xs
xsm
sm
md
lg

กรณีอุ้มฆ่า “ทนายสมชาย” คดีจบแล้ว แต่กระบวนการยุติธรรมในชายแดนใต้ยังไม่จบ?! / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ทนายสมชาย กับ นางอังคณา นีละไพจิตร
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
 
หลังใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี ในที่สุดกรณี “อุ้มหาย” ที่เกิดขึ้นต่อ “สมชาย นีละไพจิตร” ทนายความชื่อดัง อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งยังเป็นทนายที่ให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของคดีความก็ถูกตัดสินชี้ขาดเป็นครั้งสุดท้ายในขั้นศาลฎีกา เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2558 ให้ “ยกฟ้อง” จำเลยทั้ง 5 คน ซึ่งเป็นการพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ได้ตัดสินไปก่อนหน้านี้
 
กรณีอุ้มหายนายสมชาย นีละไพจิตร เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มี.ค.2547 บนถนนรามคำแหง ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อมีคนร้ายจำนวนหนึ่งได้ปฏิบัติการอุ้มตัวเขาไปจากที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นก็ไม่ใครพบเห็นเขาอีกเลย แม้แต่ศพก็ยังหาไม่พบจนถึงบัดนี้
 
อย่างไรก็ตาม สังคมเชื่อกันว่าเป็นการ “อุ้มฆ่า” โดยทำให้ “ทนายสมชาย” หายไปจากโลกนี้ด้วยการใช้ “นั่งยาง” และนำเถ้าไปทิ้งในทะเล  ซึ่งในการสืบสวนสอบสวนติดตามตัวเขาจึงไม่พบหลักฐานที่เป็น “ชิ้นส่วน” ใดๆ ให้เหลือเพื่อใช้ในการพิสูจน์ “ดีเอ็นเอ” เลยแม้แต่น้อย
 
ประเด็นการอุ้มหายที่เกิดกับทนายสมชาย นั้น ภรรยา ลูก ญาติพี่น้อง รวมทั้งคนส่วนใหญ่เชื่อว่า เกิดจากสาเหตุที่ทนายสมชาย มีส่วนเป็นอย่างมากในการเคลื่อนไหวเรื่อง “สิทธิมนุษยชนในพื้นที่ “จังหวัดชายแดนภาคใต้” รวมทั้งการเป็น “ทนายอาสา ให้แก่กลุ่มผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงที่ “ตำรวจ” ได้กล่าวหาจับกุมชาวมุสลิมจำนวนหนึ่งเป็นผู้ต้องหา ทั้งในคดีเผาโรงเรียน ฆ่าเจ้าหน้าที่ และปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
 
ทั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความรุนแรงระลอกใหม่ของวิกฤต “ไฟใต้” ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.2547
 
ก่อนที่จะถูกอุ้มหายนั้น ทนายสมชาย ได้ทำหน้าที่ทนายอาสาให้แก่ผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ จ.นราธิวาส จับกุมในคดีความมั่นคง หรือกรณีของ “การแบ่งแยกดินแดน โดยเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องต่อกรณี “ปล้นปืน ที่เกิดขึ้น โดยมีการออกมาเปิดเผยว่า กระบวนการสอบสวนผู้ต้องใช้วิธีการ “ซ้อมทารุณ เพื่อให้ผู้ต้องหา “รับสารภาพ” จนเป็นข่าวดังในขณะนั้น
 
หลังจากนั้น ทนายสมชาย ได้ดำเนินการเคลื่อนไหวในการต่อสู้คดี โดยนำเอาประเด็นการ “ซ้อมทารุณ ใช้ในการต่อสู้คดีให้แก่ผู้ต้องหา จนสุดท้ายจึงเกิดการอุ้มหายขึ้นต่อ ทนายสมชาย และนำมาสู่การ “ฟ้องร้องและ “จับกุม ผู้ต้องหาตามการสืบสวนสอบสวนของกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
แม้จะหา “ร่าง” ของทนายสมชาย ไม่พบ แต่ตำรวจก็สามารถรวมรวมหลักฐานจนทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 5 คน นั่นคือ 1.พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน. ช่วยราชการกองปราบ (ขณะนี้เป็นผู้หายสาบสูญ) 2.พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญกำพงษ์ อดีต สวส.กก.4 ป. 3.จ.ส.ต.พาเวง ชันด้วง อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน ผ.4 กก.2 บก.ทท. 4.ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ 5. พ.ต.ท.ชัชชัย เลี่ยมสงวน อดีต รอง ผกก.3 ป. ปัจจุบันคือ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ฝอ.สพ.
 
โดยตั้งข้อหาในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ โดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่ 309 และ 391
 
แต่เมื่อมีการสู้คดีจนถึง 3 ศาล และศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ย่อมถือว่าจำเลยทั้ง 5 คนเป็นผู้บริสุทธิ์ ในขณะนี้ “ครอบครัวนีละไพจิตรก็ต้องน้อมรับคำพิพากษาของศาลฎีกาตามวิธีการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมที่เป็นสากล ซึ่งถือว่า “สิ้นสุด” การต่อสู้คดีระหว่างโจทก์ และจำเลย หลังจากที่ใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี
 
ประเด็นสำคัญของการพิจารณาคดีอุ้มหายที่เกิดขึ้นต่อ ทนายสมชาย ซึ่งกระบวนการยุติธรรมนำมาใช้ในการพิจารณาคือ “พยาน” และ “หลักฐาน” ที่เจ้าหน้าที่ “ตำรวจ” และพนักงาน “อัยการ” ใช้ในการมัดตัวผู้ต้องหา “มีความสับสน และ “ไม่มีความชัดเจน” จึงเชื่อถือยังไม่ได้ เพราะหลักฐานที่เป็นเอกสาร เป็นสำเนา เป็นเอกสารที่ไม่สมบูรณ์
 
