คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
สถานการณ์การก่อการร้าย หรือการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2 เดือนสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นปี พ.ศ.2559 มีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ และมีเหตุสะเทือนใจคนทั้งแผ่นดินเมื่อ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนฆ่าหญิงท้องแก่ 9 เดือน คือ น.ส.รัติกาล จ่าวัง ที่ตลาดปาลัส อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เพื่อเป็นการตอบโต้ที่เจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรม 2 แนวร่วมที่ อ.รามัน จ.ยะลา
ก่อนหน้านั้น สถานการณ์ภายใน 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ก็มีเหตุร้ายร้ายวันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเหตุจากคาร์บอมบ์ และ จยย.บอมบ์ รวมทั้งระเบิดแสดวงเครื่องที่กลายเป็น “กับดัก” เจ้าหน้าที่ รวมทั้งการโจมตีด้วยอาวุธปืน โดยมีตำรวจ ทหาร และอาสาสมัคร (อส.) เป็นเป้า และที่สำคัญมีประชาชนทั้งไทยพุทธ และมุสลิมเสียชีวิตแบบ “ใบไม้ร่วง” นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา
ล่าสุด หน่วยข่าวความมั่นคงได้แจ้งเตือนให้มีการระวังป้องกันเหตุร้ายในเดือนธันวาคม 2559 ในพื้นที่ 4 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา โดยเจ้าหน้าที่ยึดได้แผนการก่อการร้ายของ “บีอาร์เอ็น” จากการวิสามัญ 2 ศพแนวร่วมในพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา
หลังการเกิดเหตุความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีกระทรวงกาลโหม ได้มีคำสั่งให้ พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 พร้อมด้วย พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ศชต. เร่งดำเนินการป้องกันเหตุร้าย และเร่งจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว ในขณะที่องค์กรภาครัฐ และเอกชนต่างออกมาประณามการกระทำของกลุ่มคนร้าย ซึ่งไม่เว้นแม้แต่สตรีที่ตั้งครรภ์
ความรุนแรงของสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้มีการตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” โดยให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะ เพื่อเป็นการเสริมความเข็มแข็งให้แก่ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” “ศอ.บต.” และ “ศชต.” รวมทั้งหน่วยงานในพื้นที่
ซึ่ง ครม.ส่วนหน้าได้มีการเดินทางลงมาประชุมในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส เพื่อดูข้อเท็จจริง โดยเน้นหนักในงานด้านพัฒนาตามแผน “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง”
เป็นการเดินทางลงพื้นที่ของ ครม.ส่วนหน้าที่เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด และความสูญเสียทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุร้าย และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการต้อนรับ ครม.ส่วนหน้า นั่นเอง
ในขณะที่ผู้สันทัดกรณีในพื้นที่ เชื่อว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายลงเป็นการกระทำของบีอาร์เอ็น ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องการเห็นการ “พูดคุยสันติสุข” ระหว่าง “รัฐไทย” กับ “กลุ่มมาราปาตานี” ซึ่งจะมีการพูดคุยกันอีกครั้งในปลายเดือนธันวาคมนี้ ที่ประเทศมาเลเซีย
ในท่ามกลางสถานการณ์ของความรุนแรงโหดร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งทั้งหมดยังเป็นเรื่อง “ภายใน” ของรัฐไทยนั้น มีสิ่งที่น่าสนใจที่ทุกฝ่ายต้องติดตาม นั่นคือ การที่ “หน่วยข่าวกรองประเทศออสเตรเลีย” ได้ประสานงานการข่าวกับหน่วยข่าวกรองของประเทศไทย และแจ้งว่า ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งติดต่อ และให้การสนับสนับทางการเงินแก่ “กลุ่มรัฐอิสลาม” หรือขบวนการ “ไอเอส” หรือ “ไอซิส” ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อก่อการร้ายในประเทศตะวันออกกลาง
ในส่วนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ขณะนี้ขบวนการไอเอสส่งสมาชิกเข้ามาคุกคามความมั่นคง ด้วยการก่อวินาศกรรมในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย มีการก่อการร้ายหลายครั้งในรอบปี 2559 มานี้
การเตือนของหน่วยข่าวกรองออสเตรเลียเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากการกวาดล้างกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อวันที่ 11-13 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนำมาถึงการจับกุมผู้ต้องสงสัยเครือข่าย “ศรีสาคร” กว่า 60 คนนั้น ล้วนมาจากการแจ้งเตือนของหน่วยข่าวจากประเทศออสเตรเลีย
