่า Cell Therapy ด้วย ที่รักษาโรคเลือดบางประเภทได้ ไขกระดูกเสื่อม ไขกระดูกฝ่อ โรคพันธุกรรมของระบบเลือดอันนี้รักษาแล้วหายจริงได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกโรคที่เกี่ยวกับเลือดจะได้ผลดีกับทุกคนหมด ต้องหาไขกระดูกที่เข้ากันได้ ขึ้นอยู่กับการรักษาแบบเคสต่อเคสด้วย เช่น ธาลัสซีเมียนั้น การปลูกถ่ายเซลล์ในเด็กจะได้ผลดีกว่าผู้สูงอายุ และมีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน เพราะการรักษาไขกระดูกจะต้องมีการให้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้สูงอายุก็จะหาไขกระดูกที่เข้ากันได้ยากกว่าเด็กด้วย ซึ่งธาลัสซีเมียในขณะนี้รักษาด้วยยาจะได้ผลดีกว่า
สำหรับโรคกลุ่มมะเร็งในเลือดหรือมะเร็งอวัยวะอื่น เป้าหมายไม่ใช่ว่าเราจะใช้เซลล์ที่ฉีดเข้าไปไปฆ่ามะเร็ง แต่เราจะใช้ยาที่รุนแรงเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งซึ่งก็จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดในร่างกายไปด้วย จึงจะต้องปลูกระบบเลือดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่จะใช้เซลล์คนอื่นมากกว่าเซลล์ของตัวเอง แต่ต้องเป็นเซลล์ที่เข้ากันได้ เพราะกลัวว่าเซลล์ของตัวเองจะมีเชื้อมะเร็งอยู่ในเลือดก็จะกลับมาเป็นมะเร็งใหม่
จุดนี้มาถึงกรณีความเชื่อที่สำคัญที่มีการทำธุรกิจเก็บเซลล์เลือด (Code Blood) ว่าแท้จริงแล้วจะนำมาใช้กับโรคอะไรได้บ้าง คำตอบคือถ้าหวังจะนำมาใช้กับตัวเองแทบไม่มีเลย ที่cord blood นำไปใช้ในโรคต่างๆ เกือบทั้งหมด เป็นการนำไปใช้รักษาผู้อื่นหรือญาติ โรคพันธุกรรมเช่น ธาลัสซีเมีย ย่อมไม่ใช้เพราะเซลล์เราก็มีความผิดปกติทางพันธุกรรมอยู่ดี โรคมะเร็งระบบเลือดก็กลัวว่าcord blood เราจะมีเซลล์มะเร็งอยู่
“ปัจจุบันเราเริ่มพบสเต็มเซลล์ในหลายอวัยวะ สเต็มเซลล์มาจากอวัยวะไหนก็จะเอามาใช้สร้างเซลล์ของอวัยวะนั้นได้ในหลอดทดลอง แต่การนำไปใช้รักษาอวัยวะนั้นๆยังต้องพัฒนาเป็นกรณีๆไป ที่สเต็มเซลล์เลือดใช้ปลูกถ่ายง่ายเพราะเมื่อฉีดเข้าเลือดจะวิ่งไปไขกระดูกเอง สเต็มเซลล์อวัยวะอื่นๆปลูกถ่ายยากกว่าเช่น สเต็มเซลล์สมองแม้ฉีดเข้าไปในสมองก็ยากที่จะกลายเป็นเซลล์ประสาทชนิดที่ต้องการที่บริเวณที่เหมาะสม และส่งรากประสาทไปเชื่อมกับเซล์ประสาทที่อยู่ในสมองและไขสันหลังอย่างถูกต้องต้องหาวิธีที่จะนำสเต็มเซลล์ไปใช้ในจุดที่เราต้องการใช้ได้จริงด้วย
“ยังเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าฉีดเซลล์เข้าไปแล้ว อวัยวะไหนที่บาดเจ็บ เซลล์จะวิ่งไปหาเองเสมอ มีคนใช้คำพูดที่สวยหรูว่า Stem Cell Homing เป็นความจริงครึ่งเดียว สเต็มเซลล์จากไขกระดูกบางชนิดมีการวิ่งไปอวัยวะที่บาดเจ็บจริง แต่เมื่อไปถึงแล้วทำอะไร ช่วยมากน้อยแค่ไหนยังเป็นที่ถกเถียงกันแต่ที่แน่ๆ สเต็มเซลล์จากเลือดและไขกระดูกหรือไขมันไม่กลายไปเป็นเซลล์สมองหรือเซลล์หัวใจแน่ ถ้าใช้สเต็มเซลล์ชนิดอื่นฉีดเข้าเส้นเลือดปรากฏการณ์ homing ไม่แน่ชัด จากข้อมูลในโดยทั่วไปในสัตว์ทดลองมักหายไปจากร่างกายใน 24-48 ชั่วโมง
4 ความเชื่อผิดๆ รักษาด้วย Cell Therapy
ผศ.นพ.นิพัญจน์บอกอีกว่า เดิมนั้นมีการเชื่อว่า Cell Therapy ด้วยการนำเซลล์มาฉีดเข้าไปในร่างกายแล้วจะบำบัดได้ทุกอย่าง ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เป็นความเชื่อที่ผิดและอันตรายมาก สิ่งที่พบในช่วงที่ผ่านมาในการรักษาด้วยสเต็มเซลล์มี 4 ประการที่อยากย้ำด้วยเป็นห่วง
ประการแรก ประเด็นสำคัญเป็นความเชื่อที่ผิดว่าถ้าเป็นเซลล์ตัวเองจะปลอดภัย ไม่จริงเพราะเซลล์เราเองถ้าฉีดไม่ดีก็ทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้ ถ้าเป็นเส้นเลือดสำคัญก็เกิด หลอดเลือดสมองตีบ ไตวาย อัมพาตร หรือเสียชีวิตได้ นอกจากนี้เนื่องจากเป็นเซลล์ของตัวเองระบบภูมิมองไม่เห็นถ้าเพาะเลี้ยงไม่ดีผิดปกติก็เกิดมะเร็งได้ ในทางตรงข้ามถ้าไม่ใช่เซลล์ของร่างกายเรา เป็นเซลล์ของคนอื่น ฉีดเข้าไปร่างกายเราต่อต้านแน่ เหมือนเวลาไปบริจาคเลือดก็ใช่ว่าจะใช้เลือดของใครก็ได้ ต้องทดลองว่าเข้ากับเลือดเราได้หรือไม่ เช่นเดียวกับอวัยวะ เราปลูกถ่ายอวัยวะเข้าไปในร่างกายเราก็ต้องใช้เซลล์ที่เข้ากันได้กับร่างกายเรา อย่างไรก็ตาม เมื่อเราฉีดเซลล์คนอื่นเข้าไป ร่างกายก็จะพยายามทำลายเซลล์ของคนอื่น ร่างกายเราก็จะหลั่งสารมากมายเพื่อไปทำลายเซลล์นั้น บางครั้งก็รุนแรงจนเกิดอันตรายได้
“บางทีคนก็รู้สึกซู่ซ่า แปล๊บๆ รู้สึกมันแรงตรงบริเวณที่ฉีดเซลล์เข้าไป มันตึง แต่ไม่ใช่ว่าดี หรือร่างกายออกปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว มันเป็นเพียงการหลั่งสารเพื่อไปทำลายเซลล์ที่เราฉีดเข้าไป เราจะเป็นหนุ่มเป็นสาวหน้าตึงเลยทำให้เกิดการอักเสบใต้ผิวหนัง อันนี้ต้องระวังบางทีอักเสบมากจนเสียโฉมก็มี”
ประการที่สอง การฉีดเซลล์สัตว์เข้าไป เช่น รกแกะ หรือตับอ่อนของเม่น ปรากฏว่าร่างกายเห็นว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจึงจดจำเซลล์เหล่านั้นหรือโปรตีนที่อยู่ในเซลล์เหล่านั้นไว้ แล้วเริ่มทำลายเซลล์ที่มีโปรตีนเหมือนกับเซลล์แปลกปลอม ซึ่งโปรตีนของมนุษย์ในหลายๆ เซลล์นั้นมีลักษณะคล้ายโปรตีนในเซลล์ของสัตว์ ดังนั้นจึงปรากฏพบว่าร่างกายของผู้ที่ฉีดสเต็มเซลล์ของสัตว์เข้าไปนั้น ร่างกายของมนุษย์ได้ผลิตสารทำลายเซลล์ของมนุษย์เองที่คล้ายกับเซลล์ของสัตว์ที่ฉีดเข้าไปด้วย ตรงนี้สามารถทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ตัวเอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และมีอันตรายถึงตายได้
ประการที่สาม เซลล์ที่ฉีดเข้าไปจะกลายเป็นเซลล์ชนิดที่ถูกต้องเองเมื่อไปอยู่ในอวัยวะเป้าหมาย ตามที่กล่าวมาแล้วสเต็มเซลล์มีหลายชนิดแต่ละชนิดมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน สร้างเซลล์คนละชนิดกัน เมื่อฉีดสเต็มเซลล์ชนิดที่ไม่เหมาะสมมีการพบว่าเซลล์ที่ฉีดเข้าไปกลายเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการ เช่นกลายเป็นกระดูกในสมอง หรือยังแบ่งตัวไม่ยอมหยุดจนกลายเป็นก้อนเนื้องอก
“เรื่องนี้ก็อย่าคิดว่าไม่มี เพราะในประเทศไทยเคยเกิดขึ้นแล้ว มีคลินิคที่นำสเต็มเซลล์จากเลือดผู้ป่วยไปเพาะแล้วฉีดเข้าไปที่ไตหวังรักษาไตวาย ปรากฎกลายเป็นเนื้องอกจนต้องตัดไตข้างนั้นไป
ประการที่สี่ เซลล์บางชนิดที่ฉีดเข้าไปหลั่งสารหลายอย่าง บางอย่างอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้ถ้าศึกษาต่อไปเพียงพอ แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลให้เห็นว่าสารบางอย่างอาจกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งที่มีอยู่ในร่างกายให้เจริญดีขึ้น และแพร่กระจาย กล่าวได้ว่าเป็นเซลล์พี่เลี้ยงของมะเร็ง การหลั่งสารของเซลล์เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมของเซลล์ทำให้ควบคุมได้ลำบาก
“ถามว่าเราต่อต้านไหม เราไม่ได้ต่อต้านความก้าวหน้าทางการแพทย์ เพราะเรื่องของสเต็มเซลล์ มีโอกาสที่จะพัฒนาไปรักษาโรคต่างๆ ได้มากมายจริง แต่ขณะนี้ในประเทศไทย หรือต่างประเทศเองนั้นมีการรับรองการฉีดสเต็มเซลล์เฉพาะเซลล์เลือด เพื่อรักษาโรคเลือดต่างๆที่เหลือส่วนมากผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ”
เพราะฉะนั้น โรงพยาบาลไหนที่มีการโฆษณาว่ามีความสามารถในการรักษาโรคต่างๆ ด้วยสเต็มเซลล์แล้ว จึงถือเป็นการหลอกลวง!
