คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
--------------------------------------------------------------------------------
นอกจาก “ครม.ส่วนหน้า” ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่ติดตาม กำกับ ดูแล ให้การดับไฟใต้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และกองทัพแล้ว การแต่งตั้ง “แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่” ก็เป็นความ “คาดหวัง” ของคนในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ไม่น้อยไปกว่ากันเลย
เพราะบทบาทในตำแหน่ง “แม่ทัพภาคที่ 4” ที่ควบเก้าอี้ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4” เป็นผู้ที่มีบทบาท และมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งก็คือ เจ้าภาพที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรง
แม่ทัพคนใหม่ของกองทัพภาคที่ 4 คนส่วนใหญ่ในพื้นที่จะไม่คุ้นชินในชื่อของ “พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช” มากนัก เนื่องจากเป็นนายทหารที่เติบโตในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 และทำงานด้าน “การข่าว” เป็นด้านหลัก ซึ่งไม่ใช่เป็นตำแหน่งเปิดเหมือนกับนายทหารที่ผ่านการเป็น ผบ.กรม หรือ ผบ.มณทล หรือ เสนาธิการ และรองแม่ทัพ เช่น แม่ทัพคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีเส้นทางผ่านการเป็นรองแม่ทัพมาก่อน
แต่ในส่วนของคนที่คลุกคลีอยู่กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และอยู่กับงานการข่าวจะรู้กันดีถึง “ชื่อชั้น” ของ พล.ท.ปิยวัฒน์ ว่า เป็นนายทหารที่มีความสามารถ มีความรู้ ความเข้าใจในปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้ชื่อว่าเป็นนายทหารที่มี “ความชำนาญ” ในเรื่อง “งานการข่าว” คนหนึ่งของกองทัพ
ก่อนที่จะรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ปิยวัฒน์ คือ ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” เป็นผู้ที่สั่งการให้มีการจับกุมขบวนการค้าสินค้าหนีภาษีรายใหญ่ใน จ.สงขลา และ จ.สตูล สร้างความเสียหายให้แก่ขบวนการขนสุรา และบุหรี่หนีภาษี รวมถึงขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อเถื่อน และขบวนการน้ำมันเถื่อนมหาศาล
ที่โด่งดังที่สุดคือ การนำกำลังทหารจับ “บ่อนการพนัน” ทั้งใน อ.หาดใหญ่ และบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียใน อ.สะเดา จ.สงขลา จนเป็นเหตุของการ “เด้งด่วน” ตำรวจใน จ.สงขลา ตั้งแต่ ผกก. ผบก. ไปจนถึง ผบช.ภ.9 และยังมีอัยการจังหวัด รองอัยการจังหวัดนาทวี โดน “ลูกหลง” ไปด้วย จนกลายเป็นที่ฮือฮากันมากในพื้นที่
หลังเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ปิยวัฒน์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนถึงแนวทางในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า 1.จะใช้ “กฎหมายนำ” คือ จะต้องถูกต้อง จริงใจ และยุติธรรม 2.ตามด้วย “การทหารตาม” ดูแลความปลอดภัยประชาชน ผู้ประกอบการ นักลงทุนในพื้นที่อย่างเต็มความสามารถ และ 3.ต่อด้วย “การเมืองขยาย” คือ นำนโยบายของรัฐบาลมาปฏิบัติอย่างเร่งด่วน
และสิ่งที่แม่ทัพคนใหม่ของพื้นที่ปลายด้ามขวานเน้นด้วยคำพูดอย่างจริงจัง คือ ทหารภายใต้บังคับบัญชาทุกนายจะต้องเป็น “ทหารอาชีพ” ไม่ใช่ “อาชีพทหาร”
ซึ่งความหมายของทหารอาชีพนั้น หมายถึงต้องทำหน้าที่ของการเป็นทหารอย่างแท้จริง ไม่มีอาชีพเสริม ไม่เปิดบริษัทรับเหมา หรือเป็นเจ้าของบริษัท รปภ. โดยการเบียดบังเวลาราชการไปหาประโยชน์ และข้อสำคัญคำคือว่า ไม่เรียกหาผลประโยชน์อันมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการ “ตามน้ำ” หรือ “ทวนน้ำ” ก็ต้องไม่เกิดขึ้น
และสิ่งสำคัญที่ยืนยันจากเรียวปากของแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่คือ “เจ้าหน้าที่” ซึ่งหมายรวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆ นอกเหนือจากทหารในพื้นที่รับผิดชอบด้วย ถ้าทำผิด เช่น การเข้าไปเกี่ยวข้องต่อเรื่องผิดกฎหมาย เกี่ยวข้องต่อการ “รับส่วย” ถ้ามีหลักฐานที่เชื่อได้แล้ว จะไม่มีการย้ายออกจากพื้นที่ แต่จะทำการ “ปลด” ออกจากราชการในทันที
