มนุษย์เงินเดือนอ่วมหนี้สินพันตัว ยอดหนี้คงค้างทั้งบัตรเครดิตเพิ่มและสินเชื่อบุคคลพุ่ง 37% นโยบายรัฐบาลดันของแพงตัวเร่ง รถคันแรกกระตุ้นยอดรูดน้ำมัน เบียดค่าครองชีพ อาการชักหน้าไม่ถึงหลังจำยอมค้างชำระ ด้านชมรมหนี้บัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลสวดรัฐไม่เหลียวแล
ช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายห่วงใยถึงสถานการณ์หนี้นอกระบบที่เพิ่มขึ้น แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่เห็นตรงกันว่าหนี้สินในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นและยอดการผิดนัดชำระหนี้เริ่มมีมากขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่งที่สถานการณ์ด้านหนี้สินอยู่ในระดับที่เริ่มน่ากังวลไม่แพ้กลุ่มลูกหนี้นอกระบบ คือ คนชนชั้นกลางหรือมนุษย์เงินเดือน ภาวะสินค้าราคาแพงและนโยบายของรัฐบาลนับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนในยุคนี้
ทีมงานวิจัยที่ติดตามภาวการณ์ใช้จ่ายบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล กล่าวว่า สิ่งที่เห็นตรงกันกับธนาคารแห่งประเทศไทยคือ สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงถึงภาวะอันตรายของการใช้จ่ายภาคประชาชน แต่พบว่าในช่วงที่ผ่านมาภาคประชาชนมีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลกันมากขึ้นกว่าเดิม
หนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนอยู่ในระดับ 2-3% ของสินเชื่อคงค้าง ถือว่ายังไม่เป็นปัญหาต่อตัวระบบ แต่แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนอย่างนี้หากปล่อยต่อไป โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงนั้น ถือว่าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะอันตราย และแบงก์ชาติคงจะเข้ามาดูแลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ที่ผ่านมาแบงก์ชาติเริ่มออกมาเตือนบ้าง ในเรื่องให้สมาคมธนาคารไทยดูแลโปรโมชันของผู้ให้บริการ
หนี้เสียเพิ่มเฉียด 38%
จากข้อมูลการใช้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลของธนาคารแห่งประเทศไทยเดือนตุลาคม 2555 จะพบว่ามีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น หากเทียบในรอบ 1 ปี (ต.ค. 54-ต.ค. 55) พบว่าเติบโตมากกว่า 9% ขณะที่สินเชื่อคงค้างของบัตรเครดิตโตขึ้นมา 12.75% ส่วนสินเชื่อบุคคลโต 15.44%
หากพิจารณาจากตัวเลขหนี้ค้างชำระเงิน 3 เดือนในรอบ 1 ปี (ก.ย. 54-ก.ย. 55) ในส่วนของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 11.12% ขณะที่สินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้นจากเดิม 37.8% นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง สะท้อนว่าภาคประชาชนมีความสามารถในการชำระหนี้น้อยลง
“กรณีนี้เป็นตัวเลขที่อยู่ในระบบและคนที่เข้าถึงสินเชื่อประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีฐานรายได้ที่ประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป ดังนั้นเรื่องของหนี้นอกระบบที่หลายฝ่ายเป็นห่วงกันนั้นคงไม่ต้องพูดถึง”
กินเท่าเดิมจ่ายเพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวการณ์นี้มีหลายองค์ประกอบ เริ่มกันที่ของแพง ต้องยอมรับความจริงว่าราคาสินค้าในขณะนี้ปรับตัวขึ้นมามาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หรือโครงการอื่น ๆ ที่ทำให้สินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้น
คนในกลุ่มที่ใช้บัตรเครดิตแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับค่าแรง 300 บาท แต่ก็ถูกผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้น หลายคนเงินเดือนไม่ได้ปรับขึ้น เมื่อคนบริโภคเท่าเดิม แต่ต้องจ่ายมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการออมของคนย่อมลดลง ตามมาด้วยความสามารถในการชำระหนี้ย่อมลดลงตาม เพราะเมื่อภาครัฐประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำออกมา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ปรับราคาสินค้าและบริการขึ้นไปก่อนหน้า โดยที่ค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้ใช้เพียง 7 จังหวัด บางส่วนก็ไม่ได้ตามค่าแรงขั้นต่ำ และจะใช้อัตราเดียวกันในปี 2556
ของที่แพงขึ้นกับรายได้ของคนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิม ย่อมทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาคือเมื่อค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นในปีหน้าแล้ว ความสามารถในการชำระหนี้จะกลับมาหรือไม่ยังไม่มีใครให้คำตอบได้
รถคันแรกเพิ่มหนี้ทางอ้อม
