ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ประกอบการสถานบันเทิงยันปัญหาส่วยภูเก็ตย้ายตำรวจทั้งจังหวัดก็ปราบไม่ได้ จี้ขยายเวลาเปิดถึงตี 4 ปิดช่องว่างของกฎหมายที่เปิดช่องให้ทั้งผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่รัฐสมยอมกัน ระบุที่ทำอยู่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ รับรองไม่จบแน่
จากกรณีการร้องเรียนเรื่องการเรียกเก็บส่วยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสถานประกอบการหนึ่งที่จะต้องจ่ายส่วยให้แก่หน่วยงานต่างๆ ก็คือ สถานบันเทิง เพื่อแลกต่อการเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง กล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่อยากพูดเรื่องส่วยแล้ว เพราะมีการพูดกันมาเยอะ ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมายาวนาน
สิ่งที่จะทำให้ปัญหาส่วยหมดไป คือ เรื่องของการแก้กฎหมาย ทั้งเรื่องของเวลาปิดและเรื่องของโซนนิ่ง โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ป่าตอง ควรจะเปิดได้ถึงตี 4 ที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการได้ออกมาเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทำให้เกิดช่องว่างจนเป็นเหตุให้มีการเก็บส่วย จ่ายส่วยเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการสมยอมของทั้งคนจ่าย และคนเก็บ เพราะเป็นสิ่งที่วินวินทั้งคู่ คนจ่ายก็ต้องจ่ายเพื่อให้สามารถเปิดเกินเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนคนรับก็ต้องการหารายได้ และเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย แต่การเรียกเก็บส่วยในจังหวัดภูเก็ต ไม่ได้มีเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่เท่านั้น ยังมีหน่วยงานจากที่อื่น หน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ที่มีอำนาจ และอาศัยช่องว่างของกฎหมายลงมาเก็บอีกจำนวนมาก
นายวีรวิชญ์ ยังได้กล่าวว่า การจะแก้ปัญหาเรื่องส่วยสถานบันเทิงแก้ไม่ยาก แต่ที่ทางหน่วยงานรัฐทำอยู่ในขณะนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ต่อให้มีการย้ายตำรวจออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด แล้วก็ย้ายคนอื่นเข้ามาก็เป็นปัญหาเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกคนที่เก็บส่วยไม่ได้มีเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ แต่ยังมีหน่วยงานจากที่อื่นเข้ามาเรียกเก็บด้วย การสั่งย้ายผู้กำกับป่าตอง และตำรวจคนอื่นๆ เป็นการแก้ปัญหาส่วยภูเก็ตที่ปลายเหตุ เสนอให้ตำรวจ และฝ่ายที่เกี่ยวข้องแก้กฎหมายเรื่องเวลาเปิด-ปิดสถานบริการ และเพิ่มบทลงโทษคนเก็บส่วยให้มากขึ้น
เพราะฉะนั้น การแก้กฎหมายจึงเป็นการแก้ที่ถูกจุด และเห็นผลอย่างที่สุด เพราะถ้ามีการขยายเวลาออกไปก็จะทำให้ไม่มีช่องว่างที่จะให้ผู้ที่ถือกฎหมายมาเรียกเก็บส่วยได้ เพราะทุกคนสามารถเปิดได้ตามที่กำหมายกำหนด ซึ่งตรงกับการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยว ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะป่าตอง เป็นแห่งท่องเที่ยวที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ การปิดตี 1 ถือว่าเป็นการไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยวเที่ยงคืนตี 1 นักท่องเที่ยวเพิ่งดินเนอร์เสร็จ จะออกมาเที่ยวสถานบันเทิงก็เป็นเวลาปิดแล้ว ซึ่งปัญหานี้นอกจากจะกระทบต่อนักท่องเที่ยวแล้ว ยังกระทบต่อผู้ประกอบการ และธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย และทำให้เศรษฐกิจไม่ดี และสูญเสียรายได้มหาศาล
