หลังจากสมเด็จฯ ฮุน เซน แต่งตั้ง ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของกัมพูชา ชื่อของคู่หู ฮุน เซน – ทักษิณ ต่างกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เพิ่มอุณหภูมิความร้อนแรงทางการเมืองขึ้นมาในฉับพลันทันใด และยังไม่อาจคาดหมายได้ว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ จะต้องใช้เวลาอีกยาวนานเพียงใดถึงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนานี้ให้ยุติลงได้
ในสายตาของนักสังเกตการณ์ทางการเมือง ทักษิณ และ ฮุน เซน นั้น ต่างมีความทะเยอทะยานอยากทางการเมืองถึงขั้นใคร่ยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จและยืนยงบนเก้าอี้นายกฯ ตลอดกาล บนเส้นทางสายอำนาจของทั้งสองจึงละม้ายคล้ายกันอย่างยิ่ง
ทั้งคิดแค้นไล่ล่ากำจัดศัตรูทางการเมืองให้หมดสิ้น ทั้งคดโกงคอร์รัปชั่นสั่งสมเงินทอง ทั้งสร้างกองทัพส่วนตัวสั่งสมอำนาจ ทั้งข่มขู่คุกคามสื่อ ทั้งคิดการใหญ่โค่นล้มสถาบันสูงสุด ซึ่งประการหลังนี้ ฮุน เซน สมมาตรปรารถนาแล้วเพราะเวลานี้สถาบันกษัตริย์ของกัมพูชากลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ ขณะที่ ทักษิณ กำลังท้าทายทุ่มเททุกสรรพสิ่งเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น แม้ปากจะยังบอกว่าจงรักภักดี ก็ตาม
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักสังเกตการณ์และผู้สื่อข่าวอิสระประจำสถานีวิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America), วิทยุฝรั่งเศสสากล, อ.ส.ม.ท. , นักเขียนประจำเนชั่นสุดสัปดาห์ และกรรมการศูนย์แม่น้ำโขงศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานีwww.indochinapublishing.com ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวในกิจการเกี่ยวกับประเทศอินโดจีน กล่าวถึงเส้นทางสายอำนาจของ ฮุน เซน ว่า นายกรัฐมนตรี วัยย่าง 59 ปี ผู้นี้ว่า มาจากครอบครัวชาวนาที่ยากจนค่นแค้น จนเขาต้องหนีออกจากบ้านมาอาศัยข้าวก้นบาตรและร่ำเรียนหนังสือที่วัดในเขตชานกรุงพนมเปญ กระทั่งได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติของเขมรแดงด้วยวัยเพียง 19 ปี
และเมื่อกองทัพเขมรแดงยึดอำนาจได้สำเร็จ ในปี 2518 พอล พต ผู้นำเขมรแดง ก็ตอบแทนความดีความชอบ ฮุน เซน และเพื่อนทหารด้วยการจัดแต่งงานแบบรวมหมู่ โดยเจ้าสาวที่ผู้นำเขมรแดงเลือกให้ ฮุน เซน คือ บุญ สัมเอียง หรือ บุญ ราณี สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งกัมพูชาในเวลานี้ มีบุตรชาย 3 คน บุตรสาว 2 คน และบุตรสาวบุญธรรม อีก 1 คน
ฮุน เซน ได้รับความไว้วางใจจากเวียดนามอย่างมาก ทำให้เขาได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาด้วยวัยเพียง 33 ปี เท่านั้น จวบจนปัจจุบัน เขาครองตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 24 ปี และนับจากปี 2540 ที่เขารัฐประหารยึดอำนาจจากเจ้านโรดม รณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 โดยอาศัยกองพลน้อยที่ 70 กองกำลังส่วนตัวของฮุน เซน ที่แปลงร่างมาเป็นหน่วยต่อต้านก่อการร้ายสากล ซึ่งมีลูกชายคนโตเป็นผู้บัญชาการในขณะนี้ สถานะของฮุน เซน ก็แข็งแกร่งยากจะหาใครทัดเทียมได้เรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม ทรงฤทธิ์ ให้ข้อมูลผ่านงานเขียนใน “ขะแมร์ – ไทย มิตรหรือศัตรู ? ” ที่ว่าด้วยการเมืองในกัมพูชาว่า ร่วม 10 กว่าปีที่ ฮุน เซน ครองอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้กับพรรคพวกและครอบครัว แต่สำหรับประชาชนชาวเขมรกลับยิ่งต้องทุกข์ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พรรคประชาชนของ ฮุน เซน ชูธง แก้ไขปัญหาความยากจนในเขตชนบทฐานเสียงสำคัญเป็นเป้าหมายใหญ่มาโดยตลอด
ตัวอย่างเช่น รัฐบาล ฮุน เซน ขับไล่ประชาชนนับหมื่นครอบครัวออกที่ดินอยู่อาศัยและที่ดินทำกิน เพราะรัฐบาล ต้องการเอาที่ดินไปให้บริษัทเอกชนต่างชาติเช่าระยะยาวนานถึง 99 ปี ขณะที่รัฐบาลฮุน เซน ชดเชยให้กับชาวบ้านเพียง 1 ใน 4 ของราคาที่ดินที่เป็นจริงเท่านั้น
