xs
xsm
sm
md
lg

วัดใจ"มาร์ค" ชน "เพื่อนเนวิน เบรกเช่ารถเมล์NGVฉาว6หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ASTVผู้จัดการรายวัน – วัดใจ "อภิสิทธิ์" กล้าชน "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ขวางลำโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มูลค่า 60,000 กว่าล้านบาท ดังที่เคยลั่นวาจาขณะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านโดยแล็งเปิดซักฟอกรัฐบาลสมัครงับหัวคิวคันละล้าน ด้าน "โสภณ ซารัมย์" ประกาศเดินหน้าต่อสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่หวั่น 40 ส.ว.ออกโรงต้านถึงที่สุด

โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวีที่มีปัญหาอื้อฉาวมาตั้งแต่สมัยรัฐบายสมัคร สุนทรเวช หลายฝ่ายคาดหมายว่าคงได้รับการทบทวนตรวจสอบใหม่ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ได้เตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลสมัครมาแล้ว แถมมีการแพลมชื่อนักการเมืองร่วมงาบหัวคิวอีกด้วย

แต่พลันที่ โสภณ ซารัมย์ ก้าวเข้ามาครองตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เขาประกาศก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยซ้ำว่า จะเร่งรัดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และเดินหน้าโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มูลค่า 62,598 ล้านบาท ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยจะไม่มีการทบทวนใหม่แต่อย่างใด

"โครงการนี้ผ่านขั้นตอนการดำเนินการมาไกลแล้ว ก็ควรจะเดินหน้าต่อไป ซึ่งพร้อมให้มีการตรวจสอบจากทุกฝ่าย และในการทำงานของกระทรวงคมนาคม จะมีการแจ้งให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและกำกับดูแลทุกกระทรวงรับทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน" รมว.กระทรวงคมนาคม ผู้ซึ่งที่ เนวิน ชิดชอบ ส่งมานั่งเก้าอี้สำคัญในกระทรวงระดับเกรดเอ ยืนยันจะดำเนินโครงการนี้ต่อไป

ที่ผ่านมาจวบจนบัดนี้ โสภณ ซารัมย์ ไม่เคยเปลี่ยนท่าทีว่าจะทบทวนการเช่ารถเมล์เอ็นจีวีแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เขานั่งเป็น รมช. คมนาคม หรือวันนี้ที่เขาเป็นเจ้ากระทรวงเสียเอง

"ต้องยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ให้เช่ารถใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เช่นเดิม แม้ว่าครม.เศรษฐกิจจะขอให้มีการทบทวน หลังจากราคาน้ำมันมีการปรับลดลงต่อเนื่อง โดยจะต้องหารือกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคมอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะการที่จะให้นโยบายอะไรออกไปนั้น จะต้องให้ผู้ที่ปฏิบัติสามารถปฏิบัติตามได้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็ไม่เป็นประโยชน์

"โครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของการให้บริการของรถโดยสารขสมก. ซึ่งจำนวนรถโดยสารที่ครม. เคยมีมตินั้น เป็นจำนวนที่จะทำให้การบริการครอบคลุมการเดินรถทั้ง 145 เส้นทาง ซึ่งจะดำเนินการควบคู่กับโครงการให้บริการแบบตั๋วอัตโนมัติ และไม่ต้องการให้นำปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันมาเป็นตัวแปรในการทบทวนโครงการ เพราะวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยราคาน้ำมัน แต่มีวัตถุประสงค์อยู่ที่การให้บริการรถโดยสารประจำทางที่มีประสิทธิภาพของ ขสมก. และเพื่อการประหยัดพลังงานในอนาคต" โสภณ ให้สัมภาษณ์ เมื่อกลางเดือน ต.ค. 2551 ก่อนที่จะยืนยันอีกครั้งเช่นเดิมเมื่อเข้ารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม

งานนี้ กลุ่ม 40 ส.ว. ออกมาแถลงทันทีว่า แนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะเดินหน้าโครงการรถเมล์เอ็นจีวีนั้น กลุ่ม 40 ส.ว.ขอคัดค้านเต็มที่

"ไม่มีเหตุผลที่จะเร่งผลักดันในตอนนี้เนื่องจากประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ และวิธีการเช่าผูกขาดระยะเวลานาน เปิดช่องให้เอื้อประโยชน์ให้บางกลุ่ม ฉะนั้นหากเร่งรีบทำเรื่องนี้ กลุ่ม 40 ส.ว.จะคัดค้านให้ถึงที่สุด" ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. แถลงภายหลังการหารือเพื่อเตรียมตรวจสอบรัฐบาลใหม่ เมื่อปลายเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา


*** ศึกหนักง้างปาก "เพื่อนเนวิน"

ช่วงประมาณเดือนมิถุนายน 2551 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรขณะนั้น และ ถาวร เสนเนียม รมว.กระทรวงมหาดไทย (เงา) ได้เตรียมข้อมูลเพื่อเปิดอภิปรายรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับโครงการเปลี่ยนรถเมล์ร้อนทั้งหมด 3,000 คัน เป็นเช่ารถเมล์ปรับอากาศใหม่ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 6,000 คัน ซึ่งส่อเค้าว่าจะมีการทุจริต

"ได้ให้รวบรวมเรื่องนี้มาประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว และคิดว่า คงจะได้มีการพูดคุยกันในที่ประชุมวิป หรือ ส.ส.ในสัปดาห์นี้ ซึ่งส่วนหนึ่งจะรอดูการประชุม ครม.ในวันพรุ่งนี้ด้วย จะรอดูว่าขั้นตอนต่างๆ รายละเอียดเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ให้ไปค้นว่าเกี่ยวข้องกับใครอย่างไร หากมีความไปเกี่ยวข้องชัดเจนก็สามารถดำเนินการได้ โดยเรื่องนี้มีความคืบหน้าไปมาก" อภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในขณะนั้น

ขณะที่ ถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงการติดตามตรวจสอบโครงการดังกล่าว ตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าผู้นำฝ่ายค้านว่า มีข้อพิรุธเรื่องการตั้งงบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างสูงผิดปกติ

"ขณะนี้ เรามีข้อมูลและรายชื่อบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว หากเรื่องผ่านการพิจารณาในที่ประชุม ครม.เมื่อเปิดประชุมสภาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องดังกล่าวแน่นอน แต่ขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครอง มีมิสเตอร์ที และมิสเตอร์เอส เป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้ และมีอำนาจโดยตรงจัดการเรื่องนี้ คนที่อยู่ในวงการจะรู้กัน แม้กระทั่งใน ครม. ซึ่งการออกมาติงรัฐบาลในเรื่องนี้ นอกเหนือจากผลกระทบเรื่องราคาโดยสารที่เพิ่มขึ้น รถเมล์ร้อนประมาณ 3,000 คัน ที่จะขายก็มีแนวโน้มว่าขายถูกผิดปกติ และรถเมล์ปรับอากาศที่จะเช่าก็มีราคาที่แพง โดยสืบทราบว่าจะมีใต้โต๊ะคันละ 1 ล้านบาท" รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้รายละเอียดหลังขุดค้นพบข้อมูลความไม่ชอบมาพากล

การเตรียมเปิดอภิปรายของฝ่ายค้านในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้รัฐบาลถอนวาระออกจากการประชุมคณะรัฐมนตรีพอเป็นพิธี เพื่อป้องกันการถูกอภิปรายและหวังให้ผ่านการพิจารณางบประมาณไปก่อนจึงจะดำเนินการโครงการต่อ ซึ่งหลังจากนั้น "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่ร่วมอยู่ในคณะรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย จวบจนถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ได้เพียรพยายามทำคลอดโครงการมาอย่างต่อเนื่อง

*** เปิดปมโครงการฉาวไม่สิ้น

โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี เป็นโครงการที่อยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นชอบแผนการปรับปรุง ขสมก.โดยการเช่ารถโดยสาร 6,000 คัน จากนั้น นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.กระทรวงคมนาคม ขณะนั้น ได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.เพื่อขออนุมัติเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2551 แต่ครม.ได้ตีเรื่องกลับโดยให้เสนอรายละเอียดมาอีกครั้ง

โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี ซึ่งกระทรวงคมนาคม เสนอเข้า ครม.เมื่อเดือนมิ.ย. 2551 ขสมก. จะเช่ารถเมล์ปรับอากาศเอ็นจีวี 6,000 คัน ระยะเวลา 10 ปี ใช้วงเงิน 111,690 ล้านบาท เบื้องต้น คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้น 15% หรือ 1.3 ล้านคน และทำให้ ขสมก. กลับมามีกำไรในปี 2554 จำนวน 1,800 ล้านบาท ปี 2557 กำไร 3,800 ล้านบาท และ 4,800 ล้านบาทในปี 2562 ถ้าหาก ขสมก.ไม่มีการดำเนินการใดเลย ขสมก. จะขาดทุนประมาณ 100,000 ล้านบาทในปี 2562

ต่อมา กระทรวงคมนาคม ได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.อีกครั้งเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2551 แต่ถูกรัฐมนตรีจากพรรคชาติไทย และพรรคประชาราช รุมค้าน โดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสังเกตถึงการเช่ารถทั้ง 6,000 คันว่าจะมีความคุ้มค่าหรือไม่ หากเช่าเพียง 3,000 คัน และอีก 3,000 คัน นำรถเก่าของ ขสมก. มาปรับแต่งใหม่ให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิงจะคุ้มค่ากว่ากันหรือไม่

การถกเถียงอย่างกว้างขวางในครม. ทำให้นายสมัคร ซึ่งหนุนโครงการดังกล่าวสุดตัว ได้ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาศึกษารายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพล.ต.สนั่น เป็นประธาน ท่ามกลางเสียงครหารัฐบาลสมัคร ว่าหากครม.อนุมัติให้มีการเช่ารถ 6,000 คัน จะมีกลุ่มผลประโยชน์ที่มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังได้รับค่าคอมมิชชั่น คันละ 1 ล้านบาท รวมเม็ดเงิน 6,000 ล้านบาท โดยแบ่งให่นักการเมืองหลายคนทั้งในกระทรวงคมนาคม คณะรัฐมนตรี กลุ่มทุนใหญ่ที่สนับสนุนพรรคการเมือง และผู้ผลักดันโครงการ

หลังจากนั้น คณะกรรมการพิเศษฯ ได้ข้อสรุปว่า ควรปรับลดจำนวนการเช่าลงเหลือ 4,000 คัน ลดวงเงินค่าเช่าเหลือประมาณ 67,000 ล้านบาท รวมทั้งลดวงเงินลงทุนในระบบ เช่นการจัดหาอู่รถ ฯลฯ ประมาณ 5,000 ล้านบาท รวมลดวงเงินงบประมาณได้ประมาณ 43,000 ล้านบาท หรือประมาณ 30% ของโครงการ

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2551 ครม. สมัคร ได้อนุมัติโครงการดังกล่าวตามข้อเสนอของครม.กลั่นกรองคณะพิเศษ ที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเห็นชอบให้ ขสมก.เช่ารถเมล์ปรับอากาศจำนวน 4,000 คัน เป็นเวลา 10 ปี และลดวงเงินโครงการเหลือ 62,598 ล้านบาท จากมติเดิมกำหนดจัดหารถเมล์เอ็นจีวี 6,000 คัน อัตราค่าเช่า 5,100 บาทต่อวันต่อคัน เป็นเวลา 10 ปี วงเงิน 111,690 ล้านบาท

ถึงแม้ครม.จะมีมติอนุมัติโครงการแล้ว ก็ยังมีกระแสเสียงจากสังคมที่ตั้งข้อสังเกตถึงความฉ้อฉลของโครงการนี้ว่า มีการคิดค่าเช่าแพงเกินจริงถึงคันละ 18.36 ล้านบาท ในระยะเวลาเช่า 10 ปี แม้ว่าค่าเช่าจะรวมค่าซ่อม ค่าอู่ ค่าระบบเก็บตั๋วโดยสารอัติโนมัติและระบบจีพีเอส เข้าไปด้วยแต่ยังถือว่าแพงมาก