เพราะเติบโตในด้านการข่าวมาโดยตลอด พล.ท.ปิยวัฒน์ จึงมีนโยบายในการที่จะ “ขจัดภัยแทรกซ้อน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการ “เกื้อหนุน” ให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ โดยภัยแทรกซ้อนที่ พล.ท.ปิยวัฒน์ ให้ความสำคัญ คือ “ยาเสพติด” มีการเน้นว่าจะจับยาเสพติดทุกเม็ด จับน้ำมันเถื่อนทุกหยด และจับบ่อนการพนันทุกบ่อนในพื้นที่รับผิดชอบ
เนื่องเพราะขบวนการยาเสพติด ขบวนการน้ำมันเถื่อน ล้วนคือ “ขบวนการข้ามชาติ” ที่มีข้อมูลว่ามี “เม็ดเงิน” ส่วนหนึ่งนำไปใช้เป็น “น้ำเลี้ยง” ให้แก่ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” เพื่อใช้ในการ “ว่าจ้าง” หรือเป็น “ค่าใช้จ่าย” ในการก่อความไม่สงบ
ถ้ามีการ “ทุบกระเป๋าเงิน” ที่ใช้อุดหนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน ย่อมจะทำให้การก่อเหตุร้ายลดน้อยลง และที่สำคัญธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น น้ำมันเถื่อน สุรา และบุหรี่เถื่อนที่ถูกนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน นั่นเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีปีละนับหมื่นล้าน
ในส่วนของบ่อนการพนันนั้นเป็นธุรกิจของผู้มีอิทธิพลที่มีส่วนในการ “เชื่อมโยง” กับผู้มีอิทธิพลกลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่ ทั้งการเมืองท้องถิ่น การเมืองระดับชาติ และกลุ่มธุรกิจเถื่อน ที่สำคัญคือการเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ อันเป็นเหตุของการ “ฉ้อราษฎร์-บังหลวง” หรือ “คอร์รัปชัน” เกิดขึ้นนั่นเอง
จะเห็นว่าในการให้พูดคุยกับสื่อมวลชนหลายครั้ง แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่จะไม่พยายามที่จะพูดถึงแนวทางในการ “เอาชนะ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอย่าง “บีอาร์เอ็น” เพียงแต่พร้อมในการให้การสนับสนุน “การพูดคุยสันติภาพ” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญในการดับไฟใต้
การไม่พยายามที่จะพูดถึงขบวนการบีอาร์เอ็น อาจจะเป็นความ “ชาญฉาด” ของแม่ทัพภาค 4 คนใหม่ เพราะมีแผนในการที่ป้องกัน และเปิด “เกมรุก” ต่อ “แกนนำ” และ “แนวร่วม” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนอยู่แล้ว การให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางในการต่อสู้กับบีอาร์เอ็นผ่านทางสื่อ นั่นอาจจะไม่ใช่ผลดีต่อการแก้ปัญหาที่สั่งสมมาในเวลาที่ยาวนาน
แต่อย่างไรก็ตาม พล.ท.ปิยวัฒน์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ต้องทำหน้าที่ร่วมกับ ครม.ส่วนหน้า ซึ่งถูกตั้งขึ้นใหม่เพื่อเข้ามา “หนุนเสริม” และ “กำกับดูแล” การแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะใน “โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจมั่นคง มั่งคั่ง”
ซึ่งแน่นอนว่า การที่จะทำให้โครงการโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจมั่นคง มั่งคั่ง เกิดขึ้นได้นั้น ความสำคัญอันดับแรกคือ ต้องทำ “พื้นที่” ให้มีความสงบเกิดขึ้นก่อน เพราะหากยังมีเสียง “ตูมตาม” และมี “ข่าวความรุนแรง” ทั้งการบาดเจ็บและล้มตายของตำรวจ ทหาร และประชาชน โครงการนี้ก็จะเป็นไปด้วยความล่าช้า
จึงเป็นภาระอันหนักอึ้งบนสองบ่าของ พล.ท.ปิยวัฒน์ ที่จะต้องทำให้สำเร็จตามนโยบายที่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ เพราะคำพูด คำกล่าวทุกประโยคถูกบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น คนในพื้นที่จะต้องติดตาม “บริบท” ของแม่ทัพคนใหม่ว่า จะทำได้ตามที่ได้กล่าวไว้หรือไม่ เพราะก่อนพูดเราคือนายของคำพูด แต่หลังจากพูดแล้ว คำพูดทั้งหมดจะเป็นนายของเรา หากทำไม่ได้ หรือไม่ทำตามที่ได้พูดได้กล่าวไว้ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
วันนี้ขอให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ และรับ “ชะตากรรม” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านจงอย่าเพิ่ง “ติเรือทั้งโกลน” ต้องให้กำลังใจ ให้ความร่วมมือในการดับไฟใต้ เพราะถ้าไฟใต้ลดความรุนแรงลง ผู้ที่ได้รับผลโดยตรงคือ คนในพื้นที่นั่นใช่หรือไม่