ประเด็นดังกล่าวเป็นลักษณะเดียวกันกับการพิจารณา “คดีความมั่นคงที่เกิดขึ้นใน “จังหวัดชายแดนภาคใต้” ที่ทำให้คดีที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่จาก “ตำรวจ” ที่เป็นกระบวนการยุติธรรม “ต้นทาง และ “อัยการ ที่เป็นกระบวนการยุติธรรม “กลางทาง ในฐานของโจทก์ต้อง “เหนื่อยเปล่า ในการฟ้องผู้ต้องหา เพราะสุดท้ายเมื่อ “พยานและ“หลักฐาน” ไม่สมบูรณ์ ย่อมเอาผิดผู้ต้องหาไม่ได้
 
จึงเชื่อว่าวันนี้สังคมส่วนใหญ่ในสังคม “เห็นใจ” กับ “นางอังคณา นีละไพจิตร และครอบครัว” ที่ใช้เวลาในการต่อสู้ดิ้นรน โดยใช้ทุกช่องทางในคดีที่เกิดขึ้นต่อทนายสมชาย เพื่อที่จะนำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี
 
ดังนั้น การที่นางอังคณา ผู้เป็นภรรยาของทนายสมชายกล่าวว่า “ขอไว้อาลัยกระบวนการยุติธรรมไทย” จึงเป็นการพูดของคนที่ “ผิดหวัง” และ “เสียใจ” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
 
แต่ถึงจะอย่างไร ครอบครัวของทนายสมชาย ก็ได้รับการ “เยียวยา จากรัฐเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท รวมทั้งสิทธิอื่นๆ เพื่อเป็นการเยียวยาทางด้านจิตใจ เช่นเดียวกับผู้เสียหาย และครอบครัวผู้สูญเสียในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเหตุการณ์ “ตากใบทมิฬเหตุการณ์ตายหมู่กรณี “มัสยิดกรือเซะ เหตุการณ์สังหาร “นักฟุตบอล 12 ศพ” ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา รวมถึงกรณีการตายอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ ด้วย
 
แม้การเยียวยาด้วยเงิน และสิทธิอื่นๆ จะไม่ช่วยให้ผู้เสียชีวิตคืนชีพ และในทางคดีไม่สามารถทำให้ “จำเลยได้รับโทษ” แต่ก็ถือว่าการเยียวยาทางจิตใจก็เป็นการเยียวยาในกระบวนการยุติธรรมอีกโสตหนึ่ง ซึ่งนับแต่นี้ไปคงต้องติดตามดูว่า ครอบครัวของทนายสมชายจะดำเนินการอย่างไรต่อการหา “คนผิด” มาลงโทษ
 
คดีทนายสมชาย ไม่ใช่คดีแรกที่ต้องใช้เวลาในการต่อสู้คดี และจบลงที่การยกฟ้อง ยังมีคดีมากมายที่มีการยกฟ้อง เพราะพยานหลักฐานที่ใช้ในการฟ้องไม่สามารถเอาผิดต่อผู้ต้องหาได้ ดังนั้น สิ่งที่กระบวนการยุติธรรมต้องทำต่อไป และต้องเร่งทำด้วยคือ การสร้างบรรทัดฐานของการรวมรวมพยานหลักฐานที่ควรแก่การเชื่อถือต่อรูปคดีที่เกิดขึ้น เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผู้เสียหายได้อย่างแท้จริง
 
แต่อย่างไรเสีย คดีอุ้มหายที่เกิดขึ้นต่อทนายสมชาย ก็มี “คุณูปการ” ที่เกิดขึ้นต่อสังคมไทย นั่นคือ สังคมไทยเกิด “หญิงแกร่ง” ที่เป็น “หัวหอก” ในการออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน และความเป็นธรรมให้เกิดต่อสังคมไทยอย่างเข้มแข็ง เธอคือ “นางอังคณา นีละไพจิตร” ภรรยาของทนายสมชาย ที่วันนี้เธอคือ 1 ใน “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ของประเทศไทย
 
จึงเชื่อว่ากรณีที่เกิดขึ้นต่อทนายสมชาย จะเป็นแรงผลักดันให้คณะกรรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ “ตระหนักถึงการสร้างกระบวนการยุติธรรมที่สามารถให้ความเป็นธรรมต่อผู้เสียหาย และสูญเสียอย่างเป็นธรรม โดยที่ไม่ต้องมีคำถามจากผู้ที่สูญเสียว่า “ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ” กับสิ่งที่เกิดขึ้น
 
อย่างแรกที่คนอยากเห็น และเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำได้คือ การออก “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราม การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย” ที่ร่างเสร็จตั้งแต่ปี 2557 ทำประชาพิจารณ์ และผ่านการพิจารณาของ ครม. รวมทั้งผ่านการตรวจสอบของกฤษฎีกาแล้ว เหลือก็แต่เพียงการประกาศใช้เท่านั้น ตรงนี้ต่างหากที่จะแสดงถึง “ความเอาจริง ของการแก้สิ่งที่เป็นปัญหาของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม
 
ถ้าความยุติธรรมคือ “รากเหง้า” ของการเกิดวิกฤต “ไฟใต้” อย่างที่มีการกล่าวกันไว้ “การดับไฟใต้” ก็ต้องเริ่มที่สร้าง “ความยุติธรรม” ให้เกิดขึ้นนั่นเอง
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น