นายธวัชชัย เผ่าเหลืองทอง อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. ปัจจุบันประกอบธุรกิจการขนส่ง วิจารณ์ว่า รถเมล์ปรับอากาศรุ่นเดียวกับที่ ครม. สมัคร อนุมัติ นั้น หากซื้อเงินสดจะมีราคาเพียงคันละ 2.8 ล้านบาท ถ้าซื้อเงินผ่อนหรือเช่าซื้อเป็นเวลา 4 ปี จะมีราคาเพียงคันละ 3.24 ล้านบาท

ดังนั้น หากใช้วิธีการซื้อและบวกกับค่าซ่อมบำรุงต่างๆ เพิ่ม คาดว่าจะใช้งบประมาณเพียงหมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น

หากพิจารณาจากตัวเลขข้างต้น จะพบว่า การประมูลเช่ารถเมล์ปรับอากาศเอ็นจีวี 4,000 คัน ที่มีราคากลางที่ 16 – 18 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคาซื้อเงินสดหรือเช่าซื้อ จะมีส่วนต่างของราคาจริงและกำไรส่วนเกินของผู้ได้งานนี้สูงถึง 20,000 – 25,000 ล้านบาท

*** พิรุธทีโออาร์ส่อทุจริต

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง กระทรวงคมนาคม ได้เดินหน้าโครงการต่อโดยจัดทำเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) พร้อมกับประกาศประกวดราคาทางอิเลกทรอนิกส์ (อีออกชั่น) เมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2551 จากนั้นจะใช้เวลาพิจารณาเงื่อนไข และประกาศผลโดยคาดว่ากระบวนการขั้นตอนทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเดือนม.ค. 2552

สำหรับคุณสมบัติของรถที่จัดเช่าทั้ง 4,000 คัน นั้น คณะกรรมการร่างทีโออาร์ ซึ่งมีนายชัยรัตน์ สงวนชื่อ ธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธาน ได้กำหนดว่า จะต้องเป็นรถใช้ก๊าซเอ็นจีวี และมีติดตั้งระบบตั๋วเก็บเงินอัตโนมัติ (E-Ticket) ระบบติดตามผ่านดาวเทียม (GPS) โดยสรุปค่าเช่าเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาท ต่อคันต่อวัน ส่วนราคากลางของโครงการในตลอดสัญญาเช่านั้น จะต้องรอผลการประกวดราคาว่า ราคาที่ได้จะมีราคาที่ต่ำกว่าราคากลางเท่าใด

ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม ชี้ให้เห็นพิรุธในการประกวดราคาครั้งนี้ว่าไม่มีความโปร่งใสหลายประการ กล่าวคือ

1) โครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าการจัดซื้อจ้างวงเงินสูงกว่า 6 - 7 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว โดยอ้างว่าอัตราค่าจ้างที่ปรึกษามีวงเงินสูง และใช้ระยะเวลาดำเนินการนาน และมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงและใช้บุคลากรมากเกินไป จึงไม่มีการจัดจ้างที่ปรึกษา จึงให้คณะกรรมการเป็นผู้กำหนดร่างขอบเขตงานหรือทีโออาร์ขึ้นมาเอง

2) เงื่อนไขในทีโออาร์ดังกล่าวกำหนดให้ติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย ระบบอิเล็กทรอนิกส์รถยนต์ปรับอากาศใช้ก๊าซเอ็นจีวี จำนวน 4 พันคัน และบนรถโดยสารปรับอากาศ(เครื่องยนต์ดีเซล) จำนวน 1,800 คัน ซึ่งเป็นรถเก่าของ ขสมก. ซึ่งต้องมีการติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ E-Ticket พร้อมอุปกรณ์ ติดตั้งระบบควบคุมและติดตามการเดินรถ GPS , GPRS และ CCTV พร้อมอุปกรณ์ และติดตั้งป้ายอัจฉริยะพร้อมอุปกรณ์ บริเวณป้ายรถเมล์ไม่น้อยกว่า 40 ชุด

การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่ามีเพียงเอกชนบางรายเท่านั้นที่มีศักยภาพที่จะดำเนินการได้ โดยเอกชนรายดังกล่าวมีกลุ่มทุนการเมืองอยู่เบื้องหลัง และอันที่จริงรถเมล์วิ่งประจำทางอยู่แล้วไม่มีความจำเป็นต้องติดตั้งแครื่องมือดังกล่าว การกำหนดเงื่อนไขเช่นนี้ทำให้ราคาแพงขึ้นไปโดยไม่จำเป็น

