ศูนย์ข่าวภูเก็ต - อบต.เชิงทะเล พร้อมที่ดินถลาง จ.ภูเก็ต ลงพื้นที่รังวัดแนวเขตที่ดิน 178 ไร่ หาดเลพัง-ลายัน หลังศาลตัดสินให้ตกเป็นที่สาธารณประโยชน์ เพื่อทำบัญชีแนบท้ายขอประกาศเป็นที่ดิน นสล.ขณะที่ผู้ครอบครองที่ดินปัจจุบันยื่นหนังสือคัดค้านอ้างมีเอกสารสิทธิ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ ( 8 ม.ค.) นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล (อบต.เชิงทะเล) อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วย นายยงยุทธ กาญจนานุรักษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง พ.ท.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม รอง ผบ.ร 25 พัน 2 ชุดรักษาความสงบ จ.ภูเก็ต นายจิรยุทธ์ จิรสุนทรกุล กำนันตำบลเชิงทะเล เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอถลาง และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่
นำกำลังเจ้าหน้าที่รังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง เจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 5 ทัพเรือภาคที่ 3 กรมป่าไม้ ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล และเจ้าหน้าที่ อบต.เชิงทะเล ลงพื้นที่บริเวณหาดเลพัง-ลายัน เพื่อรังวัดแนวเขตที่ดิน แปลงที่ดินเนื้อที่ 178 ไร่ มูลค่าร่วม 14,000 ล้านบาท หลังศาลมีคำพิพากษาให้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ และก่อนหน้านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการนำป้ายประกาศเตือนให้ผู้ที่ครอบครองพื้นที่ดังกล่าวทำการรื้ออาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไปจากพื้นที่เพื่อจะนำมาพัฒนาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการรังวัด ได้มี นายกนกพล สมรักษ์ อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงร้านโทนี่เรสทัวรองส์ เนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลจังหวัดภูเก็ต ตัดสินให้เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ พร้อมทนายความ ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการรังวัดที่ดิน ซึ่งเนื้อหาบางส่วนในหนังสือคัดค้าน สรุปว่า ที่ดินแปลงนี้มีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 7 และ 17 เป็นการแสดงสิทธิครอบครองมาแต่เดิม ไม่ใช่ที่สาธารณะ เช่นเดียวกับผู้ครอบครองที่ดินอีกรายที่มายื่นหนังสือคัดค้านการการรังวัดที่ดินเช่นกัน โดยระบุว่า ที่ดินที่ตนเองครอบครองเป็นการครอบครองตามเอกสารสิทธิ และตนไม่ใช่ 6 ราย ที่ถูกศาลตัดสินให้ออกจากพื้นที่
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการยื่นหนังสือคัดค้าน ทางเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงทำความเข้าใจถึงการรังวัดแนวเขตในครั้งนี้จะมีการรังวัดในส่วนของเขตพื้นที่รอบนอก จะไม่เข้าไปในพื้นที่ที่มีการอ้างเอกสารสิทธิครอบครองแต่อย่างใด หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้รังวัดแนวเขตที่ดินดังกล่าว และมีการนำหลักเขตมาปักจนเสร็จสินกระบวนการ
นายยงยุทธ กาญจนานุรักษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง กล่าวถึงการลงรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าว ว่า เป็นการรังวัดเพื่อทำแผนที่ประกอบการทำพื้นที่สงวนหวงห้ามเนื้อที่ 178 ไร่ ตามคำพิพากษาของศาลของศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อประกอบการพิจารณาเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ความเห็นชอบ และส่งเรื่องให้คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติอนุมัติต่อไป
โดยการอนุมัติที่ดินสงวนหวงห้ามแปลงนี้ต้องอาศัยอำนาจตามระเบียบคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2529 โดยในขั้นตอนที่ 10 และ 11 นั้นต้องมีแผนที่แนบท้ายเพื่อให้ทราบอาณาเขตที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร เมื่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดิน เห็นชอบก็จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา สงวนหวงห้ามเพื่อประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป
ส่วนกรณีที่ยังมีประชาชนบางรายยืนยันการครอบครองอยู่นั้น นายยงยุทธ กล่าวว่า สำหรับที่ดินแปลงนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นที่ดินของรัฐ โดยให้โจทก์ 6 คน และบริวาร รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไป ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ขณะที่ นายมาแอน สำราญ นายก อบต.เชิงทะเล กล่าวเสริมว่า กรณีที่มีผู้ครอบครองบางรายยังคงอยู่ในพื้นที่นั้นคงต้องไปดูในคำพิพากษา ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนก็มีการระบุบทลงโทษไว้เช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีหมายบังคับคดีอีก 1 ชุด มาปิดประกาศเพื่อแจ้งให้ทราบ ซึ่งหลังจากมีการปิดหมายบังคับคดีหากยังมีการตรวจสอบพบว่ามีการดื้อดึงครอบครองพื้นที่อยู่อีกก็จะมีการประชุมเพื่อดำเนินการในขั้นตอนของการใช้หมายบังคับคดีภายใน 30 วัน จากนั้นก็จะมีการดำเนินการขั้นเด็ดขาดเพื่อนำเอาที่ดินแปลงดังกล่าวกลับมาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ ( 8 ม.ค.) นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล (อบต.เชิงทะเล) อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมด้วย นายยงยุทธ กาญจนานุรักษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง พ.ท.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม รอง ผบ.ร 25 พัน 2 ชุดรักษาความสงบ จ.ภูเก็ต นายจิรยุทธ์ จิรสุนทรกุล กำนันตำบลเชิงทะเล เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอถลาง และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่
