ชุมพร - ชาวบ้านเห็นด้วยทหารจัดระเบียบเกาะพยาม พร้อมสั่ง อบต.ย้ายที่ทำงานจากแผ่นดินใหญ่กลับบริการชาวบ้านในท้องที่ตามปกติแล้ว ส่วนการต่อต้านไม่ให้สร้างโรงพักไม่ใช่กลุ่มผู้มีอิทธิพล แต่ไม่เห็นด้วยยึดที่โรงเรียนสร้างเท่านั้น
จากกรณี พล.ต.อุดมวิทย์ อโนวัลย์ ผบ.มทบ.44/ผอ.รมน.ภาค 4 สย.1 รับผิดชอบพื้นที่ชุมพร-ระนอง สั่งการให้ พ.ท.ดุสิต เกสรแก้ว หน.ฉก.บก.ควบคุม บก.ควบคุม มทบ.44 ลงพื้นที่เกาะพยาม “มัลดีฟส์เมืองไทย” หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง ตรวจสอบการสร้างรีสอร์ต บังกะโลนับร้อยแห่งอยู่ในเขต ส.ป.ก. ป่าสงวน และผู้มีอิทธิพลนำที่หลวงไปขายแก่นายทุน นอกจากนั้น ยังพบว่าที่ทำการ อบต.เกาะพยาม สร้างกว่า 4 ล้านบาท ถูกปล่อยทิ้งร้างมานานหลายปีเนื่องจากผู้บริหารย้ายขึ้นไปเช่าอาคารทำงานอยู่บนฝั่งแผ่นดินใหญ่ในตัวเมืองระนอง ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากการติดต่อราชการ จึงใช้อำนาจ คสช.สั่งการให้ย้ายกลับเข้าไปทำงานรับใช้ประชาชนในท้องที่เหมือนเดิม มิฉะนั้น จะถูกยุบ และยังพบว่าบนเกาะดังกล่าวไม่มีหน่วยงานรัฐทางปกครอง และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่บนเกาะแห่งนี้เลย โดยที่ผ่านมาได้มีกลุ่มบุคคลรวมตัวต่อต้านไม่ให้มีการสร้างสถานีตำรวจบนเกาะพยามแห่งนี้ ทำให้อำนาจรัฐเข้าไม่ถึง ส่งผลให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าครอบงำบนเกาะพยาม จนเกิดปัญหาตามมามากมาย ตามที่ทีมข่าวภูมิภาคนำเสนอนั้น
วันนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นายชนะพล นพมาศ หรือ “ติ๊ก เกาะพยาม” กล่าวว่า ตนยินดีด้วยที่ทางทหารเข้ามาจัดระเบียบบนเกาะพยามแห่งนี้ให้เกิดความเป็นธรรมขึ้น รวมถึงการสั่งให้ย้ายที่ทำการ อบต.เกาะพยาม จากแผ่นดินใหญ่กลับมาทำงานในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.59 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านไปติดต่อราชการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ต้องไปติดต่อกับ อบต.เกาะพยาม ที่อยู่บนฝั่ง เสียค่าเรือโดยสารไปกลับกว่า 500 บาท เพื่อไปติดต่อราชการเพียงไม่กี่นาที และเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 5-10 บาทเท่านั้น แต่กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางกว่า 500 บาทต่อคน
นายชนะพล กล่าวต่อว่า ส่วนที่จะมีการสร้างสถานีตำรวจบนเกาะพยาม แล้วมีการต่อต้านนั้น ตนในฐานะตัวแทนชาวบ้านที่มีการต่อต้านเรื่องนี้ตนไม่ใช้ผู้มีอิทธิพลตามที่มีการปล่อยข่าวกันแต่อย่างใด เพียงแต่ทางตำรวจจะเอาพื้นที่โรงเรียนบ้านเกาะพยาม ที่ติดกับถนนมาสร้างเป็นโรงพัก แต่ตน และชาวบ้านไม่เห็นด้วยเท่านั้น เพราะโรงเรียนมีพื้นที่น้อยอยู่แล้ว ปัจจุบันสอนในระดับชั้นประถมศึกษา ซึ่งอนาคตจะมีนักเรียนเพิ่มมากขึ้น และต้องขยายเป็นระดับมัธยมศึกษาจะไม่สามารถขยายพื้นที่ได้ จะทำให้ลูกหลานต้องลำบากไปเรียนหนังสือตามโรงเรียนห่างไกลในตัวเมืองระนอง
ส่วนสถานีตำรวจจะสร้างบนเกาะพยาม ชาวบ้านทุกคนเห็นด้วย แต่ต้องไปหาที่สร้างแห่งใหม่ ไม่ใช่มาขอใช้พื้นที่ของโรงเรียน ซึ่งยังมีพื้นที่อีกมากมายที่เป็นที่ดินของรัฐแต่ทำไมไปสร้าง แล้วทำไมจะต้องมาใช้พื้นที่ของโรงเรียน จึงขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจเหตุผลด้วย เพราะพวกเราเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช้ผู้มีอิทธิพลตามที่ปล่อยข่าวกัน