3) เงื่อนไขในทีโออาร์ กำหนดว่าให้ขสมก.เป็นผู้จัดหาอู่จอดรถ ประกอบด้วย ลานจอดรถ โรงซ่อม สถานที่ทำการต่าง ๆ สถานที่สำหรับก่อสร้างสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และในกรณีที่ ขสมก.ไม่สามารถจัดหาอู่จอดรถได้ ขสมก.จะแจ้งให้ผู้เสนอราคาทราบภายใน 90 วันนับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา และให้ผู้เสนอราคาเป็นผู้จัดหาอู่จอดรถพร้อมดำเนินการทางสัญญาและส่งมอบอู่จอดรถให้ขสมก.ใน 9 เดือน ให้เสร็จสิ้นพร้อมการส่งมอบ

เงื่อนไขดังกล่าวนี้ คาดว่า ขสมก.ก็ไม่สามารถหาพื้นที่ดังกล่าวได้และในที่สุดก็ต้องให้เอกชนเป็นผู้จัดหาพื้นที่ เองตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งจะมีเอกชนบางรายเท่านั้นที่มีความพร้อมและต้องมีการเตรียมพื้นที่ไว้รองรับอยู่แล้ว เพราะพื้นที่ในการสร้างอู่จอดรถกว่า 22 แห่งกำหนดเนื้อที่ไว้แต่ละแห่งประมาณ 15-16 ไร่ จึงเป็นไปได้ยากในการหาพื้นที่ดังกล่าวในเวลาอันสั้น

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในที่ประชุมคณะกรรมการพิเศษ ซึ่งมี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติให้รัฐเป็นผู้จัดหาที่ดินเอง เนื่องจากการซื้อที่ดินในระยะยาวนั้นมูลค่าที่ดินจะเพิ่มขึ้น แต่ในทีโออาร์เปิดทางให้เอกชนเป็นคนจัดหาในกรณีที่ขสมก.ไม่สามารถจัดหาได้เอง ซึ่งเป็นการผิดเงื่อนไข

4) ระยะเวลาการเช่ารถเมล์แอร์เอ็นจีวีนั้นมีระยะเวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น แต่เงื่อนไขกำหนดให้ ปตท.เป็นผู้ลงทุนในการเชื่อมท่อก๊าซและสถานีบริการในกรณีเป็นพื้นที่ของรัฐหรือมีสัญญาเช่าต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 20 ปี ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากในการที่จะให้บริษัท ปตท.เข้ามาตั้งสถานีก๊าซและลงทุนเชื่อมต่อท่อก๊าซ เพราะเงื่อนไขกำหนดให้เอกชนมีระยะเวลาดำเนินการเพียง 10 ปีเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน

5) เงื่อนไขการสัญญาเช่ารถกำหนดให้ยืดหยุ่นปรับเพิ่มหรือลดในกรณีที่ผู้โดยสารไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และระบุเงื่อนไขให้ทบทวนสัญญาได้ทุก 3-4 ปีหลังจากมีการประเมินผลหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐ ซึ่งเงื่อนไขนี้หากฝ่ายเอกชนแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ก็เท่ากับว่าขสมก.ต้องแบกภาระขาดทุน หากประเมินตัวเลขขาดทุน 15 ล้านบาทต่อวันต่อคัน ในช่วง 3-4 ปี คิดเป็นเม็ดเงินหลายพันล้านบาท

สำหรับข้อสังเกตที่ว่าโครงการนี้ทำไปก็มีแต่ขาดทุน เพราะเส้นทางที่กำหนดขึ้นมาใหม่ 400 เส้นทางล้วนแต่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ แถมวิ่งอยู่รอบนอกและปริมณฑล และยังกำหนดให้ทุกๆ 3 นาทีต้องมีปล่อยรถ และถ้าไม่ใช่เป็นช่วงผู้โดยสารหนาแน่นก็จะทำให้ขสมก.ต้องวิ่งรถเปล่าไม่มีผู้โดยสารและในที่สุดต้องประสบกับขาดทุน แต่รัฐบาลก็พยายามดันทุรังผลักดันโครงการนี้ให้ได้ และเมื่อขสมก.ไม่สามารถแบกรับภาระขาดทุนจากการให้บริการได้ ในที่สุดจะต้องเลิกกิจการและขายสัมปทานให้กับเอกชนไปดำเนินการแทน

