ศูนย์ข่าวภูเก็ต - จ่อออกหมายจับยกแก๊งหลังรู้ตัวคนร้ายแฮกข้อมูลตู้เอทีเอ็มที่เหลือแล้ว เชื่อคนที่ตระเวนกดเงินเป็นแค่ม้าที่ถูกจ้างมา ส่วนเงินคาดยังอยู่ในไทย ขณะคนร้ายหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ตร.เร่งสืบสวนขยายผลต่อ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น ที่ปรึกษา สบ 10 (สัญญาบัตร 10) พร้อมคณะชุดสืบสวนคดีคนร้ายก่อเหตุแฮกข้อมูลตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสิน ฉกเงินไปกว่า 12 ล้านบาท ร่วมกับ พล.ต.ต.วิศณุ ม่วงแพรศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวความคืบหน้าการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ว่า ขณะนี้การสืบสวนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทราบตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ทั้งหมดแล้ว รวมทั้งรถที่คนร้ายเช่าไปก่อเหตุ แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้เนื่องจากเกี่ยวกับเรื่องของการดำเนินคดี รวมทั้งการติดตามเอาเงินของธนาคารคืนกลับมา ซึ่งเชื่อว่าในส่วนของเงินน่าจะยังอยู่ในประเทศไทย
สำหรับผู้ต้องหาในคดีนี้คาดว่ามีไม่เกิน 5 ราย และ คนที่ตระเวนคนเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ นั้นน่าจะเป็นแค่ม้า หรือคนทำหน้าที่กดเงินเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เปิดเผยชื่อ และภาพผู้ต้องสงสัยชาวรัสเซียไปแล้ว 1 ราย ทางพนักงานสอบสวน โดย พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวังภูเก็ต จะนำพยานหลักฐานต่างๆ ไปขอศาลอนุมัติหมายจับภายใน 1-2 วันนี้ ส่วนผู้ต้องสงสัยที่เหลือก็คาดว่าน่าจะสามารถออกหมายจับได้พร้อมกัน เพราะขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน
พล.ต.อ.ปัญญา กล่าวต่อไปว่า สำหรับคดีนี้ผู้กระทำความผิดไม่ได้มีเฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น ซึ่งทางตำรวจได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ส่วนจะมีใครร่วมบ้างยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในส่วนของธนาคารขอยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อคดีนี้อย่างแน่นอน สำหรับกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยี ก่อนลงมือได้ศึกษาระบบของตู้เอทีเอ็มมาอย่างดี โดยใช้ตู้เอ็มทีเอ็มในพื้นที่ภูเก็ตเป็นฐานในการแฮกข้อมูล หลังจากนั้น ใช้คนให้ไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ ที่มีการเชื่อมระบบไว้ ได้ใช้บัตรที่ทำมาจากประเทศอังกฤษไปใส่ที่ตู้เอทีเอ็ม และเอาออกหลังจากนั้นเงินก็จะไหลออกมา ทำให้การกระทำความผิดในครั้งนี้คนร้ายได้เงินไปจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งก็หลังจากที่คนร้ายที่ลงมือไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
ส่วนการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่หนีออกไปต่างประเทศแล้วนั้นก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามตัวมาดำเนินคดี ส่วนการป้องกันไม่ให้คนร้ายก่อเหตุซ้ำ นอกจากในส่วนของธนาคารที่มีการลงโปรแกรมป้องกันใหม่แล้ว ในส่วนของชาวบ้านก็ต้องช่วยกันในการสอดส่องดูแลถ้าพบเห็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมยืนอยู่ที่ตู้เอทีเอ็มนานๆ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทันที เพราะอาจจะเป็นคนร้ายที่แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุก็ได้ ถ้าทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแลก็จะทำให้คนร้ายไม่กล้าลงมือ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (30 ส.ค.) ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น ที่ปรึกษา สบ 10 (สัญญาบัตร 10) พร้อมคณะชุดสืบสวนคดีคนร้ายก่อเหตุแฮกข้อมูลตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสิน ฉกเงินไปกว่า 12 ล้านบาท ร่วมกับ พล.ต.ต.วิศณุ ม่วงแพรศรี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวความคืบหน้าการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ว่า ขณะนี้การสืบสวนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทราบตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ทั้งหมดแล้ว รวมทั้งรถที่คนร้ายเช่าไปก่อเหตุ แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้เนื่องจากเกี่ยวกับเรื่องของการดำเนินคดี รวมทั้งการติดตามเอาเงินของธนาคารคืนกลับมา ซึ่งเชื่อว่าในส่วนของเงินน่าจะยังอยู่ในประเทศไทย
สำหรับผู้ต้องหาในคดีนี้คาดว่ามีไม่เกิน 5 ราย และ คนที่ตระเวนคนเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ นั้นน่าจะเป็นแค่ม้า หรือคนทำหน้าที่กดเงินเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เปิดเผยชื่อ และภาพผู้ต้องสงสัยชาวรัสเซียไปแล้ว 1 ราย ทางพนักงานสอบสวน โดย พ.ต.อ.สมาน ชัยณรงค์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวังภูเก็ต จะนำพยานหลักฐานต่างๆ ไปขอศาลอนุมัติหมายจับภายใน 1-2 วันนี้ ส่วนผู้ต้องสงสัยที่เหลือก็คาดว่าน่าจะสามารถออกหมายจับได้พร้อมกัน เพราะขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน
พล.ต.อ.ปัญญา กล่าวต่อไปว่า สำหรับคดีนี้ผู้กระทำความผิดไม่ได้มีเฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น ซึ่งทางตำรวจได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว ส่วนจะมีใครร่วมบ้างยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในส่วนของธนาคารขอยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อคดีนี้อย่างแน่นอน สำหรับกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยี ก่อนลงมือได้ศึกษาระบบของตู้เอทีเอ็มมาอย่างดี โดยใช้ตู้เอ็มทีเอ็มในพื้นที่ภูเก็ตเป็นฐานในการแฮกข้อมูล หลังจากนั้น ใช้คนให้ไปกดเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ ที่มีการเชื่อมระบบไว้ ได้ใช้บัตรที่ทำมาจากประเทศอังกฤษไปใส่ที่ตู้เอทีเอ็ม และเอาออกหลังจากนั้นเงินก็จะไหลออกมา ทำให้การกระทำความผิดในครั้งนี้คนร้ายได้เงินไปจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งก็หลังจากที่คนร้ายที่ลงมือไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
ส่วนการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่หนีออกไปต่างประเทศแล้วนั้นก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามตัวมาดำเนินคดี ส่วนการป้องกันไม่ให้คนร้ายก่อเหตุซ้ำ นอกจากในส่วนของธนาคารที่มีการลงโปรแกรมป้องกันใหม่แล้ว ในส่วนของชาวบ้านก็ต้องช่วยกันในการสอดส่องดูแลถ้าพบเห็นชาวต่างชาติมีพฤติกรรมยืนอยู่ที่ตู้เอทีเอ็มนานๆ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทันที เพราะอาจจะเป็นคนร้ายที่แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุก็ได้ ถ้าทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแลก็จะทำให้คนร้ายไม่กล้าลงมือ