แม้ว่านโยบายรัฐคันแรกที่น่าจะมีเกือบ 1 ล้านคัน สินเชื่อส่วนนี้จะไม่รวมยอดเข้ามาในยอดสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต แต่ผู้ที่ซื้อรถคันแรกอาจจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วไปตามมา เนื่องจากต้องกันเงินก้อนใหญ่เพื่อผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตอาจทำให้ยอดใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น
คนกลุ่มนี้หากอยู่ในช่วงต้นของวัยทำงาน อาจจะมีปัญหาด้านการเงินได้ ขึ้นอยู่กับภาระของแต่ละบุคคล เช่น บางคนต้องผ่อนบ้านด้วย หรือบางคนมีครอบครัว หรือเพิ่งได้สมาชิกใหม่ในบ้าน เหล่านี้ล้วนทำให้ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตสูงขึ้น ดังนั้นจึงอาจแบ่งเบาภาระที่มีอยู่ผ่านมาที่บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล และถ้าเดือนใดสะดุดก็จะทำให้เกิดปัญหาหนี้ค้างชำระ
ปัญหาอีกประการหนึ่งของสินเชื่อบุคคลที่เพิ่มขึ้นมาในอัตราที่รวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนหนี้จากบัตรเครดิตมาเป็นสินเชื่อบุคคลเพื่อลดภาระของลูกหนี้ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อัตราหนี้เสียของสินเชื่อบุคคลเพิ่มสูงขึ้น
ลูกค้าใหม่เพิ่ม
การเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ที่รัฐบาลมีนโยบายให้เงินเดือนกับผู้ที่จบปริญญาตรีในภาคราชการเป็น 15,000 บาท คาดว่าจะมีข้าราชการในส่วนนี้เพิ่มเข้ามาราว 4 แสนราย นโยบายนี้ทำให้ภาคเอกชนจำนวนหนึ่งได้ปรับเงินเดือนของลูกจ้างขึ้นมา ทำให้ลูกค้าในส่วนนี้เข้ามาใช้บริการของบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลมากขึ้น
บางคนที่ฐานเงินเดือนสูงกว่า 15,000 บาทเล็กน้อย จากที่ไม่เคยคิดจะใช้บัตรเครดิตก็มั่นใจว่าอีกไม่ช้าจะได้ปรับฐานเงินเดือนขึ้น ก็มาสมัครบัตรเครดิตกันมากขึ้น เมื่อใช้ไประยะหนึ่งแล้วรัฐบาลเลื่อนการบังคับใช้ไปเป็นปี 2557 ก็อาจจะมีปัญหาด้านการชำระหนี้ได้
แข่งขันหนัก
ประการต่อมาเป็นการแข่งขันกันของผู้ประกอบการบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่ทำตลาดกันมากขึ้น โปรโมชันสะสมแต้มหรือชิงรางวัล รวมไปถึงให้ส่วนลดและดอกเบี้ย 0% กระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ที่นิยมเปลี่ยนโทรทัศน์มาเป็นแอลซีดีหรือแอลอีดี และเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือมาเป็นสมาร์ทโฟนกันมากขึ้น ทำให้การใช้จ่ายผ่านบัตรหรือผ่านสินเชื่อบุคคลมีมากตาม ตามมาด้วยการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่มีแรงกระตุ้นจากโปรโมชันของสายการบินและราคาทัวร์ต่างประเทศที่ถูกลง
หวั่นเกิดเหตุ “ช็อก” รับมือไม่ไหว
ช่วงแรกๆ เราดูว่าเป็นผลมาจากเรื่องของการฟื้นฟูหลังจากน้ำท่วมหรือไม่ ซึ่งครั้งนั้นมีการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ แต่นี่พ้นจากช่วงที่ผ่อนผันแล้วตัวเลขหนี้คงค้างและหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ต่ำลง
ที่น่าเป็นห่วงคือหากในปีหน้าเกิดวิกฤตด้านใดด้านหนึ่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลกระทบเศรษฐกิจโลกที่มีต่อประเทศไทย ภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นรุนแรงโดยไม่มีใครคาดคิด หรืออาจเกิดปัญหาทางการเมือง ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังคงไม่เป็นปัญหา แต่ห่วงคนที่ไม่เตรียมการอะไรไว้เลย บางคนเห็นโปรโมชันที่ผู้ประกอบการเสนอมาก็หวังจะใช้สิทธิเพื่อให้ได้สิทธินั้น โดยไม่มีความพร้อม คนกลุ่มนี้ก็จะมีปัญหาหากเกิดเหตุการณ์ช็อกเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง
รัฐไม่เหลียวแล
แหล่งข่าวจากชมรมหนี้บัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า เมื่อปี 2548 ข้อตกลงที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลได้ 28% ทำให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยอัตรานี้มาทำธุรกิจ ให้กู้และพิจารณาง่าย ท้ายที่สุดก็กลายเป็นปัญหา
ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการที่ 3% แต่คิดดอกเบี้ยได้ 28% สร้างผลกำไรให้กับผู้ประกอบการมาก จึงหันมาปล่อยสินเชื่อประเภทนี้กันมากขึ้น
ในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจหรือราคาสินค้าที่แพงขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ปัจจุบันมีการฟ้องร้องกันมาก 95% เป็นคดีที่มาจากบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เพราะเมื่อมีการผิดนัดชำระจะมีการคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมแล้วตกอยู่ที่ 35-38% โดยที่รัฐบาลไม่ได้เหลียวแลในเรื่องนี้ ไม่เข้ามาแก้ปัญหา ปล่อยให้ลูกหนี้ต้องเผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง
“สิ่งที่จะตามมาคือปัญหาสังคม ครอบครัวมีปัญหา ทะเลาะกันจากเงินไม่พอใช้ หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้เท่ากับเรากำลังทำลายทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว