xs
xsm
sm
md
lg

‘อังคาร กัลยาณพงศ์’ “กวีไม่ใช่หมา และไม่เป็นขี้ข้าทักษิณ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์
ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เตือนสติสังคมไทยอย่าตกเป็นทาส “ชูชกทักษิณ” ผ่านบทสัมภาษณ์ที่เผ็ดร้อนไม่แพ้บทกวีที่รจนาขึ้นด้วยปณิธานอันมุ่งมั่น และเป็นอิสระไม่ตกอยู่ใต้อำนาจใคร เพราะกวีไม่ใช่หมา เมื่อใครขุนหรือให้อาหารแล้วก็เชื่อง แต่กวีต้องกล้าที่จะชี้ผิดชี้ถูกให้สังคมได้ประจักษ์
………………

แม้จะไม่หวานซึ้งกินใจอย่างผลงานสร้างชื่อ ‘เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้งฯ’ กระนั้นก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าบทกวีวิพากษ์การเมืองของอังคาร กัลยาณพงศ์ ที่นำเสนอผ่านหน้าเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์อย่างต่อเนื่องนั้น ช่างเสียดสีและประณามนักการเมืองขายชาติได้อย่างเผ็ดร้อนดุดัน ไม่ต่างจากบทสัมภาษณ์ที่ศิลปินและหนึ่งในกวีเอกแห่งรัตนโกสินทร์ผู้นี้ถ่ายทอดผ่าน ‘ASTVผู้จัดการออนไลน์’ ในประเด็นอันว่าด้วยความพยายามที่จะ ‘พลิกแผ่นดิน-คว่ำชาติ’ ของทักษิณ

ทั้งยังเปรียบเปรยว่าการเชิดชูบูชาทักษิณนั้นก็เปรียบได้กับการบูชาเทวทัตหรือชูชกซึ่งพอกกิเลสตัณหาขึ้นในจิตใจจนมืดบอด กระทั่งหลงลืมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กลายเป็นสังคมที่ถูกมอมเมา ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

นอกจากนั้น อังคารยังไม่ลืมย้ำว่าบทกวีที่มีคุณค่าย่อมต้องเป็นอิสระไม่ตกอยู่ใต้อำนาจใคร เพราะกวีไม่ใช่หมา ที่เมื่อใครขุนหรือให้อาหารแล้วก็จะยอมเชื่อง แต่กวีต้องกล้าที่จะชี้ผิดชี้ถูกให้สังคมได้ประจักษ์

ทักษิณ พลิกแผ่นดิน คว่ำชาติ!

“ไอ้ที่เขาคิดปรองดองมันก็คือการพลิกแผ่นดิน จะดองชาติไทยได้ที่ไหน? ชาติไทยไม่ใช่กระเทียมดอง จริงๆ แล้วผมคิดว่าเป็นเป้าลวงนะ คือทักษิณเขาโกรธบังมาก (บิ๊กบัง-พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน) ที่ปฏิวัติจนเขาย่อยยับ เขาก็เลยใช้วิธีซุนวู ….พอบังเห็นแก่ลาภ เห็นแก่ตำแหน่ง คิดว่าจะได้เป็นนายกฯ ก็งับเข้าไป จริงๆ แล้วทักษิณมันจะบดขยี้บังเป็นเจ็ดชั่วโคตรให้ย่อยยับยิ่งกว่าทักษิณอีก

ตกลงบังนี่…..จริงๆ แล้วบังโม่ตัวเอง โม่เกียรติยศ โม่บรรพบุรุษ โม่ตัวเองไปเจ็ดชั่วโคตร ที่ว่าผีโม่แป้งนั่นแหละสมแล้ว นี่ผมพูดเฉพาะตัวคนนะ ตัวเองปฏิวัติเขาเอง ล้างเขาเอง ล้างคอร์รัปชัน อะไรต่างๆ แล้วกลับเขียนด้วยมือเอาเท้าลบ และยังไม่เคารพต่อชาติไทยอีก เอาชาติไทยไปขายให้ทักษิณ ทำเพื่อตัวเอง

ส่วนทักษิณก็โลภไม่รู้จักสิ้นสุด มันจะอยู่ค้ำฟ้าหรือไง? แม้แต่ไซรัสมหาราชที่ยิ่งใหญ่เท่าๆ เจงกิสข่าน ยังจารึกไว้ที่หลุมศพว่า ‘ดูก่อนมนุษย์ เจ้าจะเป็นใครมาจากแห่งหนไหนก็ตาม จงรู้ว่าเราคือไซรัสมหาราช ผู้สถาปนาราชอาณาจักรเปอร์เซีย เจ้าจงอย่าอิจฉาเราเลยที่เราเป็นมหาจักรพรรดิ เพราะบัดนี้ก็เหลือแต่เพียงแผ่นดินที่ห่อหุ้มกายเราเพียงเท่านี้’ นี่แหละมนุษย์

บิ๊กบังไม่ได้ยอมต่อทักษิณนะ บิ๊กบังยอมเพื่อ…..เงินนี่จริงๆ แล้วเป็นแค่ตัวกลาง ในตัวมันเองไม่มีอะไร เป็นเพียงสื่อที่คนคิดขึ้น เงินนั้นเมื่อนำมารับใช้กิเลสตัณหาแล้ว มันก็เป็นของแย่ เป็นของเลว แต่เงินนี่ถ้านำมารับใช้อุดมคติ รับใช้โพธิญาณ เงินก็เป็นของวิเศษ ถ้าเงินรับใช้ภาคสวรรค์จะทำให้มนุษย์ดีขึ้น คือยกสภาวะตัวเองขึ้นสูงได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เงินจะเป็นสิ่งดีมาก

แต่คนที่เป็นทาสเงิน ชาวบ้านเขาเรียกขี้ข้าเงิน ถูกเงินกดหัวเอาไว้ มันจะเสียความเป็นมนุษย์ ขนาดเดรัจฉานอย่างหมามันยังไม่เอาเงิน หมานี่ยื่นแบงก์ร้อยให้มันยังไม่เอา ทุกวันนี้สังคมนี้มันถูกมอมเมาด้วยค่านิยมให้เป็นบริโภคนิยม ฝรั่งนี่ตัวดี ไอ้แดกด่วนนี่มอมเมาที่สุดเลย เมื่อก่อนนี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์หมดสภาวะกิเลส แต่สิ่งที่ทักษิณทำนี่มันพอกกิเลส ทำคนให้เป็นเทวทัต ทำคนให้เป็นชูชก

ผมเองก็โกรธนะ ที่เขาทำให้แผ่นดินนี้มันวุ่นวาย คิดดูสิ คิดจะทำให้ทักษิณบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำไมไม่ออกกฎหมายที่ทำให้ทักษิณเป็นพระเจ้าไปเลย ยิ่งกว่าปรองดองไปเลย คือถ้าทักษิณเข้ามาแล้วก็ให้มันเข้ามาอย่างพระเจ้าไปเสียเลย”

ขี้ข้าทักษิณ ขี้ข้าเงิน

นอกจากเปรียบทักษิณเป็นชูชกที่โลภมากจนท้องแตกตาย หรือเปรียบเป็นเทวทัตที่ทำกรรมหนักกระทั่งถูกธรณีสูบในบั้นปลายแล้ว ศิลปินแห่งชาติผู้นี้ยังแสดงความเห็นถึงประชาชนที่รักทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา รักโดยมองไม่เห็นความโลภของทักษิณว่า คนเหล่านั้นมิได้รักทักษิณ แต่รักกิเลสตัณหาในใจตนเอง

“ผมไม่รู้จะช่วยยังไง เหมือนกับช่วยทะเลให้ไม่มีคลื่น นี่เป็นกิเลสตัณหาของเขาเอง เป็นกิเลสตัณหาที่ทำให้มนุษย์เดือดร้อน ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสั่งให้ ‘ละ’ ทำไมคนไม่ละ เมื่อไม่ละตัณหา บางคนก็เกิดเป็นชูชก บางคนเกิดเป็นเทวทัต ไปลำบากในอเวจี ไหม้มอดไปในอเวจี

เขารักทักษิณก็เหมือนเขารักกิเลสสมาทานของตัว เหมือนเรารักอเวจี เหมือนเรารักไฟ แล้วเอาไฟเข้ามาในหัวใจ

ถ้าประชาชนในเมืองสยามเปรียบเป็นไก่ก็เท่ากับเรียกมีดมาเชือดคอ ถ้าเป็นหมูย่าง เมื่อหมูย่างรักทักษิณก็เท่ากับหมูย่างเรียกปังตอมาเชือดตัวเอง ถ้าประเทศสยามเป็นไก่ ก็เหมือนเรียกไฟมาย่างตัวเอง ประชาชนไทยก็คงยินดีที่เป็นไก่ย่าง ทักษิณเขาก็ยินดี ถ้าหากว่าทักษิณกลับมา เราจะได้มีเทวทัต มีชูชกเพิ่มอีกคน

ที่เมืองไทยแตกแยกทุกวันนี้ต้องไปถามทักษิณ ทักษิณเป็นคนทำให้คนแตกกัน เพราะวันหนึ่งไปแหย่กิเลสมนุษย์ขึ้นมา ทำให้มนุษย์โลภเงิน โลภทอง ให้มนุษย์โลภอำนาจบารมี ทักษิณก็ยอด คือเป็นเกษตรกรที่ทำนาบนหลังคน และเอาหลังคนทั้งประเทศมาทำนา หว่านข้าวบนหลังคน

ส่วนคนที่รักทักษิณนั้นเขาลืมไปว่าเขามีสมอง แต่เขากลับเอาขี้เลื่อยไปยัดใส่สมองหมด จนกระทั่งไม่รับรู้อะไร พวกที่ไปนิยมชมชอบทักษิณนั้น ชอบที่จะให้ทักษิณปกครอง เปรียบยิ่งกว่าเกือกมันอีก คือเป็นขี้ตีนที่มันเหยีบอยู่ที่ส้นตีน แล้วยังจะเอาชาติไทยไปอยู่ที่ส้นตีนทักษิณอีกหรือยังไง? คนไทยนี่โง่ บ้า ให้ทักษิณกระทืบ”

เมื่อถามว่าการเมืองไทยในยุคที่ทักษิณกุมอำนาจในสภาและเป็นที่เชิดชูบูชาของคนรากหญ้าจำนวนมากนั้น มันหมายความว่าสังคมไทยสูญเสียอะไรไปบ้าง หรือสะท้อนถึงสิ่งใดบ้าง? คำตอบของอังคารในประเด็นนี้ก็ยังคงร้อนแรงไม่เปลี่ยนแปลง

“มันเคยเผาบ้านเผาเมือง เผาอยุธยาจนหมดสิ้น เผาวัดพระศรีสรรเพชญ์แล้วลอกเอาทองไป ไอ้…ที่มาเผาใหม่นี่คือพวกเผาบ้านเผาเมืองกลับชาติมาเกิด ไอ้ทักษิณมันเกิดมาล้างผลาญชาติไทย ยังไม่รู้สึกตัวกันอีก มันกลับชาติมาเกิดแล้วล้างผลาญคนไทย ถ้าเป็นคนไทยจะมาล้างผลาญชาติไทยได้ยังไง? เหมือนเราเกิดมาจากแม่แล้วจะมาสับแม่เราเป็นบะช่อ เป็นไปได้ยังไง? มันสับพ่อสับแม่เราเป็นหมูบะช่อ แค่นี้ยังคิดไม่ออก ไอ้ทักษิณมันเป็นอะไรที่เคยมาเผาบ้านเผาเมืองเรา ตอนเผาอยุธยามันเหนื่อยมากค่าแรงยังตกเบิก มันเลยกลับชาติมาเกิด มาขอค่าตกเบิก ตอนนี้เบิกกันไปบ้างแล้ว”

กวีไม่ใช่หมา ที่ใครขุนก็ยอมเชื่อง

“ศิลปินต้องรับผิดชอบต่อโลกมนุษย์ที่ตนเกิดมา เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วคุณต้องเลือกเอาดวงดาวสักดวงในทางช้างเผือกเป็นอุดมคติ ไม่ใช่ไปเอาถ่านไฟในนรกอเวจีมาเป็นอุดมคติ พวกที่รักทักษิณนั้นไปหยิบถ่านไฟในนรกมาเป็นอุดมคติแล้วคิดว่าเป็นดวงดาว

กวีไม่ใช่หมานี่นะ ที่ใครขุนนิดเดียวก็จะยอมเขา บทกวีมันเป็นอิสระในตัวเอง รู้ผิดถูกชั่วดีตามพระพุทธเจ้าตรัสสอน เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า รับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์ คือรักเพื่อนมนุษย์ และยินดีจะนำกำลังสติปัญญาไปเผยแพร่ แม้แต่ต้นหญ้ายังให้คุณกับเพื่อนมนุษย์ ข้าวน่ะเป็นหญ้าชนิดหนึ่งนะ อย่าคิดว่ามนุษย์ไม่กินหญ้า และทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นหญ้า ข้าวก็ยังทำให้มนุษย์อิ่มหนำและมีชีวิตอยู่ได้ ศิลปินก็แบบนั้นแหละ เป็นข้าวให้มนุษย์กิน เป็นออกซิเจน เป็นอากาศให้มนุษย์หายใจ เป็นน้ำให้ดื่ม ถ้าศิลปินเป็นฝนได้ก็จะเป็น เป็นพระอาทิตย์ได้ก็จะเป็น ผมคิดว่าเป็นอุดมคติของทุกคน ไม่ใช่แค่ศิลปิน

บทกวีมีพลังที่จะเปลี่ยนสังคม ทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนมาเยอะแล้ว แต่เราไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมเพียงลำพัง เพราะความเป็นไปของมนุษย์มันเหมือนคลื่นในมหาสมุทร เราแข็งแรงเท่าไหร่ เราก็เอาบ่าเข้ารับ กระแสคลื่นจะมาสาดบ่าเราเปื่อยจนกระทั่งเห็นกระดูกเราขาวโพลนก็ยังไม่สิ้นกระแสคลื่นในทะเล ดังนั้นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็ต้องช่วยกันหลายทาง ตั้งแต่พระศาสดา และใครต่อใคร ศิลปินก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง

พลังของบทกวีก็เหมือนแสงอาทิตย์ หรือถ้าเปรียบเป็นเมฆ มนุษย์ก็ต้องได้รับฝน ถ้าเป็นดอกไม้ก็ต้องหอมอบอวล ถ้าเป็นน้ำหวานก็ต้องเป็นน้ำหวานจากผึ้งที่มอบความหวานหอมให้ชีวิต ผมถึงเป็นกวี รับผิดชอบต่อจากเจ้าฟ้ากุ้ง (เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรฯ) ผมหายใจเป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน”

ครั้นถามว่าในฐานะกวีที่คอยเผยแพร่บทกวีการเมืองประณามความไม่ถูกต้อง และให้แง่คิดผู้อ่านเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันของทักษิณและลิ่วล้อผ่านผลงานบทกวีที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องนั้น สร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่อังคารหรือไม่? คำตอบของศิลปินแห่งชาติผู้นี้ก็ยืนยันได้ดีถึงอุดมคติและอุดมการณ์ที่เจ้าตัวไม่เคยหลงลืม

“คุณมาถามผมก็เหมือนถามทะเลว่าเวลาคลื่นลมมามันเหนื่อยไหม? เหนื่อยไม่ได้สิ ยิ่งเกี่ยวกับบ้านเมืองเรายิ่งมีพลัง มันผิดกับคนอื่น ตอนนี้จะกลายเป็นปืนใหญ่อยู่แล้วนี่ยังมีไฟอยู่ (หัวเราะ) จะท้อแท้ได้ยังไง? ไม่อย่างนั้นถ้าพระเจ้าตากสินมหาราชท่านเหนื่อย แล้วท่านจะกู้ชาติ กู้บ้านกู้เมืองได้ยังไง? คนไทยทุกคนก็เหมือนกัน ต้องตื่นขึ้นมาสิ ทำไมไม่ทำหัวใจตัวเองให้เป็นเพชรขึ้นมาบ้าง”

