ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - คณะศิลปศาสตร์ ม.อ.หาดใหญ่ จับมือเทศบาลเมืองทุ่งตำเสา จัดเสวนา “เหลียวหลังแลหน้า การพัฒนาชุมชนท้องถิ่น” เพื่อเสริมความรู้ให้ นศ.ที่ลงพื้นที่ร่วมทำกิจกรรมกับชุมชน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชาวบ้านเพื่อเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลที่เป็นไปในอัตราเร่ง
วันนี้ (11 พ.ย.) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (ม.อ.หาดใหญ่) โดยคณะศิลปศาสตร์ เอกชุมชนศึกษา ได้ร่วมกับเทศบาลเมืองทุ่งตำเสา จัดทำโครงการเทศบาลพบประชาชนและโครงการปฏิบัติการชุมชน ครั้งที่ 2 โดยในช่วงเช้ามีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้า การพัฒนาชุมชนท้องถิ่น” ขึ้น ณ เทศบาลเมืองทุ่งตำเสา ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขาล เพื่อให้ความรู้แก่คณาจารย์ นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมเปลี่ยนความคิดเห็นประมาณ 200 คน ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการนำความรู้ไปพัฒนาชุมชนต่อไปในอนาคตตามหลักสูตรชุมชมศึกษาต่อไป
สำหรับวิทยากรที่นำเสนอความเห็นบนเวทีการเสวนา “เหลียวหลังแลหน้า การพัฒนาชุมชนท้องถิ่น” ในครั้งนี้มีด้วยกัน 8 คน ได้แก่ นายวิชัย สาสุนีย์ นายกเทศมนตรีเมืองทุ่งตำเสา ผศ.อภิชาต จันทร์แดง อาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา ม.อ.หาดใหญ่ ดร.สัตวแพทย์หญิงรัถยาภรณ์ ง๊ะสมัน อาจารย์ประจำคณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.อ.หาดใหญ่ นายปิยะโชติ อินทรนิวาส หัวหน้าศูนย์ข่าวผู้จัดการ-News1 ภาคใต้ นายอัศวเทพ ศภุเจริญกูล หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจสหกรณ์ เครดิตยูเนียนคอหงส์จำกัด นายเกรียงไกร คมขำ ที่ปรึกษาสภาเด็กและเยาวชน จ.สงขลา และนายธรรมนูญ สาสุธรรม นักศึกษาชุมชนศึกษาชั้นปีที่ 4 โดยมี นายครุศักดิ์ สุขช่วย นักวิชาการอิสระ เป็นผู้ดาเนินรายการ
นายวิชัย สาสุนีย์ กล่าวว่า ตำบลทุ่งตำเสา มีทรัพยากรและธรรมชาติที่สมบูรณ์ จึงมีความได้เปรียบด้านทรัพยากรธรรมชาติ ควรมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อศึกษาและส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของตำบลทุ่งตำเสา เพิ่มขึ้น
ผศ.อภิชาต จันทร์แดง เสนอว่า สิ่งที่เป็นจุดเด่นของตำบลทุ่งตำเสามี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ทรัพยากร การที่มีทรัพยากรที่หลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าจัดสรรไม่ดีก็จะเกิดผลกระทบได้ เพราะฉะนั้น ทรัพยากรที่มีอยู่ก็จะหมดไป ส่วนที่สองคือ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่ขายได้ เพราะทุ่งตำเสา มีต้นทุนดั้งเดิม และดีอยู่แล้ว
นายปิยะโชติ อินทรนิวาส ชี้ในภาพกว้างว่า ชุมชนทุ่งตำเสาอยู่ด้วยความโดดเดี่ยวไม่ได้ เป็นไปตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก ตำบลทุ่งตำเสาเป็นส่วนหนึ่งของโลก โลกเคลื่อนไหวอย่างไรก็ส่งผลต่อเนื่องถึงคนในชุมชนทุ่งตำเสาด้วย จึงต้องมองในเชิงลึก และกว้างให้เป็น จริงๆ แล้วมีหลากหลายมิติ ทุ่งตำเสาคือส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนโลกาภิวัตน์ ดังนั้น เราต้องมองอดีต เชื่อต่อมาปัจจุบัน และยังจะโยงใยไปถึงอนาคตให้เป็น และเราจะแปลงวิกฤตเป็นโอกาสได้นั้น ขึ้นอยู่กับคนในชุมชนจะออกแบบ
นายเกรียงไกร คมขำ กล่าวว่า ปัญหาชุมชนหลายๆ ชุมชนที่เกิดขึ้นนั้น สิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอคือ สังคมแห่งการโต้เถียง แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่การโต้เถียงเพื่อความถูกต้อง แต่จะโต้เถียงเพื่อความถูกใจ ฉะนั้นปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขได้ถ้าชุมชน เข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ด้าน ดร.สัตวแพทย์หญิงรัถยาภรณ์ ง๊ะสมัน กล่าวว่า การจะมองการเปลี่ยนแปลงของทุ่งตำเสา ให้มองจากสุขภาวะรอบๆ ตัว ซึ่งถ้าสุขภาพคน สุขภาพสัตว์ และสุขภาพสิ่งแวดล้อมดี แค่ 3 อย่างนี้ก็สามารถบ่งบอกถึงสุขภาวะของชุมชน ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้จะตรงตามสุขภาพตามมาตรฐานโลกที่ดีได้
นายอัศวเทพ ศภุเจริญกูล ให้ความเห็นว่า เหลียวหลังคือ การหันกลับไปดูว่าในอดีตมีการพัฒนาอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่งผลอย่างไรบ้าง ส่วนแลหน้าคือ การมองไปข้างหน้า เป็นการมองถึงอนาคต การพัฒนาไปข้างหน้า คิดการการไกล ฉะนั้นเหลียวหลังแลหน้าคือ การมองอดีต อยู่กับปัจจุบัน และนึกถึงอนาคตของทุ่งตำเสา เพื่อความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของคนทุ่งตำเสา
ส่วน นายธรรมนูญ สาสุธรรม กล่าวว่า ชาวบ้านควรตระหนักถึงคุณค่า และแนวคิดที่มีอยู่ในชุมชน ควรใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีและความเจริญรุ่งเรืองเข้ามา แต่ชาวบ้านทุ่งตำเสาก็ยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งบริบท และความดั้งเดิมของชุมชน
สำหรับ นายครุศักดิ์ สุขช่วย กล่าวปิดท้ายถึงผลจากการจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ว่า การเสวนาในครั้งนี้ตนเชื่อว่าจะทำให้นักศึกษา และชาวบ้านที่เข้าร่วมฟัง ได้ทราบถึงความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งโลกกำลังจะถูกทำลาย การไหลเข้ามาของสังคม การอยู่ในโลกของยุคดิจิทัล การเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้น ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวบ้านทุ่งตำเสาจะต้องพร้อมรับมือ พร้อมปรับตัว เผชิญเข้าสู่ยุคใหม่ และอนาคตข้างหน้า