"สมัยก่อนนักการเมืองมีการทุจริตในรูปแบบของการจัดซื้อเพื่อหวังคอมมิชั่น แต่รูปแบบเดี๋ยวนี้เริ่มหาผลประโยชน์ตั้งแต่เริ่มโครงการจนสุดท้ายประสบภาวะขาดทุนและมีกลุ่มทุนทางการเมืองหรือพรรคพวกเตรียมเข้ามาฮุบกิจการ และโละของถูกให้กับกลุ่มทุนที่สนใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าโครงการนี้ทำไปนั้นต้องขาดทุนอย่างแน่นอนแถมมีความพยายามในการรีบเร่งให้ทันในรัฐบาลชุดนี้ (รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์) "แหล่งข่าวกระทรวงคมนาคม ตั้งข้อสังเกต

ปชป.กลับลำหนุนปรับรถเมล์4พันคัน
 
ล่าสุด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม กล่าวเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ถึงกรณีที่นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศเดินหน้าโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มูลค่า 6 หมื่นล้านบาทว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ติดตามข้อมูลและเห็นด้วยในหลักการ แต่วิธีการ และรายละเอียดอาจต้องมีการปรับปรุง จึงยืนยันว่าจะไม่ปล่อยให้มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นในโครงการ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ตนไม่ได้จับมาตั้งแต่ต้น จึงไม่ทราบว่าข้อมูลความไม่โปร่งใสในโครงการที่พรรคเคยตรวจสอบเป็นอย่างไร คงต้องคุยกับพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ดูโครงการนี้มาแต่แรก
"อยากให้ประชาชนจับตาโครงการนี้ โดยผมจะพยายามปรึกษาหารือ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเกิดประโยชน์ต่อประเทศจริงๆ" นายสุเทพ กล่าว 
 
ทางด้านนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในฐานะที่เคยโจมตีโครงการดังกล่าวว่ามีการทุจริต เมื่อครั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ว่า ถ้านำโครงการในลักษณะเดิมเข้ามา ตนก็ไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเช่าต่อวัน วันละ 6,000 - 9,000 บาท หรือเรื่องความไม่โปร่งใส หากเป็นเช่นนั้นตนจะเป็นผู้คัดค้านในที่ประชุม แต่ถ้าทำเรื่องที่ผิดให้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง โปร่งใส มีตัวเลขที่ตรวจสอบได้ และมีความปารถนาดี ก็ทำได้
"รัฐบาลที่ล้มเพราะทุจริตทุกราย ถ้าโครงการไหนส่อไปในทางทุจริต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็แล้วแต่ รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ อย่างรัฐบาลนายสมัคร ที่อนุมัติโครงการร่วมทุน สุดท้ายรัฐมนตรีทุกคนก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ต้องถูกสอบปากคำทั้งหมด ดังนั้นผมจะปล่อยให้มีเรื่องทุจริตในรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ แต่ถ้ามีการแก้ไข ทำให้ถูกต้องก็ยินดีที่จะสนับสนุน" นายถาวร กล่าว 
 
โครงการเช่ารถเมล์ปรับอากาศเอ็นจีวี ซึ่งมีปัญหามาตั้งแต่ต้นและประเมินผลสุดท้ายได้ว่าจะลงเอยด้วยความล้มเหลวขาดทุนหนัก จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่า ข้อมูลที่ค้นพบและความตั้งใจในการเข้าตรวจสอบโครงการดังกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาที่ฝ่ายค้าน จะแปรเปลี่ยนไปหรือไม่หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล โดยอาศัยกลุ่มเพื่อนเนวินให้การสนับสนุนจนสามารถพลิกขั้วการเมืองได้
////////////////////////////
กำลังโหลดความคิดเห็น