xs
xsm
sm
md
lg

ไปกันยัง! “Bing Su Shi” ร้านอาหารคาว-หวานผสาน 2 วัฒนธรรม “เกาหลี-ญี่ปุ่น” ที่หาดใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
ท่ามกลางภาวะอากาศที่แม้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสแม้ละอองไอหนาว จะว่าร้อนก็ไม่เท่าไหร่ เพราะมีสายฝนโปรยปรายให้คลายดับให้หายอบอ้าวอยู่บ่อยๆ ความจริงแล้วก็ไม่เห็นจะแปลกใจอะไรเลย สำหรับผืนแผ่นดินด้ามขวาน ซึ่งก็ต้องนับว่าเข้าใกล้จะส่วนปลายๆ ด้ามขวานทองของไทยไปแล้วด้วยนั้น

ท่ามกลางบรรยากาศเช่นว่านี้ “MGR Online ภาคใต้” เลยอยากจะพาไปลองลิ้มชิมรสชาติอาหารคาวหวาน เพื่อให้ได้ความรู้สึกทั้งหนาวเล็กๆ บ้าง รู้สึกอบอุ่นหน่อยๆ บ้าง ตามแต่ใจใครจะเลือกสรร อันจัดเป็นอาหารคาวหวานสัญชาติต่างด้าว โดยยังคงไว้ในรูปแบบของภูมิปัญญาตะวันออก ทว่า เป็นการผสมผสานของ 2 วัฒนธรรมการปรุงหลักของผู้คนในพื้นทวีปใหญ่แห่งเอเชียเรา คือ วัฒนธรรมอาหารเกาหลี กับวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น
 

 
“Bing Su Shi” หรือ “บิงซูชิ” ที่เวลาออกเสียงแบบไทยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกขัดเขินอะไรเลย

ร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่ล่าสุดบน ถ.ธรรมนูญวิถี เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หรือถ้าตั้งหลักจากย่านดาวน์ทาวน์ของเมืองหาดใหญ่ ก็พุ่งตรงไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.หาดใหญ่) ตั้งอยู่ก่อนถึงสามแยกถนนคลองเรียน 2 เพียงนิดเดียว หรืออาจจะจัดว่ากึงกลางกลางระหว่างย่านดาวน์ทาวน์ กับรั้วมหา’ลัยนั่นเอง

บอกได้เลยว่าร้านนี้มีแต่ของกินดีงามพระรามแปดทั้งนั้น ยิ่งถ้าพิจารณาจากการตั้งชื่อร้านสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า เจ้าของร้านเตรียมอาหารไว้เสิร์ฟให้ลูกค้าสไตล์ไหน เพราะจริงๆ แล้วชื่อร้านนี้บอกชัดว่าเป็นการผสมผสานของ 2 สไตล์อาหาร คือ “บิงซู” กับ “ซูชิ” ที่ว่ามีทั้งอาหารคาว และหวานก็สามารถแบ่งแยกไว้ชัดเจนตามนี้คือ

ในส่วนของ “อาหารคาว” จะเป็นอาหารขึ้นชื่อ “สไตล์ญี่ปุ่น” แต่สำหรับในส่วนของ “อาหารหวาน” ก็จะเป็นอาหารลือชา “สไตล์เกาหลี” นั่นเอง และเมื่อนำมารวมไว้ให้บริการในร้านเดียวกัน อาหารหวานคาวที่ว่านี้ก็ถือว่า เป็นความลงตัวของความอิ่มอร่อยในมื้ออาหารหนึ่งๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว
 

 
เรามาดูบรรยากาศของร้านกันก่อน ที่หน้าร้านด้านนอกห้องกระจกจะมีโต๊ะเล็กๆ วางไว้ต้อนรับแบบเอาต์ดอร์ 1 ชุด สำหรับผู้ชื่นชอบนั่งลมรับลมชิลชิล ส่วนภายในห้องกระจกของร้านติดแอร์เย็นฉ่ำ มีการออกแบบตกแต่งสไตล์ค่อนไปทางญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี สังเกตได้จากสิ่งของที่นำมาตกแต่ง โทนสีออกโทนอ่อนๆ ที่ค่อนข้างดูแล้วสบายตา มี 5-6 โต๊ะ ไว้บริการจึงทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเกินไป

ที่นี้มาลองชิมอาหารหลักของร้านกันเลย เริ่มที่ของคาวสไตล์ญี่ปุ่นก่อนล่ะกัน เมนูแนะนำที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน คือ ร้านนี้จะทำซูชิในรูปแบบเค้ก จึงเรียกว่า “ซูชิเค้ก” ซึ่งก็มีนัยที่ต้องการบอกว่า แม้จะเป็นอาหารคาว แต่ก็ซ่อนความหวานมันไว้ในนั้นด้วย มีมากมายหลากหลายหน้าให้เลือกชิมลิ้มลอง หรือใครจะใช้แทนเค้กวันเกิดมอบให้ใครก็ไม่ผิดกติกา
 

 
“Salmon Cake” หรือ “แซลมอนเค้ก” เมนูสไตล์ญี่ปุ่นนี้จัดว่าเด็ดสุด ยอดฮิตสุดๆ ของทางร้านเลยทีเดียว โดยจะใช้ปลาแซลมอนจัดว่าต้องสดใหม่เพราะต้องไปรับจากสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ในทุกๆ วัน การันตีได้จากวันไหนไม่มีปลาแซลมอนจากสนามบิน วันนั้นไม่มีการเปิดร้านให้บริการ
 

 
ต่อด้วยเมนูสไตล์ญี่ปุ่น “Salmon & Tuna Cake with Avocado” หรือ “ซูชิเค้กแซลมอนและทูน่า สอดไส้อโวคาโด้” ด้านบนซูชิอัดแน่นไปด้วยเนื้อปลาแซลมอน และทูน่าแบบเน้นๆ แถมยังมีไข่ปลาแซลมอนโรยรอบๆ ซูชิเค้ก ไม่รู้ว่าอร่อยอย่างไรก็ลองจินตนาการว่า ได้กินซูชิเค้กนี้แล้วมีไข่ปลาแซลมอนเข้าไปแตกตัวในปากดูล่ะกัน
 

 
แล้วสลับไปที่เมนูสไตล์ญี่ปุ่น คือ “ยำแซลมอน” โดยการนำเนื้อปลาแซลมอนสดๆ หันเป็นชื้นๆ แล้วนำไปยำให้เข้ากันด้วย พร้อมๆ กับใส่น้ำยำสูตรลับเฉพาะของทางร้าน รับรองได้ว่าเด็ดดวงไปถึงทรวงอกเลยแหละ
 

 
จากนั้นไปต่อกันที่เมนูสไตล์ญี่ปุ่นแบบเนื้อแล่จิ้มน้ำจิ้ม “Salmon Sashimi” หรือ “แซลมอนซาซิมิ” ใช้เนื้อปลาแซลมอนสดๆ หันให้เป็นชิ้นใหญ่ๆ แบบเน้นเต็มคำ วางเรียงรายไว้บนน้ำแข็งพร้อมก้อน “วาซาบิ” ที่ให้นำได้ผสมน้ำซอสโซยุ หรือซีอิ๊วญี่ปุ่น อยากให้ขึ้นจมูกน้อย หรือมากก็อยู่ที่รสมือเวลาผสมนั่นเอง
 
ที่นี้มาลิ้มลองของหวานสไตล์เกาหลีกันบ้าง บางคนบอกว่า “บิงซู” ก็ไม่น่าแตกต่างอะไรขนมหวานบ้านเรา ประเภท “น้ำแข็งไส” หรือจะเรียกว่า “น้ำแข็งขูด” ก็ได้ด้วยนั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วอาจจะดูเหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันแน่นอน โดยเฉพาะในบรรดาวัตถุดิบ และส่วนผสมที่นำมาปรุง แถมรสชาติก็มีความหวานแตกต่างๆ กันอย่างเห็นได้ชัด
 

