ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - แม่ทัพภาค 4 คนใหม่ เข้ากราบขอพรจาก “เทพสามตา” เกจิดังภาคใต้วัดนาทวี พร้อมฟังข้อห่วงใยเพื่อนำไป “ดับไฟใต้” เผยยังให้ความสำคัญ “ภัยแทรกซ้อน” ขู่หากพบว่าข้าราชการคนไหนมีเอี่ยวจะไม่มีการย้ายออกพื้นที่ แต่จะปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่
วันนี้ (4 ต.ค.) พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.คนใหม่ ได้เดินทางมากราบนมัสการอาจารย์ภัทร อริโย หรือ “เทพสามตา” เจ้าอาวาสวัดนาทวี อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่ พล.ท.ปิยวัฒน์ ให้ความเคารพ โดยมี พล.ต.ต.ศุภวัฒน์ ทับเคลียว ผบก.อก.ภ.9 พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา และนายสมศักดิ์ จันทร์ชู นายอำเภอนาทวี ให้การตอนรับ
โดยหลังจากที่พระอาจารย์ภัทร เกจิดังภาคใต้ และพระครูบัณฑิต ธรรมาลังการ เจ้าคณะอำเภอสะเดา และเจ้าอาวาสวัดยางทอง ต.ทุ่งหมอ อ.สะเดา ได้ให้พร และมอบพระพุทธรูปบูชาหลวงปู่ทวด เพื่อความเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว พล.ท.ปิยวัฒน์ แม่ทัพภาค 4 ได้ขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ภัทร ในประเด็นต่างๆ เพื่อการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
โดยพระอาจารย์ภัตร เกจิดังภาคใต้ได้กล่าวต่อแม่ทัพภาคที่ 4 ว่า กลไกสำคัญในการดับไฟใต้ คือ ตำรวจชั้นประทวนในพื้นที่ และผู้นำท้องที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยเฉพาะตำรวจชั้นประทวน เป็นตำรวจที่ไม่ค่อยมีการโยกย้าย จึงรู้ปัญหาทุกปัญหา รู้จักคนเกือบทุกคน ใครมีอาชีพอะไร ใครทำอาชีพผิดกฎหมายจะรู้หมด เช่นเดียวกับผู้นำท้องที่จะรู้จักลูกบ้านของตนเองดีกว่าใครเพื่อน อยากให้แม่ทัพให้ความสำคัญต่อตำรวจชั้นประทวนในพื้นที่ เน้นใช้ตำรวจให้ทำงานอย่างจริงจัง และให้ความชอบแก่ผู้ที่มีผลงานในกรณีพิเศษ ก็จะทำให้สามารถแก้ปัญหาความไม่สงบได้ตามเป้าหมาย อยากให้ใช้นโยบาย “ตำรวจเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการสร้างความสงบให้แก่ประชาชน
โดยพระอาจารย์ภัทร อริโย เกจิดังภาคใต้ได้กล่าวในตอนหนึ่งของการสนทนาว่า ให้แม่ทัพให้ความสำคัญในการดูแลความปลอดภัยให้แก่คนไทยพุทธในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา เพราะที่ผ่านมา มีคนไทยพุทธตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมาโดยตลอด ซึ่ง พล.ท.ปิยวัฒน์ ได้รับฟังข้อห่วงใยต่อสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของพระอาจารย์ภัทร และกล่าวว่า จะนำข้อเสนอแนะ ข้อห่วงใยที่ได้รับฟังไปปฏิบัติเพื่อให้การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากนั้น แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ได้เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ตนให้ความสำคัญในเรื่องของภัยแทรกซ้อนไม่น้อยไปกว่าเรื่องของการก่อความไม่สงบ เพราะภัยแทรกซ้อนซึ่งเป็นการค้ายาเสพติด การค้าน้ำมันเถื่อน บ่อนการพนัน และสิ่งของผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น เหล้า บุหรี่ หลบหนีภาษี เป็นธุรกิจนของผู้มีอิทธิพลที่มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยเม็ดเงินส่วนหนึ่งถูกนำไปสนับสนุนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การปราบปรามจับกุมกลุ่ม “ภัยแทรกซ้อน” จะต้องทำอย่างจริงจังต่อเนื่อง เพื่อเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของขบวนการ
ในยุคที่ตนเป็น “แม่ทัพ” จะทำการปราบปรามยาเสพติดทุกเม็ด น้ำมันทุกหยด และบ่อนการพนันทุกบ่อน ในส่วนของข้าราชการที่มีส่วนกับธุรกิจผิดกฎหมายจะมีการเตือนก่อนให้เลิกประพฤติปฏิบัติ ถ้ายังไม่เชื่อจะไม่มีการย้ายออกจากพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่ง แต่จะปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่เพื่อไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนในพื้นที่อื่น ส่วนกลุ่มผู้ทำธุรกิจเถื่อนทั้งหมดนั้น จะทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อยึดทรัพย์หรือไม่นั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะทำการสืบสวนสอบสวนว่าเข้าประเด็นในการยึดทรัพย์หรือไม่ สำหรับขบวนการ “ภัยแทรกซ้อน” มีบ้างที่เป็นขบวนการข้ามชาติ และมีบ้างที่เป็นขบวนการภายในพื้นที่
สำหรับการจะขุดรากถอนโคนกลุ่มภัยแทรกซ้อนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำมาก่อนหน้านี้ประมาณ 3 เดือน ก่อนที่จะมารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ขณะนี้มีรายชื่อเกือบทั้งหมดว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหนที่เป็นขบวนการ ซึ่งหากตำรวจ ศุลกากร และหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการปราบปรามโดยเฉพาะยาเสพติด ไม่สามารถทำการปราบปรามจับกุมได้ก็จะใช้กำลังของทหารในการปฏิบัติการ
ในส่วนของความไม่สงบในพื้นที่มีนโยบายในการแก้ปัญหาตามแนวทางของกองทัพ และรัฐบาลที่ชัดเจนอยู่แล้ว ขณะนี้ทุกหน่วยงานได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการรักษาความสงบ ความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการปรับแผนในบางส่วนเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น