xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึกปมฆ่านักธุรกิจมาเลย์ (2)..ไยปล่อยให้ “กลุ่มทุนมาเลย์” ฮุบธุรกิจ “ด่านนอก”?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฟ้มภาพ
 
ผ่านไป 6 วัน กับคดีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถเบ็นซ์หรูของ “มิสเตอร์ ลี อาฮง” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้านชาวมาเลเซีย ซึ่งเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย หรือที่ตลาดไทยจังโหลน หรือด่านนอก ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา
 
ล่าสุด แหล่งข่าวจากชุดสืบสวนสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ระบุว่า สิ่งที่ชุดสืบสวนได้มาจากการไล่เช็กกล้องวงจรปิด คือ เส้นทางของรถเก๋งที่คนร้ายใช้เป็นพาหะนะ แต่ยังไม่ทราบว่ารถยนต์ทั้ง 2 คัน ขณะนี้ถูกนำไปหลบซ่อนไว้ที่ไหน และเป็นรถยนต์ที่มีการแจ้งหายไว้หรือไม่  ซึ่งชุดสืบสวนได้ประสานงานกับตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียงคือ จ.พัทลุง จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สตูล ในการแกะรอยเพื่อหารถยนต์ที่ต้องสงสัยแล้ว
 
ในขณะที่ตำรวจชุดสืบสวนที่สันทัดในเรื่องของซุ้มมือปืนให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบสารบบของมือปืน และเจ้าของซุ้มแล้วเชื่อว่า คนร้ายกลุ่มนี้ไม่ใช่มือปืนซุ้มในพื้นที่ของ จ.สงขลา ทั้งที่เป็นนักการเมือง และผู้นำท้องที่ แต่มีเบาะแสในเชื่อมโยงบางส่วนกับผู้มีอิทธิพล และคนมีสีใน อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็นผู้รับงานในการสังหาร ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการแกะรอย และหาพยานยืนยัน
 
พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภ.9 ซึ่งลงมาควบคุมคดีด้วยตนเองเปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ผู้ตายเป็นนักธุรกิจชาวมาเลเซียที่เข้ามาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย และญาติของผู้ตายได้เข้าร้องขอให้ตำรวจมาเลเซียติดตามคดีที่เกิดขึ้นด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีการประสานมาจากตำรวจของรัฐเกดะห์แต่อย่างใด
 
เวลานี้ประเด็นที่ตำรวจให้ความสนใจ และมีน้ำหนักมากที่สุดคือ เรื่องการฆ่าเพื่อ “ล้างหนี้” จากหุ้นส่วนที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน โดยญาติๆ ของผู้ตายเชื่อว่าผู้ตายขัดแย้งกับ “เฮีย ก.” ซึ่งมีปัญหาในเรื่องหนี้สินกับผู้ตายเป็นเงิน 30 กว่าล้านบาท
 
จากการตรวจสอบพบว่า “เฮีย ก.” มีชื่อจริงว่า “กัง ซี เกียด เป็นอดีตเจ้าของโรงแรมเคพีเค รีสอร์ท ซึ่งเป็นโรงแรมดังกลางเมืองที่บ้านไทยจังโหลน ต.สำนักขาม อ.สะเดา ซึ่งมีนายตำรวจ และข้าราชการอื่นๆ ใน จ.สงขลาให้การสนับสนุนอย่างคึกคัก
 
ต่อมา “มิสเตอร์ กัง ซี เกียด” ได้ขายโรงแรมเคพีเค ให้แก่บริษัท เอ็ม บี ไอ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของกลุ่มทุนข้ามชาติของชาวมาเลเซียอีกบริษัทหนึ่ง โดยตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ โดยมี “มิสเตอร์ เตียว อุย ฮวด” ชาวมาเลเซีย และ “นายวิทยา จันทร์ดี” เป็นกรรมการบริษัท ซึ่งนอกจากเป็นเจ้าของโรงแรมเค พี เค แล้วยังมีธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก
 
มีประเด็นที่น่าสนใจในคดีนี้อีกด้วยคือ แหล่งข่าวในพื้นที่ ต.สำนักขาม ให้ข้อมูลว่า ต้องการให้สื่อมวลชนตีแผ่เรื่องราวที่ “กลุ่มมาเลเซีย” เข้ามากว้านซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจ “เอนเตอร์เทนเมนต์แบบครบวงจร” ในพื้นที่บ้านไทยจังโหลน โดยใช้คนไทยกลุ่มหนึ่งเป็นนอมินี หรือตัวแทนในการถือครองที่ดิน จนเวลานี้ธุรกิจทั้งหมดในบ้านไทยจังโหลนกว่า 80% ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนต่างชาติแล้ว
 