“โรงพยาบาลบางแห่งบอกว่าขณะนี้ใช้สเต็มเซลล์รักษาข้อกระดูกเสื่อมได้แล้ว พอบอกว่ารักษาได้ คนก็วิ่งไปหา สิ่งที่น่ากลัวคือผลประโยชน์มหาศาลที่มากับสิ่งเหล่านี้ทำให้ต้องระมัดระวังในการรับฟังข้อมูลว่าน่าเชื่อถือเพียงไร การวิจัยมีอคติหรือไม่ วิธีการรักษาเหมือนหรือต่างกับงานวิจัยที่มีมาก่อนอย่างไร ก่อนเชื่อควรฟังความคิดเห็นจากสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดีต้องระวังสมาคมที่เกิดขึ้นเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ
นอกจากสเต็มเซลล์เลือดแล้ว ยังมีสเต็มเซลล์จากร่างกายชนิดอื่นๆที่ในอนาคตอาจนำมาใช้ได้อีกมาก ตัวอย่าง เช่น mesenchymal stem cell (MSC) สามารถใช้สร้างกระดูก กระดูกอ่อน รวมทั้งมีคุณสมบัติปรับระบบภูมิคุ้มกัน หรือ สเต็มเซลล์ของหัวใจที่สร้างกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือดได้
“MSC ทั่วโลกก็ยังเป็นขั้นของการทดลองอยู่ เพราะยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ แต่คำถามคือเราทำได้ไหม โรงพยาบาลแพทย์มหาวิทยาลัยในไทยทำได้หมดแล้ว เพราะการเพาะเซลล์ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่เลย อย่างไรก็ดีแม้ MSC จะเปลี่ยนเป็นกระดูกอ่อนได้ในหลอดทดลอง ยังไม่แน่ว่าเมื่อฉีดเข้าข้อจะไม่กลายเป็นกระดูกแข็ง หรือเซลล์จะยึดติดกับเซลล์รอบข้างแล้วฟอร์มเป็นชิ้นเดียวกัน ในอนาคตมองแล้วมีทางที่โรคไขข้อกระดูกจะรักษาได้ แต่ต้องมีผลทางการศึกษารองรับก่อนดังนั้น ในแง่ของการวิจัย การทดลอง แพทย์จะเก็บเงินกับคนไข้ไม่ได้ มันไม่แฟร์”
เทคโนโลยีสเต็มเซลล์ใหม่
หัวหน้าหน่วยสเต็มเซลล์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกอีกว่า วิทยาการด้านสเต็มเซลล์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะนี้มีนักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้คิดค้นวิธีเปลี่ยนเซลล์เลือดหรือเซลล์ผิวหนังของผู้ป่วยให้กลายเป็นสเต็มเซลล์ที่ใช้สร้างเซลล์ทุกชนิดในร่างกายได้ และยังเป็นเซลล์ของผู้ป่วยเองทำให้ไม่มีปัญหาทางภูมิคุ้มกันเมื่อปลูกถ่าย ซึ่งเรียกว่า induced pluripotent stem cell(iPS) กำลังจะมีการศึกษาในผู้ป่วยในไม่ช้านี้ หากยืนยันการทดลองได้ว่าปลอดภัย ทางประเทศไทยโดยเฉพาะโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยรัฐก็มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในประเทศ เนื่องจากว่าในไทยก็มีการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีนี้อยู่จนประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยนั้นจำเป็นจะต้องอาศัยข้อมูลจากศูนย์วิจัยทางวิชาการที่มีทุนการวิจัยขนาดใหญ่กว่าในต่างประเทศ ซึ่ง โรคที่ทางญี่ปุ่นคาดว่าจะทดสอบเทคโนโลยีนี้ในผู้ป่วยในช่วง 5 ปีที่จะถึงนี้ได้แก่ โรคลานประสาทตาเสื่อม โรคพาห์กินสัน โรคตับในเด็กที่เป็นโรคพันธุกรรม และ โรคหัวใจ
