ตรัง - ชาว ต.ควนปริง อ.เมืองตรัง ที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตรังเกือบ 10 ครัวเรือน หวั่นฝนที่ตกหนักจะทำให้น้ำกันเซาะตลิ่งจนทรุดพังทลายเสียหาย จนกระทบต่อบ้านเรือน รวมทั้งสวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ
วันนี้ (26 ก.ย.) ชาวบ้านหมู่ที่ 5 ต.ควนปริง อ.เมือง จ.ตรัง ประมาณ 50 คน จาก 8 ครัวเรือน นำโดย น.ส.รัชนี สั้นเต็ง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 หมู่ 5 ต.ควนปริง อ.เมือง จ.ตรัง นำเรือหางยาวออกสำรวจปริมาณน้ำในแม่น้ำตรัง หลังฝนตกหนักปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น เกรงจะเกิดน้ำไหลหลากกัดเซาะตลิ่งพังเสียหาย และเข้าท่วมบ้านเรือน 2 ฝั่งคลอง เพราะสภาพที่เห็นริมฝั่งแม่น้ำตรังด้านซ้ายมือ นับจากสะพานท่าจีน เรื่อยไปจนเกือบถึงปากอ่าวแม่น้ำตรัง โดยเฉพาะช่วงบ้านควรปริง พบว่า น้ำได้หลากกัดเซาะตลิ่งจนทรุดพังทลายเสียหายยับเยิน
ดังนั้น จึงทำให้สวนยางพารา และปาล์มน้ำมันของชาวบ้านบางส่วนต้องล้มต้นลง รวมทั้งชุมชนเล็กๆ ที่มีบ้านเรือนของประชาชนตั้งอยู่บนเอกสารโฉนดที่ดิน จำนวน 8 ครัวเรือน ต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะต้องคอยสังเกตปริมาณน้ำ และเตรียมอพยพเคลื่อนย้ายข้าวของไปไว้ที่สูง และหากน้ำไหลหลากมาจริงๆ ต้องอพยพไปตั้งเต็นท์อาศัยชั่วคราวอยู่ริมถนนสายเลี่ยงเมือง จึงร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาทางแก้ปัญหาป้องกันไม่ให้ตลิ่งทรุดตัวพังทลายไปมากกว่านี้ด้วยการนำก้อนหิน และปูนซีเมนต์มาโบกทับ
โดยเฉพาะช่วงที่มีชุมชนเล็กๆ อาศัยอยู่ ขณะนี้เหลือผืนดินนับระยะห่างจากตลิ่งเพียง 15-16 เมตร ก็จะถึงถนนในหมู่บ้าน ซึ่งในแต่ละปีช่วงเวลาฝนตกหนักแล้ว แม่น้ำตรัง จะเอ่อล้นตลิ่งไหลหลากเข้าท่วมถนน และบ้านเรือนจนผืนดินจะหายไปปีละ 3-5 เมตร ชาวบ้านจึงห่วงว่าในอีกประมาณ 3-4 ปีข้างหน้า ตลิ่งจะทรุดพังทลายจนเข้ามาถึงถนนในหมู่บ้านอย่างแน่นอน
น.ส.รัชนี กล่าวว่า ตนเคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทางจังหวัดให้ช่วยสร้างแนวป้องกันตลิ่งมาแล้วตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ชาวบ้านทั้งหมดต้องอยู่อย่างหวาดผวา ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะหากไม่เร่งทำในตอนนี้ เชื่อว่าน้ำจะกัดเซาะจนถึงถนน และบ้านเรือน ทำให้ชาวบ้านต้องไร้ที่อยู่อาศัยอย่างแน่นอน จึงวอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือ
ด้าน นายประดับ สั้นเต็ง สมาชิก อบต.หมู่ 5 ต.ควนปริง กล่าวว่า อบต.เคยนำปัญหาดังกล่าวเข้าร่างแผนงบประมาณไว้แล้ว แต่ไม่ใช่แผนงบประมาณประจำปี แม้ชาวบ้านจะพยายามผลักดันมาแล้ว 2 ปีติดต่อกัน แต่ก็ยังไม่ได้รับการบรรจุเข้าแผนงบประมาณประจำปี เนื่องจากไม่มีงบประมาณ จึงวอนขอให้ทางจังหวัดเร่งให้ความช่วยเหลือ ก่อนที่ชาวบ้านจะไม่มีถนนใช้ และไม่มีบ้านอยู่อาศัย
