เปิดแผน “เพื่อไทย” ใช้จำนำข้าวเจาะฐานเสียงภาคกลาง-เหนือตอนล่าง ทั้งซื้อใจชาวนา หัวคะแนนในพื้นที่ทุกระดับทั้ง “เจ้าของโรงสี ข้าราชการท้องที่ นักการเมืองท้องถิ่น” อีกทั้งทุ่มสารพัดนโยบายลงพื้นที่ต่อเนื่อง ทั้งโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ ส.ส.ในพื้นที่จะได้รับผลประโยชน์เงินทอน 30-40% และ 25 ต.ค.นี้ให้เงินหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทตอกหน้า ปชป.ให้แค่ 2 แสนสมัยเป็นรัฐบาล พร้อมเตรียมดูด ส.ส.อื่นย้ายพรรครับกระแสความนิยมพรรคเพื่อไทยในภาคกลางสูงขึ้น
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในระดับพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นมาเพื่อใช้ในการหาเสียงโดยเฉพาะ ซึ่งช่วงที่นโยบายนี้เกิดขึ้นไม่ได้มีการคิด และผ่านการประเมินผลดีผลเสีย และผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากคณะวิชาการของพรรคเพื่อไทยมาก่อน
แต่เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับนโยบายค่าแรง 300 บาทต่อวัน และโครงการอุดหนุนเงินกองทุนน้ำมัน ที่ทีม Special Scoop หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เคยนำเสนอมาแล้วในตอน “แฉ “จำนำข้าว” ไม่มีนักวิชาการในเพื่อไทยหนุน สั่งธ.ก.ส.กู้เพิ่มกลบหนี้สาธารณะ!” (3 ต.ค. 55)
โครงการนี้จึงชัดเจนอย่างมากว่า เป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อหาเสียงเป็นวัตถุประสงค์หลักเท่านั้น
และที่สำเร็จ คือสามารถซื้อใจกลุ่มเกษตรกรได้จริง!
ทีม “Special Scoop” ได้สัมภาษณ์ตัวแทนเกษตรกรทั้งเกษตรกรในเขตกรุงเทพมหานคร และเกษตรกรภาคกลาง ก็ยอมรับว่า ชาวนากำลังรู้สึกว่าได้เงิน แม้ว่าชาวนาจะถูกตัดราคาจากความชื้นของข้าว เนื่องจากชาวนากว่า 80% ไม่มีที่นาของตัวเองและต้องเช่าที่ดินทำกิน จึงทำให้ชาวนาต้องขายข้าวทันทีที่เกี่ยวเสร็จ ซึ่งมีความชื้นสูงกว่าความชื้นที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 14% จาก 15,000 บาท ชาวนาจึงได้แค่ 11,000 บาท แต่ชาวนาก็ยังมองว่าไม่มีรัฐบาลไหนให้ได้เท่านี้มาก่อน และถ้าชาวนาเอาไปขายเองก็ไม่ได้ในราคา 11,000 บาทอยู่ดี
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวนาจะเชื่อรัฐบาลหรือฝ่ายแกนนำคนเสื้อแดงทันทีที่บอกว่า นักวิชาการจะเป็นคนขัดขวางไม่ให้ชาวนาได้เงิน (ง่ายๆ) และออกมาปิดล้อมสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในช่วงที่ผ่านมา
แต่จะมองแค่ว่า “ซื้อใจกลุ่มรากหญ้า” ที่เป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอย่างเดียวก็มองผ่านๆ แบบนั้นไม่ได้ เพราะแท้ที่จริงแล้ว พรรคเพื่อไทยมีแผนมากกว่านั้น
ที่น่าจับตาคือแผนการเข้าไปเจาะฐานการเมืองในพื้นที่ภาคกลางรวมทั้งภาคเหนือตอนล่างให้เปลี่ยนมาเป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยมากขึ้น หลังจากครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคอีสานและเหนืออยู่แล้ว
โครงการรับจำนำข้าว คือแผนที่หวัง ซื้อใจทั้งรากหญ้า และคนที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวในพื้นที่ระดับหัวคะแนนแน่นอน
คุมแล้ว 7 จังหวัดรุกคืบเพิ่มอีก 3
วิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หนึ่งในคีย์แมนดูแลพื้นที่ภาคกลางของพรรคเพื่อไทยยอมรับว่า เมื่อประชาชนได้รับประโยชน์จากนโยบายจริง โดยเฉพาะเรื่องจำนำข้าว พรรคก็หวังผลทางการเมืองเช่นกัน เพราะพื้นที่ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม
เช่นเดียวกับ ไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวโดยยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เพราะปัจจุบันนี้ฐานเสียงในภาคอีสานและภาคเหนือของไทยเวลานี้ถือเป็นฐานเสียงในระดับที่ค่อนข้างแน่นหนา
คือวันนี้พรรคเพื่อไทยมี ส.ส.ภาคเหนือ 50 คน จาก 67 คน ภาคอีสาน 104 คน จาก 126 คน และมี ส.ส.ในภาคกลาง 40 คน จาก 96 คน
เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยคือ ต้องรักษา ส.ส.ในส่วนของภาคกลางเอาไว้ให้ได้ และมีเป้าหมายเพิ่ม ส.ส.ในภาคกลางขึ้นอีก เพื่อเป็นการประกันได้ว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้งได้ไม่ยากนัก
ปัจจุบันฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยในเขตพื้นที่ภาคกลางมีอยู่ประมาณ 40 คน ซึ่งถือว่าเกือบครึ่งหนึ่งของ ส.ส.ทั้งหมด แต่ก็ยังสามารถขยายได้อีกโดยหวังว่าจะได้ฐานเสียงเพิ่มจากโครงการจำนำข้าว เพราะอาชีพหลักของภาคกลางคือการทำนา
“ถ้าชาวนาจำนำข้าวปีละ 3 รอบจากการจำนำ 3 ฤดู จะทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ถือเป็นองค์ประกอบที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยขยายฐานเสียงได้ และเป็นแนวทางที่พรรคต้องทำให้สำเร็จ แต่ก็ต้องแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่เป็นข้อด้อยไปด้วย”
โดยจังหวัดที่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในเวลานี้มี 4 จังหวัด คือ นนทบุรี,สมุทรปราการ,อยุธยา,นครปฐม ส่วนจังหวัดที่พรรคเพื่อไทยมี ส.ส.อยู่แล้วบางส่วน พรรคเพื่อไทยคาดหวังว่าจะได้ ส.ส.ครบทั้งจังหวัด โดยเฉพาะใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรีที่ขณะนี้มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย 1 คน ภูมิใจไทย 1 คน และประชาธิปัตย์ 1 คน ขณะที่จังหวัดลพบุรีขณะนี้พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. 2 คน ภูมิใจไทย 2 คน และเพื่อนเกษตรไทย 1 คน
ส่วนปทุมธานี เดิมพรรคเพื่อไทยคุมได้ทั้งจังหวัดคือมี ส.ส.6 คน แต่การเลือกตั้งซ่อมครั้งที่ผ่านมาฐานเสียงได้มีการเปลี่ยนไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในปทุมธานีขณะนี้มี 5 คน และประชาธิปัตย์ 1 คน
โดยกลยุทธ์สำคัญที่พรรคเพื่อไทยจะนำมาหนุนการสร้างฐานคะแนนเสียงในภาคกลางจะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาของคนในเมือง คนชานเมือง และคนภาคเกษตรกรรม เรื่องผลผลิตทางการเกษตรที่จะต้องทำให้ถึงมือประชาชนมากที่สุด
ทั้งนี้ ยอมรับว่าพื้นที่ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนาและประชาธิปัตย์หลายพื้นที่ยังเจาะเข้าไปยาก ประกอบด้วย จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มี ส.ส.ของพรรคชาติไทยพัฒนา 4 คน และมีพรรคเพื่อไทย 1 คน,อุทัยธานี มี ส.ส.ชาติไทยพัฒนา 1 คน และประชาธิปัตย์ 1 คน,พิษณุโลกที่มี ส.ส.ของประชาธิปัตย์ 4 คน เพื่อไทย 2 คน,พิจิตรที่มีชาติไทยพัฒนา 2 คน และประชาธิปัตย์ 1 คน เป็นต้น
“ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า พื้นที่ภาคกลางต้องให้พรรคชาติไทยพัฒนาเขาบ้าง ประชาธิปัตย์บ้าง และเราได้บ้าง แต่เรายังรักษา 1 ใน 3 ของจำนวน ส.ส. ภาคกลางได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จของพรรค และเมื่อไปรวมกับ 1 ส่วน 2 ของภาคเหนือ กับ 3 ส่วน 4 ของภาคอีสาน เราก็ชนะแน่นอน”
ซื้อใจรากหญ้า-หัวคะแนน-ดูดส.ส.พรรคอื่น
ซื้อใจรากหญ้าแล้ว แถมซื้อใจหัวคะแนนในพื้นที่ด้วย!
แหล่งข่าวกำนันในจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวกับทั้งการเป็นภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง อย่างไรก็ดี พื้นที่ในจังหวัดเพชรบูรณ์มีการปลูกข้าวในจำนวน 1 ใน 3 ของพื้นที่ปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นพืชเกษตรหลักของจังหวัดเพชรบูรณ์
แต่แม้จะมีพื้นที่ปลูกข้าวน้อยกว่าจังหวัดอื่นๆ แต่ก็พบว่าโครงการรับจำนำข้าวมีผลอย่างมากในการสร้างฐานคะแนนเสียงในระดับพื้นที่
สิ่งที่พบคือโครงการนี้มีการโกงมหาศาล!
แหล่งข่าวกำนันในจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้การนำข้าวไปเข้าโครงการของรัฐบาลนั้นได้เงินช้า ถึงช้ามาก มีเกษตรกรบางส่วนตัดสินใจไม่เอาข้าวไปจำนำ ซึ่งต่อมามีคนมาติดต่อขอซื้อข้าวเหล่านั้น คือโรงสี หรือตัวแทนของโรงสีเอง ส่วนข้าวที่จำนำไว้เต็มในตอนแรกก็มีการระบายสต๊อกข้าวออกไปจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าโรงสีมีการเอาข้าวไปแปรรูปใส่ถุงเพื่อขายในท้องตลาดไปแล้ว
จึงมีการมากว้านซื้อข้าวจากชาวนา โดยใช้เงินของโรงสีเองมาจ่ายให้ชาวนา แล้วนำข้าวดังกล่าวไปสวมสิทธิชื่อของชาวนาคนนั้นๆ นำข้าวไปเข้าโครงการรับจำนำอีกที โดยพบโรงสีหลายแห่งมากในจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียงที่ทำอย่างนี้
“คนที่ทำต้องยอมรับว่า ไม่ใช่แค่โรงสี แต่ข้าราชการ และนักการเมืองท้องถิ่นเข้ามารับรู้ และมีส่วนร่วมหมด คำถามคือวันนี้คนกลุ่มนี้เป็นคนของใคร ก็ต้องบอกว่าตั้งแต่ระดับ อบต. อบจ. ตอนนี้เป็นคนของพรรคเพื่อไทยเกือบหมดแล้ว”
โดยการเจาะเข้าสร้างฐานเสียงในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางนี้ ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีการวางรากฐานมานานแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ของพรรคชาติไทยพัฒนาหลายๆ พื้นที่ ที่อยู่ไกลจากจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น หลายพื้นที่ได้เปลี่ยนมาเป็นของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากพรรคเพื่อไทยจะมีการผันงบประมาณลงในระดับพื้นที่หลายโครงการ และมีการเลี้ยงคนที่เป็นหัวคะแนนในพื้นที่อย่างดี
“เพชรบูรณ์เคยมี ส.ส.ของพรรคชาติไทยพัฒนาอยู่ 1 คน ซึ่งมีการลงพื้นที่ตลอด เวลาลงพื้นที่ก็ลงพื้นที่ของครอบครัว ตอนนั้นพวกกำนันด้วยกันก็ประเมินว่าผู้สมัครคนนี้ต้องชนะการเลือกตั้งแน่ ปรากฏว่าภายหลังกลับได้ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และตอนนี้ผู้สมัครของพรรคชาติไทยพัฒนาคนดังกล่าว ได้เตรียมย้ายมาพรรคเพื่อไทยเพื่อลงสมัครเลือกตั้งในสมัยหน้าแล้วด้วย”
อีกทั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็มีการผันงบประมาณลงพื้นที่จำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งสุดท้ายแล้วยอมรับว่าผลประโยชน์ที่กลับไปฝ่ายการเมืองมีสูงถึง 30-40% ซึ่งส่วนนี้ฝ่ายการเมืองจะนำไปแบ่งให้ข้าราชการระดับสูงในท้องที่ด้วย