เราต้องอาศัยการต่อยอดการวิจัยของญี่ปุ่นและอเมริกาเพราะรัฐบาลให้งบประมาณจำนวนมากในการทำวิจัย และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ถ้ารู้ผลเมื่อไร คนไทยก็เตรียม Transfer Technology ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่อันตรายในคนก็ทำได้ทันที เพราะมีความพร้อมหมดแล้ว และในขั้นตอนของงานวิชาการเราไปไกลถึงการตัดต่อยีนแก้ไขความผิดปกติในiPS cellsแล้ว”
โดยรวมอนาคตประเทศไทยจึงมีโอกาสใช้สเต็มเซลล์รักษาหลายโรค ทั้ง แผลเบาหวาน, หัวใจ, กระดูก, ผิวหนังไหม้, กระจกตา, กระดูกข้อเข่าเสื่อม ฯลฯ
“ถามว่าตอนนี้ประเทศไทยมีการทดลองสเต็มเซลล์ไหม คำตอบคือมี แต่การจะไปสู่บริการในผู้ป่วยทั่วไปต้องพิสูจน์ให้ดีพอก่อนว่ามีประสิทธิภาพ ปลอดภัยเพียงใด สำหรับที่ยังเป็นการทดลอง ที่สำคัญคือคนไข้ต้องไม่เสียตังค์ เพราะมันคือการทดลอง มันมีความเสี่ยงต่อชีวิตของเขาอยู่แล้ว”
ทุ่ม 1 ล้านบาทฉีดสเต็มเซลล์สุดช้ำ
เจอฉีดน้ำ-เสี่ยงมะเร็ง!
ปัจจุบันในเรื่องของสเต็มเซลล์ กลายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวงการแพทย์ และสุขภาพที่มีการโปรโมตในหลายๆแห่ง ทั้งโรงพยาบาลเอกชน รวมไปถึงสถานบริการด้านสุขภาพ ความงามขนาดใหญ่มากมาย เพียงแต่บางแห่งหลีกเลี่ยงใช้คำว่า “สเต็มเซลล์” และมีคำอื่นทดแทนเช่นเซลล์บำบัด เซลล์ซ่อมแซม นั้น ผศ.นพ.นิพัญจน์ บอกว่า ในข้อเท็จจริงธุรกิจเสริมความงามอาจจะไม่ได้ใช้เซลล์ฉีดอาจเพียงฉีดสารบางอย่างให้ผู้ป่วย เพราะความจริงแล้วสเต็มเซลล์ต้องได้รับการเพาะเลี้ยงอย่างดีในอุณหภูมิเหมาะสมมิเช่นนั้นจะตายหรือเสียคุณสมบัติ ไม่สามารถบรรจุใส่ขวดตามที่เห็นในโฆษณาได้ ดังนั้นที่ฉีดเป็นอะไรก็ไม่ทราบ อาจเป็นน้ำผสมสารบางอย่างซึ่งอาจอันตราย ทำให้เกิดแพ้หรือไปจนถึงเกิดมะเร็งได้ เป็นที่ทราบกันดีว่ามีสารหลายชนิดมีผลชั่วคราวที่เหมือนบำรุงผิวแต่ระยะยาวให้โทษ ทำให้ทางองค์กรอาหารและยาห้ามผลิตภัณฑ์เสริมความงามใช้คำว่าสเต็มเซลล์ในประเทศไทย สิ่งที่ขายกันในตลาดมืดไม่มีการตรวจสอบส่วนประกอบว่ามีอะไรอันตรายปนมาบ้าง ต้องระมัดระวัง
ไม่ว่าที่ฉีดเข้าไปจะเป็นแค่น้ำ หรือเซลล์ผสม เข็มนี้บางครั้งมีมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ซึ่งแพงมากโดยไม่สอดคล้องกับต้นทุน
แพงแล้วยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งอีก ตลอดจนไม่มีเหตุผลทางวิชาการ
คิดให้ดีว่าคุ้มจริงไหม?
ที่สำคัญนายกแพทยสภาให้คำจำกัดความ “ธุรกิจสเต็มเซลล์” ไว้อย่างชัดเจนว่า “สเต็มเซลล์ ธุรกิจหลอกคนรวย!” อ่าน “แพทยสภา!ปลุกคนไทยอย่าตกเป็นเหยื่อ” ตอนที่ 4