ส่วนกรรมกรไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือนมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว แถมยังถูกลดค่าจ้างลงอีกด้วยซึ่งเป็นมาตรการของรัฐบาลเพื่อเอาใจนักลงทุน ขณะเดียวกัน รายงานของเอฟเอโอ ก็ระบุว่า ประชาชนชาวกัมพูชากว่า 4.6 ล้านคน หรือคิดเป็น 33%ของประชากรทั้งหมดเผชิญกับการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง
ไม่นับการปล้นชิงทรัพยากรธรรมชาติและบ่อนทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ดังรายงานของโกบอล วิทเนส ที่ระบุว่า ขบวนการลักลอบตัดไม้ที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดล้วนมีเส้นสายโยงใยและใกล้ชิดกับฮุน เซน และครอบครัวทั้งสิ้น
ตามรายงานของ โกบอล วิทเนส บ่งชี้ว่า กลุ่มใหญ่ที่มีผลประโยชน์ลักลอบส่งออกไม้เถื่อน ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเหล่าขุนศึกในกองพลน้อยที่ 70 กองกำลังส่วนตัวค้ำบัลลังก์ของฮุน เซน ที่มีกำลังทหารอยู่มากกว่า 4,000 นาย ซึ่งมีเงินเดือนสูงกว่าทหารสังกัดหน่วยอื่นถึง 6 เท่า ฮุน เซน โต้ตอบการรายงานของ โกบอล วิทเนส ด้วยการขับไล่ออกไปพ้นกัมพูชา
นอกจากนั้น ตามบันทึกลับของ “เฮง โปว์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกรุงพนมเปญ และผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นายตำรวจผู้กุมความลับของ ฮุน เซน ซึ่งถูกขังลืมอยู่ในเรือนจำที่กัมพูชาตั้งแต่ปลายปี 2549 จนบัดนี้ ระบุว่า เมื่อปี 2540 เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ยึดกัญชาแห้ง 7 ตัน ขณะกำลังลำเลียงลงเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่ท่าเรือน้ำลึกสีหนุวิลล์ โดยเจ้าของเรือชื่อ “มง ฤทธี” นักธุรกิจการเกษตรผู้สนับสนุนรายใหญ่พรรคประชาชนของฮุน เซน
เหตุการณ์ครั้งนั้น เฮง โปว์ บันทึกไว้ว่า เขาได้รับใบสั่งให้เคลียร์เรื่องให้ มง ฤทธี เป็นผู้บริสุทธิ์ และโยนความผิดให้ “โฮ ช็อก” ปลัดกระทรวงมหาดไทยในสังกัดพรรคฟุนซินเปกเป็นผู้รับเคราะห์แทน ไม่เพียงเท่านั้น โฮ ช็อก ยังต้องจบชีวิตลงด้วยมือสังหารซึ่งเป็นนายตำรวจที่ใกล้ชิดกับผู้นำระดับสูงในรัฐบาลโทษฐานที่ไปรู้เรื่องอื้อฉาวของ มง ฤทธี
ทรงฤทธิ์ อ่านการเดินเกมทางการเมืองของฮุน เซน ตลอดช่วงเวลา 24 ปีบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่า สิ่งที่ฮุน เซน ยึดถือและปฏิบัติมาตลอด คือ กระจายผลประโยชน์ให้ทุกฝ่ายพึงพอใจ และที่สำคัญคือ การขจัดศัตรูคู่แข่งทางการเมืองให้สิ้นซาก
ดังเช่นชะตากรรมของเจ้านโรดม รณฤทธิ์ อดีตหัวหน้าพรรคฟุนซินเปก อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา คนที่ 1 ที่ต้องระเห็จออกจากประเทศ เพราะ ฮุน เซน สนับสนุนให้ลูกพรรคฟุนซินเปกดำเนินคดีกับเจ้ารณฤทธิ์ ในข้อหายักยอกเอาทรัพย์จากการขายที่ทำการพรรคในกรุงพนมเปญ ไปเป็นของตนเอง และถูกศาลอาญาตัดสินจำคุกเป็นเวลา 18 เดือน และปรับอีก 150,000 เหรียญสหรัฐฯ กระทั่งถึงบัดนี้ เจ้ารณฤทธิ์ ยังต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศ เพราะไม่ต้องการถูกจำคุกตามคำตัดสินของศาล
เช่นเดียวกันกับ สัม รังสี ผู้นำฝ่ายค้าน ผู้ซึ่งได้รับคะแนนนิยมจากคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการโค่นล้ม ฮุน เซน ก็กำลังเผชิญกับการถูกกำจัดให้พ้นวงโคจรทางการเมืองในทุกวิถีทางเช่นเดียวกัน
สัม รังสี คือคนที่เดินหน้าเปิดโปงความชั่วร้ายใน “ระบอบฮุนเซน” ทั้งการคอร์รัปชั่น ทั้งความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ทั้งยังกล่าวหาว่าฮุน เซน ยอมยกพื้นที่ของกัมพูชาให้กับเวียดนามซึ่งปักปันเขตแดนรุกล้ำเข้ามาในเขตจังหวัดสวายเรียงของกัมพูชานับสิบกิโลเมตร ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ฮุน เซน ทำศึกน้ำลายเรื่องเขตแดนกับฝ่ายไทยเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องดังกล่าว