เทอีก 1 ล้านให้กองทุนหมู่บ้าน 25 ต.ค.นี้
อย่างไรก็ดี การนำโครงการประชานิยมและโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ลงพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อซื้อใจรากหญ้า ซื้อใจหัวคะแนน สุดท้ายอาจจะจบลงด้วยการซื้อตัว ส.ส.พรรคอื่น
“ไม่ได้มีแค่จำนำข้าว ตอนนี้ที่เป็นโครงการของภาครัฐลงพื้นที่มีโครงการอื่นด้วย และวันที่ 25 ตุลาคมนี้พรรคเพื่อไทยก็อนุมัติเงินโอนเข้าหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาทอีกแล้ว คิดดูในสมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการทำโครงการ SML ต่อก็จริง ให้หมู่บ้านละ 2 แสน แต่เพื่อไทยมาเขาให้ 1 ล้านบาท”
การรุกคืบเข้าสร้างฐานเสียงในพื้นที่ภาคกลาง และเหนือตอนล่างของพรรคเพื่อไทยวันนี้แม้จะเป็นในรูปแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าหากพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในอำนาจอีกยาว คำประกาศจากคนในพรรคเพื่อไทยที่จะรุกคืบเข้าพื้นที่ภาคกลาง และเหนือตอนล่างที่เป็นพื้นที่ปลูกข้าวด้วย ก็อาจเป็นจริงได้ไม่ยาก
เป้าหมายคือพรรคเพื่อไทยต้องการครอบครองพื้นที่ทางการเมืองให้มากที่สุด หลังจากครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคเหนือตอนบน และภาคอีสานได้เกือบเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว ยังเหลือเพียงภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางที่พรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถครองพื้นที่ได้ทั้งหมด
ดังนั้น วันนี้ทั้งโครงการจำนำข้าว และการทุ่มสารพัดโครงการและงบประมาณเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่องนั้น จะทำให้พรรคเพื่อไทยคาดหวังว่าสามารถเพิ่มตัวเลข ส.ส.จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ได้ ส.ส.รวม 265 คนได้มากขึ้น
“ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยใช้กลยุทธ์ทุ่มโครงการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการดูแลหัวคะแนนในพื้นที่เป็นอย่างดี ตัวเลข 265 คนเมื่อคราวเลือกตั้ง 54 มีสิทธิเพิ่มได้ไม่น้อย และถ้าพรรคคู่แข่งยังประมาณตัวอยู่ว่า สุดท้ายแล้ว ความเป็นเพื่อนร่วมรัฐบาล อาจจะมีการแบ่งพื้นที่ให้กินเหมือนสมัยก่อนๆ”
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยมีเป้าหมายดึงดูดกลุ่มก๊วนต่างๆ เข้าพรรคในสมัยไทยรักไทยเพื่อสร้างเผด็จการรัฐสภาแบบเบ็ดเสร็จมาก่อน
แผนนี้ยังดำเนินต่อแม้เปลี่ยนรูปแบบ?
มิตรแท้อาจจะไม่ใช่มิตรแท้อีกต่อไป เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นำพรรคเพื่อไทยตัวจริง คุม ส.ส.ทั้งภาคเหนือ อีสาน และกลางได้เบ็ดเสร็จ!