สำหรับวิธีการเข้ามาถือครองที่ดิน หรือเป็นเจ้าของธุรกิจของนายทุนมาเลเซียคือ การสร้างอิทธิพลในพื้นที่ผ่านนักการเมืองท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ มีการสร้างอาณาจักรบันเทิง และใช้วิธีการเลี้ยงดูปูเสื่อ พร้อมทั้งจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน แต่จะให้น้ำหนักในที่ตำรวจ และฝ่ายปกครองเป็นหลัก
 
มีการดึงตำรวจทั้งในพื้นที่ ในจังหวัด และจากกองบัญชาการให้เข้ามาร่วมทุนในฐานะของ “หุ้นส่วน แบบไม่ต้องลงขันจริง โดยทุกสิ้นเดือนจะมีการจ่ายค่าตอบแทนอย่างงดงาม รวมถึงมีการซื้อบ้าน หรือซื้อที่ดินให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูง เพื่อให้อำนวยความสะดวกในการทำ “ธุรกิจสีเทา และอาจรวมถึงการไม่ทำตามกฎหมาย เช่น การเปิดสถานบันเทิงโดยไม่มีอนุญาต และเปิดเกินเวลา
 
แหล่งข่าวในพื้นที่เปิดเผยว่า โรงแรมเกือบทั้งหมดทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็กที่มีอยู่นับร้อยแห่งในตลาดไทยจังโหลนล้วนเป็นของนายทุนมาเลเซียแทบทั้งสิ้น มีเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้นที่เป็นของกลุ่มนักธุรกิจคนไทยในพื้นที่คือ โรงแรมสาธิต รวมถึงธุรกิจเครือสาธิตกรุ๊ป และโรงแรมในเครือของ “โกหย่ง”
 
เช่นเดียวกับสถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อคือ ทั้งคาราโอเกะ นวดแผนโบราณ ห้องอาหาร สวนอาหาร ฯลฯ เหล่านี้ต่างเป็นของนายทุนชาวมาเลเซียเกือบ 100% แต่มีการว่าจ้างให้คนไทยที่เป็นตัวแทน หรือคอยจัดการดูแล หรือไม่ก็ให้ “หญิงไทย ที่เป็นภรรยาเป็นผู้ดูแลเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย
 
แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า การทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน และที่ดิน ทั้งหมดล้วนเป็นธุรกรรมอำพราง จึงอยากให้มีการตรวจสอบการเรื่องโอน โดยเฉพาะการซื้อขายที่ดินในพื้นที่ ต.สำนักขาม กับสำนักงานที่ดิน อ.สะเดา เพราะถ้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็จะพบว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินล้วนเป็นการถือครองแทนชาวต่างชาติเกือบทั้งสิ้น แต่ที่ผ่านมา เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้สนใจในการตรวจสอบ
 
อสังหาริมทรัพย์ที่นายทุนชาวมาเลเซียให้ตัวแทนถือครอง โดยมากมักจะใช้ตัวแทนที่เป็น “ลูกน้องและ “หญิงไทย” ที่เป็นที่ไว้วางใจว่าไม่มีการโกง โดยมีการจ่ายค่าจ้างเดือนละ 15,000-20,000 บาท แล้วส่วนหนึ่งจะถูกนำไปเป็นหลักทรัพย์ในการขอสินเชื่อจากสถานบันการเงิน ทำให้นายทุนเหล่านี้ไม่ต้องกลัวถูกโกง แต่ก็มีบ้างที่ถูกโกงจากหุ้นส่วนคนไทย และส่วนใหญ่จะจบลงด้วยการฆ่าชาวมาเลเซียที่ไม่ยอมแพ้
 
“เวลานี้กลุ่มทุนมาเลเซียได้สยายปีกเข้าครอบคลุมธุรกิจทุกอย่างของบ้านไทยจังโหลน โดยมีคนไทย และคนมีสีในพื้นที่ให้การสนับสนุนเพื่อแลกต่อผลประโยชน์ ซึ่งนอกจากในเรื่องของธุรกิจโรงแรม สถานบันเทิงในรูปแบบต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งค้ามนุษย์ใหญ่ที่สุดใน จ.สงขลาด้วย และที่น่าสนใจคือ การใช้สถานที่เอนเตอร์เทนในรูปแบบต่างๆ เป็นที่ทำเงินจากการค้ายาเสพติดอย่างโจ๋งครึ่ม”
 
เรื่องราวเหล่านี้ผู้คนในพื้นที่ได้ตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า ตำรวจ และฝ่ายปกครองไปอยู่กันที่ไหนกันหมด..?!?!
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น