นำกำลังเจ้าหน้าที่รังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง เจ้าหน้าที่ทหารจากกองพลทหารราบที่ 5 ทัพเรือภาคที่ 3 กรมป่าไม้ ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชิงทะเล และเจ้าหน้าที่ อบต.เชิงทะเล ลงพื้นที่บริเวณหาดเลพัง-ลายัน เพื่อรังวัดแนวเขตที่ดิน แปลงที่ดินเนื้อที่ 178 ไร่ มูลค่าร่วม 14,000 ล้านบาท หลังศาลมีคำพิพากษาให้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ และก่อนหน้านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการนำป้ายประกาศเตือนให้ผู้ที่ครอบครองพื้นที่ดังกล่าวทำการรื้ออาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไปจากพื้นที่เพื่อจะนำมาพัฒนาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการรังวัด ได้มี นายกนกพล สมรักษ์ อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงร้านโทนี่เรสทัวรองส์ เนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในศาลจังหวัดภูเก็ต ตัดสินให้เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ พร้อมทนายความ ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการรังวัดที่ดิน ซึ่งเนื้อหาบางส่วนในหนังสือคัดค้าน สรุปว่า ที่ดินแปลงนี้มีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 7 และ 17 เป็นการแสดงสิทธิครอบครองมาแต่เดิม ไม่ใช่ที่สาธารณะ เช่นเดียวกับผู้ครอบครองที่ดินอีกรายที่มายื่นหนังสือคัดค้านการการรังวัดที่ดินเช่นกัน โดยระบุว่า ที่ดินที่ตนเองครอบครองเป็นการครอบครองตามเอกสารสิทธิ และตนไม่ใช่ 6 ราย ที่ถูกศาลตัดสินให้ออกจากพื้นที่
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการยื่นหนังสือคัดค้าน ทางเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงทำความเข้าใจถึงการรังวัดแนวเขตในครั้งนี้จะมีการรังวัดในส่วนของเขตพื้นที่รอบนอก จะไม่เข้าไปในพื้นที่ที่มีการอ้างเอกสารสิทธิครอบครองแต่อย่างใด หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่จึงได้รังวัดแนวเขตที่ดินดังกล่าว และมีการนำหลักเขตมาปักจนเสร็จสินกระบวนการ
นายยงยุทธ กาญจนานุรักษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต สาขาถลาง กล่าวถึงการลงรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าว ว่า เป็นการรังวัดเพื่อทำแผนที่ประกอบการทำพื้นที่สงวนหวงห้ามเนื้อที่ 178 ไร่ ตามคำพิพากษาของศาลของศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อประกอบการพิจารณาเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ความเห็นชอบ และส่งเรื่องให้คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติอนุมัติต่อไป
โดยการอนุมัติที่ดินสงวนหวงห้ามแปลงนี้ต้องอาศัยอำนาจตามระเบียบคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2529 โดยในขั้นตอนที่ 10 และ 11 นั้นต้องมีแผนที่แนบท้ายเพื่อให้ทราบอาณาเขตที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร เมื่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดิน เห็นชอบก็จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา สงวนหวงห้ามเพื่อประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป
ส่วนกรณีที่ยังมีประชาชนบางรายยืนยันการครอบครองอยู่นั้น นายยงยุทธ กล่าวว่า สำหรับที่ดินแปลงนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นที่ดินของรัฐ โดยให้โจทก์ 6 คน และบริวาร รื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไป ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ขณะที่ นายมาแอน สำราญ นายก อบต.เชิงทะเล กล่าวเสริมว่า กรณีที่มีผู้ครอบครองบางรายยังคงอยู่ในพื้นที่นั้นคงต้องไปดูในคำพิพากษา ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนก็มีการระบุบทลงโทษไว้เช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีหมายบังคับคดีอีก 1 ชุด มาปิดประกาศเพื่อแจ้งให้ทราบ ซึ่งหลังจากมีการปิดหมายบังคับคดีหากยังมีการตรวจสอบพบว่ามีการดื้อดึงครอบครองพื้นที่อยู่อีกก็จะมีการประชุมเพื่อดำเนินการในขั้นตอนของการใช้หมายบังคับคดีภายใน 30 วัน จากนั้นก็จะมีการดำเนินการขั้นเด็ดขาดเพื่อนำเอาที่ดินแปลงดังกล่าวกลับมาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป