ASTVผู้จัดการออนไลน์ - การเพิกเฉยของกระทรวงคลังในการติดตามทวงคืนทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจากปตท. กว่า 2 ปีหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ทำให้ กมธ.ตรวจสอบทุจริตฯ เตรียมแผนการฟ้องร้อง “กรณ์ จาติกวณิช” และอธิบดีกรมธนารักษ์ ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยนำเรื่องปรึกษาฝ่ายกฎหมายประธานวุฒิสภาและส่งหนังสือย้ำเตือนให้ติดตามการแบ่งแยกทรัพย์สินจาก ปตท. คืนคลังให้ครบถ้วนก่อนเข้าสู่กระบวนการนำคดีขึ้นสู่ศาลหากยังทำหูทวนลม
นางรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกรณ์ จาติกวณิช) และอธิบดีกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามเรียกคืนทรัพย์สินจากบมจ.ปตท ให้ครบถ้วนตามรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากคำพิพากษาคดีแปรรูปปตท.ของศาลปกครองสูงสุด ทั้งนี้ ถือเป็นการส่งหนังสืออย่างเป็นทางการในการทักท้วงให้รมว.คลังและอธิบดีกรมธนารักษ์ ปฏิบัติหน้าที่เรียกทรัพย์สินจากปตท.คืนแผ่นดิน
นางรสนา ระบุว่า ในหนังสือดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาประเด็นการส่งมอบคืนทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของ ปตท. ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2550 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 แล้วมีความเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อการรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม จึงมีมติเห็นสมควรดำเนินการพิจารณาสอบสวน พร้อมทั้งได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภา ร่วมศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้เชิญผู้แทนจากส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ง ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญมาร่วมประชุมเพื่อชี้แจงและให้ความเห็นต่อคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งจากการพิจารณาได้ผลสรุปโดยมีสาระสำคัญรวม 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แบ่งแยกทรัพย์สินที่บริษัทฯได้มาโดยอำนาจมหาชนของรัฐคืนให้แก่กระทรวงการคลัง ตามรายงานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว เป็นจำนวนเพียง 3 รายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 16,176.19 ล้านบาท ได้แก่
1)ที่ดินเวนคืน จำนวน 1.39 ล้านบาท
2)สิทธิการใช้ที่ดินเหนือที่ดินของเอกชน จำนวน 1,124.11 ล้านบาท
3)ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกที่อยู่บนที่ดินเวนคืนและที่ดินที่รอนสิทธิจากเอกชน จำนวน 15,050.69 ล้านบาท
ประเด็นที่ 2 การที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับกรมธนารักษ์ ไม่ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ อีกจำนวน 32,613.45 ล้านบาท คืนให้แก่กระทรวงการคลัง ตามรายงานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินนั้น อาจเป็นเพราะบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับกรมธนารักษ์ มิได้รายงานให้ศาลปกครองสูงสุดทราบว่า ยังมีทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวที่จะต้องแบ่งแยกคืนให้แก่กระทรวงการคลังด้วย ตามรายงานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน อันเป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 จนเป็นสาเหตุให้ศาลปกครองสูงสุด ได้รับทราบข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และมีคำสั่งไปว่า “พิเคราะแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว …..”
คณะกรรมาธิการฯ และคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภา มีความเห็นว่า หากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับกรมธนารักษ์ ได้เสนอข้อเท็จจริงตามรายงานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้ศาลปกครองสูงสุด ทราบอย่างชัดเจนว่า จะต้องแบ่งแยกทรัพย์สินใดบ้างคืนกระทรวงการคลัง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2550 เชื่อได้ว่า ศาลปกครองสูงสุด อาจมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อกรมธนารักษ์ เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินของแผ่นดินหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ จึงเป็นผู้เสียหายตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดข้างต้น และมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แบ่งแยกทรัพย์สินคืนแก่กระทรวงการคลังให้ถูกต้องครบถ้วนตามรายงานสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งหากกรมธนารักษ์ มีการปล่อยปละละเลยหรือไม่ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ อีกจำนวน 32,613.45 ล้านบาท คืนให้แก่กระทรวงการคลัง ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและต่อทางราชการโดยส่วนรวม และอาจเข้าข่ายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คณะกรรมาธิการฯ จึงทำหนังสือมายังรมว.กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกรมธนารักษ์ ให้เร่งรัดกรมธนารักษ์ดำเนินการเรียกคืนทรัพย์สินจากบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) กลับมาเป็นของรัฐโดยครบถ้วน และขอให้แจ้งผลการดำเนินการต่อคณะกรรมาธิการฯ ทราบโดยด่วนด้วย
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ประธานคณะกรรมาธิการฯ เคยให้สัมภาษณ์ว่า หากรมว.คลัง ยังเพิกเฉยต่อการติดตามทวงคืนสาธารณสมบัติจาก ปตท. จะดำเนินการฟ้องร้องในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
สำหรับการส่งหนังสืออย่างเป็นทางการจากคณะกรรมาธิการฯ ถึงรมว.คลัง และอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ต้องดำเนินการก่อนที่จะฟ้องร้องคดีต่อศาลหาก รมว.คลัง และอธิบดีกรมธนารักษ์ ยังเพิกเฉย
(อ่านข้อมูลเพิ่มเติมในข่าวประกอบ)