 
ของหวานสไตล์เกาหลีเมนูแรก “Strawberry Bingsu” หรือ “สตรอเบอร์รี่บิงซู” ราดด้วยซอสสตรอเบอร์รี่ และครีมข้นสูตรของทางร้านถือเป็นทีเด็ดเชียวแหละ ซึ่งไม่เหมือนบิงซูร้านอื่นๆ ตักเข้าปากคำแรกก็จะได้รับรสชาติที่ดูจะเป็นวิปครีมก็ไม่เชิง ซึ่งจะเป็นน้ำอะไรก็ช่างแต่มันอร่อยมากกก นัวสุดๆ มีท็อปปิ้งเป็นป๊อกกี้และโคลอนรสสตรอเบอร์รี่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานสตรอเบอร์รี่มากๆ แนะนำว่าให้ทานคู่กับชีสจะอร่อยยิ่งขึ้น
 

 
ต่อด้วยอีกของหวานสไตล์เกาหลี คือ “Mango Bingsu” หรือ “มะม่วงบิงซู” ราดด้วยซอสมะม่วง และครีมข้นสูตรของทางร้าน รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานผสมผสานกันอย่างลงตัว มีท็อปปิ้งเป็นมะม่วง เมนูนี้ถือว่าจุใจกันเลยทีเดียวสำหรับคนชอบรสชาติมะม่วง
 

 
แล้วก็ตามมากับสไตล์เกาหลีอีกเมนู “MatchaBingsu” หรือ “บิงซูชาเขียวมัจฉะ” ราดด้วยน้ำชาเขียว หวานๆ ฟินๆ ออนท็อปด้วยครีมข้นสูตรของทางร้าน โรยด้วยคิทแคทชาเขียว และแอลมอนด์ มีท็อปปิ้งเป็นป๊อกกี้ และโคลอนรสชาเขียว เจอเมนูนี้เข้าไปลืมไปเลยว่ากินอาหารคลีนอยู่
 

 
จากนั้นไปปิดท้ายของหวานสไตล์เกาหลีกันที่เมนู “Oreo Bingsu” หรือ “บิงซูโอริโอ้” ซึ่งนำเอาโอริโอ้ไปบดละเอียด และนำไปผสมให้เข้ากันออนท็อปด้วยไอติมช็อกชิพโคน และวิปครีมข้นสูตรเด็ดของทางร้าน ถ้วยเล็กกะทัดรัดแบบจิ๋วๆ แต่รสชาติกลับไม่จิ๋วตามชื่อ แต่กลับแจ๋วแหววเอามากๆ เสียด้วย

สำหรับอาหารคาวหวานนอกจากที่นำเสนอไว้ ณ ที่นี้แล้ว “ร้านบิงซูชิ” ยังมีอีกหลากหลายเมนูที่รอให้ไปเลือกสรรสลับสับเปลี่ยนได้ลิ้มลองกัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารคาวประเภทซูชิสไตล์ญี่ปุ่น หรือเมนูอาหารหวานประเภทบิงซูสไตล์เกาหลี นอกจากจะได้ความแปลกใหม่ในวัฒนธรรมอาหารที่ไม่เหมือนใครแล้ว สนนราคาก็จัดว่าไม่แพงอย่างที่คิด แถมออกจะติดไปทางเข้าใจถึงเงินในกระเป๋าของบรรดานักเรียน และนักศึกษาว่า ควรต้องใช้แลกเปลี่ยนอาหารการกินได้แบบคุ้มทั้งคุณค่า และรสชาติ
 

 
“ร้านบิงซูชิ” เปิดให้บริการระหว่างเวลา 13.00-21.00 น. ปิดทุกวันจันทร์ ส่วนที่เหลืออีก 6 วันใน 1 สัปดาห์ พร้อมเปิดประตูหน้ารอต้อนรับ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ที่แฟนเพจ : Bing Su Shi
 
--------------------------------------------------------------------------------
        
 เรื่อง/ภาพ : สุธาทิพย์ โหดสุบ, ปุณญาณัช แก้วพิลาม, นงลักษณ์ อินทรโท
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น