เช่นเดียวกับการก่อวินาศกรรมใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หน่วยข่าวกรองของต่างประเทศก็ได้รับรู้ก่อนแล้วด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือ หน่วยข่าวกรองของประเทศออสเตรเลียเช่นกัน
โดยข้อเท็จจริงหน่วยข่าวบางหน่วยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่ “ฝักใฝ่” ขบวนการไอเอสมาโดยตลอด นับตั้งแต่ทางการมาเลเซียจับกุมประชากรของตนเองที่ร่วมอยู่ในขบวนการไอเอสได้กว่า 40 คน ตั้งแต่ต้นปี 2559 มาแล้ว
ขณะนี้หน่วยข่าวในพื้นที่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงความเคลื่อนไหว และความเชื่อมโยงระหว่างคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกลุ่มไอเอสในประเทศมาเลเซีย และประเทศซีเรียจำนวน 3 คน ซึ่งเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีการติดต่อเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสทั้งในย่านตะวันออกกลาง และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้ว่าโดยความเป็นไปได้แนวทางของบีอาร์เอ็น ซึ่งเป็นแกนนำในการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจจะมีอุดมการณ์ที่แตกต่างจากกลุ่มรัฐอิสลาม หรือกลุ่มไอเอส และคงไม่สามารถ “หลอมรวม” กันได้ก็ตาม
แต่โอกาสที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนทั้งบีอาร์เอ็น และ “กลุ่มสุดโต่ง” ในพื้นที่มีโอกาสที่จะจับมือกับไอเอส เพื่อปฏิบัติการก่อการร้าย เพื่อสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้น และเพื่อใช้ความโหดร้าย ความรุนแรงในการ “กดดัน” ให้รัฐบาลและกองทัพยอมรับบทบาทของขบวนการบีอาร์เอ็น รวมทั้งกลุ่มสุดโต่งในพื้นที่ดังกล่าวก็มีโอกาสเป็นไปได้มาก
ดังนั้น มีสิ่งที่ต้องมีการตั้งข้อสังเกตในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ในปัจจุบันนอกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ส่งหน่วยงานเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ต่างๆ แล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงตัวแทนของประเทศใหญ่ๆ อย่างอังกฤษและอินเดียที่ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้ามาพบปะกับบุคคลต่างๆ ในพื้นที่
เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์การก่อการร้ายอย่างละเอียด เพื่อการ “รู้ลึก” และ “รู้จริง” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศเหล่านี้ต่าง “สำเหนียก” ถึง “ความผิดปกติ” ของสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้
และที่สำคัญการที่ “มหาอำนาจ” เหล่านี้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงขั้นเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบและติดตามกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
โดยเฉพาะในเรื่องของไอเอส ที่พบว่า มีความเคลื่อนไหวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่หน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยต้องใช้ความสำคัญ และต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน เพื่อเป็นการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพราะหากปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีกลุ่มไอเอสเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในพื้นที่เกิดความรุนแรงยิ่งขึ้น
อย่าได้ปฏิเสธว่าเรื่องไอเอสที่ประเทศออสเตรเลียได้ส่งข้อมูลมาให้ว่า “ไม่จริง” และอย่าได้ “รู้สึกเสียหน้า” ที่เรารู้น้อยกว่าเขา เพราะวันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า “การข่าว” ของทุกหน่วยงานยัง “ห่วยแตก” เพราะไม่สามารถที่จะ “รู้เขา รู้เรา” ดังนั้น เราจึงยัง “เพลี่ยงพล้ำ” บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับวันนี้ที่กองกำลังของเราถูกส่งลงพื้นที่แบบ “ปูพรม” เพราะเราไม่รู้ว่ากลุ่มคนร้ายมีเป้าหมายตรงไหนบ้างนั่นเอง
ขบวนการไอเอสคือปัญหาใหญ่ที่เป็น “โจทย์ใหม่” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหากรัฐบาล “จัดการ” ได้ไม่ดีพอ โอกาสที่สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเปลี่ยนโฉมหน้าจาก เรื่องของความไม่สงบภายในประเทศ ไปเป็นเรื่องของ “การก่อการร้ายสากล” อันจะเป็นไปตามความต้องการของ “ประเทศมหาอำนาจ” และของ “บีอาร์เอ็น” นั่นเอง
ป่วยการที่จะ “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” อีกต่อไป เรื่องที่ต้องเร่งทำจึงคือ การยอมรับความจริง และเร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ดังที่หลายๆ ประเทศอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซียเขาทำกันไปแล้ว นั่นคือ การ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ก่อนที่จะเกิดการ “โชนเปลวลุกลาม” จนหมดหนทางเยียวยา