จากกรณี พล.ต.อุดมวิทย์ อโนวัลย์ ผบ.มทบ.44/ผอ.รมน.ภาค 4 สย.1 รับผิดชอบพื้นที่ชุมพร-ระนอง สั่งการให้ พ.ท.ดุสิต เกสรแก้ว หน.ฉก.บก.ควบคุม บก.ควบคุม มทบ.44 ลงพื้นที่เกาะพยาม “มัลดีฟส์เมืองไทย” หมู่ที่ 1 ตำบลเกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง ตรวจสอบการสร้างรีสอร์ต บังกะโลนับร้อยแห่งอยู่ในเขต ส.ป.ก. ป่าสงวน และผู้มีอิทธิพลนำที่หลวงไปขายแก่นายทุน นอกจากนั้น ยังพบว่าที่ทำการ อบต.เกาะพยาม สร้างกว่า 4 ล้านบาท ถูกปล่อยทิ้งร้างมานานหลายปีเนื่องจากผู้บริหารย้ายขึ้นไปเช่าอาคารทำงานอยู่บนฝั่งแผ่นดินใหญ่ในตัวเมืองระนอง ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากการติดต่อราชการ จึงใช้อำนาจ คสช.สั่งการให้ย้ายกลับเข้าไปทำงานรับใช้ประชาชนในท้องที่เหมือนเดิม มิฉะนั้น จะถูกยุบ และยังพบว่าบนเกาะดังกล่าวไม่มีหน่วยงานรัฐทางปกครอง และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่บนเกาะแห่งนี้เลย โดยที่ผ่านมาได้มีกลุ่มบุคคลรวมตัวต่อต้านไม่ให้มีการสร้างสถานีตำรวจบนเกาะพยามแห่งนี้ ทำให้อำนาจรัฐเข้าไม่ถึง ส่งผลให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าครอบงำบนเกาะพยาม จนเกิดปัญหาตามมามากมาย ตามที่ทีมข่าวภูมิภาคนำเสนอนั้น
วันนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว นายชนะพล นพมาศ หรือ “ติ๊ก เกาะพยาม” กล่าวว่า ตนยินดีด้วยที่ทางทหารเข้ามาจัดระเบียบบนเกาะพยามแห่งนี้ให้เกิดความเป็นธรรมขึ้น รวมถึงการสั่งให้ย้ายที่ทำการ อบต.เกาะพยาม จากแผ่นดินใหญ่กลับมาทำงานในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.59 ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านไปติดต่อราชการได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ต้องไปติดต่อกับ อบต.เกาะพยาม ที่อยู่บนฝั่ง เสียค่าเรือโดยสารไปกลับกว่า 500 บาท เพื่อไปติดต่อราชการเพียงไม่กี่นาที และเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 5-10 บาทเท่านั้น แต่กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางกว่า 500 บาทต่อคน
นายชนะพล กล่าวต่อว่า ส่วนที่จะมีการสร้างสถานีตำรวจบนเกาะพยาม แล้วมีการต่อต้านนั้น ตนในฐานะตัวแทนชาวบ้านที่มีการต่อต้านเรื่องนี้ตนไม่ใช้ผู้มีอิทธิพลตามที่มีการปล่อยข่าวกันแต่อย่างใด เพียงแต่ทางตำรวจจะเอาพื้นที่โรงเรียนบ้านเกาะพยาม ที่ติดกับถนนมาสร้างเป็นโรงพัก แต่ตน และชาวบ้านไม่เห็นด้วยเท่านั้น เพราะโรงเรียนมีพื้นที่น้อยอยู่แล้ว ปัจจุบันสอนในระดับชั้นประถมศึกษา ซึ่งอนาคตจะมีนักเรียนเพิ่มมากขึ้น และต้องขยายเป็นระดับมัธยมศึกษาจะไม่สามารถขยายพื้นที่ได้ จะทำให้ลูกหลานต้องลำบากไปเรียนหนังสือตามโรงเรียนห่างไกลในตัวเมืองระนอง
ส่วนสถานีตำรวจจะสร้างบนเกาะพยาม ชาวบ้านทุกคนเห็นด้วย แต่ต้องไปหาที่สร้างแห่งใหม่ ไม่ใช่มาขอใช้พื้นที่ของโรงเรียน ซึ่งยังมีพื้นที่อีกมากมายที่เป็นที่ดินของรัฐแต่ทำไมไปสร้าง แล้วทำไมจะต้องมาใช้พื้นที่ของโรงเรียน จึงขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจเหตุผลด้วย เพราะพวกเราเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช้ผู้มีอิทธิพลตามที่ปล่อยข่าวกัน