เช่นเดียวกับ นายชัยรัตน์ สุขบาล ผู้ประกอบการบันเทิงในซอยบางลา กล่าวว่า หลังจากที่มีการออกมาแฉเรื่องการเก็บส่วยในพื้นที่ป่าตอง จนเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ไม่เห็นตำรวจวุ่นวายเหมือนเดิม สำหรับการแก้ไขปัญหาส่วยนั้นจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายไปพร้อมๆ กัน บางครั้งกฎหมายล้าหลังเกินทำให้เกิดช่องว่างในการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เช่น เมืองท่องเที่ยวอย่างป่าตอง สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลอย่างมหาศาล แต่สถานบันเทิงกลับปิดเพียงแค่ตี 2 ผู้มีอำนาจในการออกกฎหมายจะต้องแก้กฎกระทรวง แก้กฎหมาย ให้เดินควบคู่กันไปได้
เช่น ร้านไหนเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ควรจะมีการเรียกเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลก็ได้เอาเงินภาษีส่วนนี้ไปบริหารประเทศได้มากยิ่งขึ้นและผู้ประกอบการสถานบันเทิงร้านไหนปล่อยให้มีเด็กเข้าไปใช้บริการ ปล่อยให้มีการนำอาวุธปืนเข้าไปในสถานบันเทิง มีการทะเลาะวิวาทก็ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้บังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัด หรือปิดบริการได้เลย ถ้าทำได้แบบนี้ปัญหาการเรียกเก็บส่วยสามารถทำได้อย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต แต่งตั้งให้ พ.ต.อ.หม่อมหลวงพัฒนจักร จักรพันธ์ มารักษาราชการแทนผู้กำกับ สภ.ป่าตอง ในช่วงนี้ นายชัยรัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดคิดของใครหลายๆ คน เพราะภาพลักษณ์ของ ผกก.ท่านนี้ เป็นภาพลักษณ์ที่อ่อนโยน เข้ากับประชาชนได้ทุกระดับ ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต คงจะมาเอาขัดตาทัพไปก่อนเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ และเชื่อว่า ขณะนี้คงไม่มีนายตำรวจท่านใดอยากลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่ป่าตอง เพราะเป็นพื้นที่ที่กำลังมีปัญหา และอยู่ในประเด็นร้อน
จากกรณีการร้องเรียนเรื่องการเรียกเก็บส่วยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งสถานประกอบการหนึ่งที่จะต้องจ่ายส่วยให้แก่หน่วยงานต่างๆ ก็คือ สถานบันเทิง เพื่อแลกต่อการเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง กล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่อยากพูดเรื่องส่วยแล้ว เพราะมีการพูดกันมาเยอะ ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมายาวนาน
สิ่งที่จะทำให้ปัญหาส่วยหมดไป คือ เรื่องของการแก้กฎหมาย ทั้งเรื่องของเวลาปิดและเรื่องของโซนนิ่ง โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ป่าตอง ควรจะเปิดได้ถึงตี 4 ที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการได้ออกมาเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทำให้เกิดช่องว่างจนเป็นเหตุให้มีการเก็บส่วย จ่ายส่วยเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการสมยอมของทั้งคนจ่าย และคนเก็บ เพราะเป็นสิ่งที่วินวินทั้งคู่ คนจ่ายก็ต้องจ่ายเพื่อให้สามารถเปิดเกินเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนคนรับก็ต้องการหารายได้ และเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย แต่การเรียกเก็บส่วยในจังหวัดภูเก็ต ไม่ได้มีเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่เท่านั้น ยังมีหน่วยงานจากที่อื่น หน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ที่มีอำนาจ และอาศัยช่องว่างของกฎหมายลงมาเก็บอีกจำนวนมาก
นายวีรวิชญ์ ยังได้กล่าวว่า การจะแก้ปัญหาเรื่องส่วยสถานบันเทิงแก้ไม่ยาก แต่ที่ทางหน่วยงานรัฐทำอยู่ในขณะนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ต่อให้มีการย้ายตำรวจออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด แล้วก็ย้ายคนอื่นเข้ามาก็เป็นปัญหาเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกคนที่เก็บส่วยไม่ได้มีเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ แต่ยังมีหน่วยงานจากที่อื่นเข้ามาเรียกเก็บด้วย การสั่งย้ายผู้กำกับป่าตอง และตำรวจคนอื่นๆ เป็นการแก้ปัญหาส่วยภูเก็ตที่ปลายเหตุ เสนอให้ตำรวจ และฝ่ายที่เกี่ยวข้องแก้กฎหมายเรื่องเวลาเปิด-ปิดสถานบริการ และเพิ่มบทลงโทษคนเก็บส่วยให้มากขึ้น
เพราะฉะนั้น การแก้กฎหมายจึงเป็นการแก้ที่ถูกจุด และเห็นผลอย่างที่สุด เพราะถ้ามีการขยายเวลาออกไปก็จะทำให้ไม่มีช่องว่างที่จะให้ผู้ที่ถือกฎหมายมาเรียกเก็บส่วยได้ เพราะทุกคนสามารถเปิดได้ตามที่กำหมายกำหนด ซึ่งตรงกับการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยว ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะป่าตอง เป็นแห่งท่องเที่ยวที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ การปิดตี 1 ถือว่าเป็นการไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยวเที่ยงคืนตี 1 นักท่องเที่ยวเพิ่งดินเนอร์เสร็จ จะออกมาเที่ยวสถานบันเทิงก็เป็นเวลาปิดแล้ว ซึ่งปัญหานี้นอกจากจะกระทบต่อนักท่องเที่ยวแล้ว ยังกระทบต่อผู้ประกอบการ และธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย และทำให้เศรษฐกิจไม่ดี และสูญเสียรายได้มหาศาล
เช่นเดียวกับ นายชัยรัตน์ สุขบาล ผู้ประกอบการบันเทิงในซอยบางลา กล่าวว่า หลังจากที่มีการออกมาแฉเรื่องการเก็บส่วยในพื้นที่ป่าตอง จนเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ไม่เห็นตำรวจวุ่นวายเหมือนเดิม สำหรับการแก้ไขปัญหาส่วยนั้นจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายไปพร้อมๆ กัน บางครั้งกฎหมายล้าหลังเกินทำให้เกิดช่องว่างในการเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เช่น เมืองท่องเที่ยวอย่างป่าตอง สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลอย่างมหาศาล แต่สถานบันเทิงกลับปิดเพียงแค่ตี 2 ผู้มีอำนาจในการออกกฎหมายจะต้องแก้กฎกระทรวง แก้กฎหมาย ให้เดินควบคู่กันไปได้
เช่น ร้านไหนเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ควรจะมีการเรียกเก็บภาษีให้มากยิ่งขึ้น ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่ที่รัฐบาล รัฐบาลก็ได้เอาเงินภาษีส่วนนี้ไปบริหารประเทศได้มากยิ่งขึ้นและผู้ประกอบการสถานบันเทิงร้านไหนปล่อยให้มีเด็กเข้าไปใช้บริการ ปล่อยให้มีการนำอาวุธปืนเข้าไปในสถานบันเทิง มีการทะเลาะวิวาทก็ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้บังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัด หรือปิดบริการได้เลย ถ้าทำได้แบบนี้ปัญหาการเรียกเก็บส่วยสามารถทำได้อย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต แต่งตั้งให้ พ.ต.อ.หม่อมหลวงพัฒนจักร จักรพันธ์ มารักษาราชการแทนผู้กำกับ สภ.ป่าตอง ในช่วงนี้ นายชัยรัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดคิดของใครหลายๆ คน เพราะภาพลักษณ์ของ ผกก.ท่านนี้ เป็นภาพลักษณ์ที่อ่อนโยน เข้ากับประชาชนได้ทุกระดับ ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต คงจะมาเอาขัดตาทัพไปก่อนเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ และเชื่อว่า ขณะนี้คงไม่มีนายตำรวจท่านใดอยากลงไปปฏิบัติหน้าที่ที่ป่าตอง เพราะเป็นพื้นที่ที่กำลังมีปัญหา และอยู่ในประเด็นร้อน