เจียนอู๋ บอกเล่าแก่เหลียนสู ว่า “ข้าได้ฟังเรื่องราวจากเจียอี๋ว์ ฟังดูเพ้อเจ้อไร้แก่นสาร ยิ่งเล่าก็ยิ่งฟุ้งฝัน ข้าถึงแก่ตะลึงงัน ไม่สิ้นสุดดังทางช้างเผือกอันไร้ขอบเขต ยิ่งห่างไกลจากเรื่องทางโลก”
“เขากล่าวถึงสิ่งใดหรือ?” เหลียนสูถาม
“เขากล่าวว่า มีคนศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ ณ ขุนเขากู่เซ่ออันไกลโพ้น ผิวกายขาวใสราวหิมะ อ่อนโยน เอียงอายราวดรุณีแรกรุ่น* คนผู้นี้ไม่กินธัญญาหารทั้งห้า สูดเพียงอากาศบริสุทธิ์ ดื่มเพียงน้ำค้างใสกลางหาว ป่ายปีนเคลียเคล้าหมู่เมฆหมอก ควบขี่มังกรท่องไปยังทะเลใหญ่ทั้งสี่ เพียงเพ่งกระแสจิต ก็สามารถคุ้มครองสรรพสัตว์จากโรคร้ายภยันตรายนานา บันดาลความอุดมสมบูรณ์สู่ใต้หล้า ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล แลไม่อาจเชื่อถือได้”
“ท่านพึงเชื่อถือ!” เหลียนสูกล่าว “คนตาบอดไม่อาจชื่นชมลวดลายอันงดงาม และคนหูหนวกไม่อาจสดับยินเสียงระฆังเสียงกลอง ความบอดมืดและหนวกใบ้ไม่จำกัดอยู่เพียงรูปกายเท่านั้น แม้ปัญญาก็ยังอาจมีความมืดบอดเช่นกัน ดังคำพูดที่ท่านกล่าวออกมา คนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ ด้วยคุณธรรมของเขาอาจหลอมรวมสรรพสิ่งเข้าเป็นหนึ่งเดียว แม้นยุคสมัยมืดมนไยเขาจะต้องเดือดร้อนวุ่นวายกับเรื่องราวทางโลกด้วยเล่า? ไม่มีภยันตรายใดอาจกล้ำกรายเขาได้ แม้นน้ำท่วมสูงเทียมฟ้า ก็ไม่อาจจมวารีวายชนม์ แม้ความร้อนหลอมละลายโลหะและศิลา กระทั่งให้แผ่นดินเนินเขาเป็นรอยแยกแตกระแหง เขาก็ไม่อาจมอดไหม้ แม้เพียงเศษธุลีคราบไคลของเขา ก็อาจปั้นกษัตริย์ราชาผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงเหยาหรือซุ่น ไฉนเขาจึงต้องใส่ใจกับเรื่องราวทางโลกด้วยเล่า”
¶
ชาวซ่งเร่ขายหมวกสำหรับสวมในงานพิธี ไกลถึงแคว้นเย่ว์ ทว่าชาวเย่ว์ล้วนยึดถือขนบประเพณีตัดผมสั้น สักลวดลายตามร่างกาย ล้วนไม่ต้องการเครื่องแต่งศีรษะใด เหยาได้สร้างระเบียบนำความสงบแก่ประชาชน ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ปกครองใต้หล้าแดนดินจรดมหาสมุทร เมื่อได้ไปคารวะมนุษย์ที่แท้ทั้งสี่ผู้บรรลุเต๋า ณ ขุนเขากู่เซ่อ ขณะนิวัติกลับสู่พระราชวัง ก็หลงลืมอาณาจักรของตนสิ้น*
แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子) บทที่หนึ่ง อิสรจร (逍遥游)