โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก
คงต้องบอกว่าดีใจกับชาวสุคิริน จ.นราธิวาส ที่ข้อเรียกร้อง “ไม่เอาผู้หลงผิด” จำนวนถึง 105 คนจาก “โครงการพาคนกลับบ้าน” ที่ถูกยัดเยียดโดย กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้เข้าไปตั้งรกฝังรากในพื้นที่ อ.สุคิริน เวลานี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
ที่เป็นเช่นนี้เพราะความร่วมแรงร่วมใจของคนในพื้นที่ “ยืนหยัดต่อสู้อย่างมีพลัง” จนสุดท้ายสามารถทำให้ผู้ผลักดันโครงการต้องเงี่ยหูฟังและได้ยินเสียงคัดค้านของประชาชน ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่ “ลมพัดใบไม้ไหว” ที่ผ่านไปแล้วผ่านเลย
เมื่อการร่วมตัวของประชาชนในพื้นที่มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ จนสามารถทำได้ดั่งเช่น “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ก็ย่อมทำให้ “เจ้าของความคิด” ต้องพบกับการ “ญะญ่ายพ่ายจะแจ” ไปในที่สุด
ความขัดแย้งหรือความเห็นต่างระหว่าง “กองทัพ” กับ “ประชาชน” ที่ อ.สุคิริน น่าจะเป็นอีก “บทเรียน” ที่สำคัญมากในการทำงานเพื่อดับไฟใต้ให้กับผู้ที่จะมา “เป็นใหญ่ในกองทัพ” ว่า สุดท้ายแล้ววิธีการ “ลับ ลวง พราง” รวมทั้งการสื่อสารข้อมูลที่เป็น “เท็จ” หรือการ “ปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ” ไม่สามารถนำมาใช้ในยุคที่โลกทั้งหมดอยู่ใน “อุ้มมือ” ของผู้คนที่เดี๋ยวนี้ต่างก็ใช้ “โซเชียลมีเดีย” เป็นกันทั้งนั้น
ที่สำคัญยิ่งคือ ชัยชนะทั้งหมดหาได้มาจาก “นักเลงคีย์บอร์ด” ก็หาไม่ เพราะชัยชนะที่ประชาชนได้รับมานั้น มาจาก “ความถูกต้อง” และการ “ร่วมแรงร่วมใจ” จนสามารถสร้างพลังได้ต่างหาก
เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้เกิด “สึนามิทางการเมือง” เมื่อผู้เฒ่าวัย 72 ปีผู้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน สามารถผนึกกำลังพันธมิตรโค่นล้มพรรครัฐบาลที่ได้ครองที่นั่งในสภาต่อเนื่องยาวนานมาเป็นเวลา 60 ปีได้สำเร็จ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากนายกรัฐมนตรี นายนาจิบ ราซัค ได้สร้างเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคอรัปชั่นไว้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์จากการลงทุนในโครงการอภิมหาโปรเจกต์ ซึ่งคนในประเทศมาเลเซียไม่ได้มีส่วนร่วมหรือมีส่วนรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้นนั่นเอง
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศมาเลเซียครั้งนี้มาจาก “ชนชั้นกลาง” ที่เคยออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลนายนาจิบมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล และในการเลือกตั้งครั้งนี้นายนาจิบเองก็เชื่อว่า ด้วยทุนที่มีมหาศาล โดยเฉพาะได้รับการสนับสนุนจาก “เปโตรนาส” เขาจะต้องได้รับชัยชนะอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่ในที่สุดเมื่อ ดร.มหาเธร์สามารถจับมือกับพันธมิตรและเครือข่ายผู้ไม่เอารัฐบาลนายนาจิบได้
สรุปคือ “เงินทุนที่เหนือกว่า” และ “อำนาจรัฐมากล้นในมือ” จนใช้เพื่อสร้างกลโกงและการเอาเปรียบคู่ต่อสู้ได้ต่างๆ นานา แต่สิ่งเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะทำให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเสมอไป
ดังนั้น บทเรียนของ “สึนามิมาเลเซีย” ควรที่ “ท่านผู้นำ” ในปัจจุบันที่กำลังตระเวน “ไล่ดูด” ใครต่อใครเหมือน “ดูดไอติม” ต้อง “สำเหนียก” ไว้บ้าง
เพราะประเทศที่ซื้อเสียงได้ ใช้อำนาจรัฐและกฎหมายในการเอาเปรียบคู่ต่อสู้ได้ง่ายดาย และที่สำคัญสามารถดึงเม็ดเงินจากกลุ่มทุนให้มาสนับสนุนได้มากมาย ซึ่งถือว่าครอบองค์ประกอบทุกประการแบบเดียวกับที่ประเทศมาเลเซีย แต่สุดท้ายก็ต้าน “เสียงของประชาชน” ไม่ได้
นอกจากนี้มีสิ่งที่ต้องให้ความสนใจกับการรีเทิร์นสู่บัลลังก์อำนาจของ ดร.มหาเธร์อย่างมากด้วยก็คือ “สึนามิมาเลเซีย” ที่เกิดขึ้นแล้วจะส่ง “คลื่นยักษ์” มากระทบถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย โดยเฉพาะกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังเกิด “ไฟใต้ระลอกใหม่” ทั้งในประเด็นความมั่นคงและเศรษฐกิจ
กล่าวคือ “นโยบายภูมิปุตรา” ที่ ดร.มหาเธร์สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งครองอำนาจช่วงเกือบ 23 ปีที่แล้ว ซึ่งมีเบื้องหลังที่ “ไม่ค่อยเป็นมิตร” ที่ดีกับไทยอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของความร่วมมือเพื่อการแก้ปัญหาไฟใต้ เพราะมาเลเซียเห็นว่าการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะของไทย หาใช่เรื่องที่กระทบต่อมาเลเซียไม่ ดังนั้นรัฐบาลของ ดร.มหาเธร์จึงปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องกับไฟใต้ของไทยมาโดยตลอด
นับจากนี้ไปจึงต้องจับตาดูว่า หลังการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งนี้ของ ดร.มหาเธร์ เขายังจะให้การสนับสนุน “เวทีพูดคุยสันติสุข” ระหว่างฝ่าย “มาราปาตานี” กับ “รัฐไทย” ที่มี พล.อ.อักษรา เกิดผล เป็นหัวหน้าคณะต่อไปหรือไม่? อย่างไร? และยังจะมีอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติมาเลเซียที่ชื่อ ดาโต๊ะ ซัมซามิน เป็นคีย์หลักในฐานะตัวแทนรัฐบาลมาเลเซียค่อยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกต่อไปอีกไหม?
และที่ต้องจับตากันอย่างไม่ควรกระพริบคือ “นโยบาย” ของ “ซีไอเอ” หรือกองบัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซีย ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการ “อุ้มชู” บรรดาแกนนำและสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่หลบหนีไปจากแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็น “บีอาร์เอ็นฯ” และขบวนการอื่นๆ ก็ตาม นับจากนี้ไปในรัฐบาล ดร.มหาเธร์ชุดใหม่จะมีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่? อย่างไร?
ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะเป็นเพราะกลุ่มมาราปาตานีได้ “สำเหนียก” มานานแล้วว่า การเลือกตั้งบนดินแดนเสือเหลืองนั้น “พรรคฝ่ายค้าน” มีแนวโน้มมากที่จะมีชัยเหนือ “พรรครัฐบาล” จึงทำให้กลุ่มมาราปาตานีไม่กระตือรือร้นในการตอบสนองข้อตกลงสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” หรือ “เซฟตี้โซน” ของฝ่ายรัฐไทย
จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ต้องกลายเป็น “ตัวตลก” ไปแล้ว เพราะมีการให้สัมภาษณ์สื่อว่าจะมีการประกาศพื้นที่เซฟตี้โซนในปลายเดือน เม.ย.2561 อีกทั้งยังคาดหวังว่าการประกาศเซฟตี้โซนจะเป็นก้าวแรกของการ “สร้างสันติสุข” ให้เกิดขึ้นได้จริงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่สุดท้ายกลับไม่เคยมี “เสียงตอบรับ” จากกลุ่มมาราปาตานีในเรื่องนี้แม้แค่ “สักแอะเดียว”
นอกจากการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของ “โฆษก” ที่ไม่ใช่ “แกนนำ” กลุ่มมาราปาตานีที่ว่า การพูดคุยสันติสุขยังไม่มีข้อยุติ และยังไม่ถึงขั้นของการกำหนดพื้นที่เซฟตี้โซน ซึ่งสำหรับ “คนวงใน” ต่างรู้ดีนั่นคือการส่งสัญญาว่า เรื่องเซฟตี้โซนมีอันต้อง “ปิดฉาก” ลงแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา และสิ่งที่ยังเหลือให้ดำเนินอยู่ต่อไปก็คือ รัฐไทยยังเพียรพยายาม “รักษารูปลักษณ์” เพื่อมิให้ใครต่อใครเห็นถึงบาดแผลชนิดที่ต้องบอกว่า “หน้าแหก” ต่างหาก
ดังนั้นการ “ฟื้นคืนชีพ” ในทางการเมืองของ ดร.มหาเธร์ในครั้งนี้ ย่อมมีผลกระทบกับแผ่นดินปลายด้ามขวานของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทย โดยเฉพาะคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะได้เห็น “เดชฤทธิ์ของขิงแก่” ในอีกไม่ช้าไม่นานแล้ว
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และพี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิทย์ วงศ์สุวรรณ รองนายกฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม คงไม่ให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้มากไปกว่า “ยุทธการไล่ดูด” เพื่อปูทางไปสู่การบัลลังก์อำนาจในการเลือกตั้งที่คาดกันว่ากำลังใกล้เข้ามาแล้วตามโรดแมป ( ถ้ามี) ที่วางไว้
สำหรับชะตากรรมของคนบนแผ่นดินปลายด้ามขวานที่ผ่านมาเคยกล่าวกันว่า อยู่ในมือของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. แต่ในเวลานี้ต่างก็ตกอยู่ในห้วงอาการ “สับสนอลหม่าน” กับการนับถอยหลังสู้การเลือกตั้ง
ดังนั้น ณ วันนี้ชีวิตของคนปลายด้ามขวานจึงกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า ถึงเวลาที่ต้องเป็นเรื่องของ “ตัวใครตัวมัน” ก็แล้วกันนะพี่น้อง