คนไทยต้องตื่นขึ้นจากความมืดบอด

“คนไทยควรจะต้องมีสติเป็นองค์ประธาน มีสุ จิ ปุ ลิ เป็นแก้วสารพัดนึก จะได้ลุกขึ้นมาปกครองตนเอง อย่าให้คนอื่นปกครอง ทักษิณนี่มันได้อิทธิพลจากฝรั่งนะ ฝรั่งมันหลอกให้คนเอเชียบริโภคนิยมไม่รู้จักจบ เห็นไหม? มันขอประเทศไทยเป็นฐานทัพ และอยากขอเป็นฐานขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล ทักษิณก็ไม่ต่างกัน มันจะพลิกบ้านพลิกเมือง พลิกแผ่นดินหมดแล้ว มันโลภและมันจะเอามากกว่านั้นอีก ทักษิณมันเก็บทุกลมหายใจ มันจะเอาอากาศอัดใส่กระป๋องขาย แล้วเวลาคนไทยจะหายใจก็ต้องไปขอซื้ออากาศกับมัน ทักษิณมันเอาขนาดนี้

แล้วตอนนี้ทักษิณมันยังเติมเชื้อไฟว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินผิดๆ ที่มันว่าศาลผิดหมด มันถูกคนเดียว แบบนี้นี่จะเกิดเรื่อง

ชีวิตมนุษย์นี่ นักปราชญ์ในสมัยโบราณเขาว่าเหมือนหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า คุณเอาชีวิตมนุษย์ไปเทียบกับอายุทางธรณีวิทยาไม่ได้หรอก แล้วทำไมไม่ทำอะไรที่ดีๆ ทำไมไม่ฟังพระพุทธเจ้าบ้าง พระองค์ท่านตรัสสอนทุกอย่างไว้ครบถ้วน แล้วทักษิณมันสอนอะไร? มันสอนให้โลภอย่างเดียว คุณก็เลือกเอาสิ ระหว่างพระพุทธเจ้ากับชูชก หรือพระพุทธเจ้ากับเทวทัต คุณจะเลือกใคร? คือทักษิณนี่มันจะเอาบ่อน้ำมันให้ได้ แล้วคนไทยก็โง่บัดซบ ทักษิณมันชูสารส้มขึ้นมาก้อนหนึ่ง มันบอกว่าเป็นเพชรก็เชื่อ หลอกแค่นี้ก็เชื่อแล้ว ทำไมเราไม่เชื่อตัวเราเอง ไม่ต้องกินเพชร กินข้าวสักถ้วยก็อิ่มแล้ว ให้มีสติ ตื่นขึ้น ปกครองตัวเอง อย่าให้นักการเมืองปกครองเรา ไม่งั้นเราจะกลายเป็นเนื้อสเต๊ก”

“ต้องถามว่าคนไทยอยากจะเป็นขี้ข้าใครล่ะ? ถ้าอยากเป็นขี้ข้าก็ลุกขึ้นมาทำใบมอบฉันทะ มอบวิญญาณให้เขาไปเลย การที่เราต้อง ‘ตื่น’ ขึ้นมานี่เท่ากับว่าเราต้องรู้สึก ต้องตระหนัก เราต้องรับผิดชอบต่อกระดูกสันหลังของเราเอง เราต้องปกครองตนเอง เพราะคุณเกิดมาเป็นมนุษย์ คุณไม่ใช่หมาในบ้านที่เขาเลี้ยงไว้นี่ คุณเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มันยิ่งใหญ่มาก คุณจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉานก็ได้ ภพภูมิของคนนั้นเป็นกลาง แต่เลือกที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ อยู่ที่มนุษย์เอง ถ้าไม่ตื่นขึ้นมาก็อย่าเป็นมนุษย์เลย”


สัมภาษณ์โดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
ถ่ายภาพโดย : ธนารักษ์ คุณทน
กำลังโหลดความคิดเห็น