ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “พ.ต.ท.มือปราบ” ร้อง! คสช.ให้ดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรสตูลที่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกา เชื่อผู้มีอิทธิพลถ่วงคดีล้าช้ากว่า 6 ปี ยันจะต่อสู้จนถึงที่สุด
วันนี้ (23 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ยงยศ เทียมประชา อดีตสารวัตร (ทำหน้าที่สืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสตูล) ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากผู้สื่อข่าวว่า เมื่อปี พ.ศ.2535 ขณะรับราชการที่ สภ.อ.สตูล ได้รับคำสั่งจาก ผบช.ภ.4 ให้เข้าสืบสวนจับกุมผู้ลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติรายใหญ่ใน จ.สตูล โดยได้ทำการจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน จำนวน 37,800 ลิตร ได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ คือเรือ “ลักษมี” และเรือ “ฮะเฮง” พร้อมรถบรรทุกน้ำมัน 6 ล้อ อีก 1 คัน พร้อมเครื่องดูดน้ำจากในเรือใส่รถบรรทุก และจับกุมได้ผู้ต้องหาอีก 2 คน สำหรับเรือน้ำมันเถื่อน เป็นของนายทุน นักการเมืองรายใหญ่ใน จ.สตูล
พ.ต.ท.ยงยศ เปิดเผยต่อไปว่า หลังจากที่ได้นำของกลาง พร้อมผู้ต้องหาส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งร้อยเวรเจ้าของคดีในขณะนั้นคือ พ.ต.ต.ประวีณ พงษ์ศิรินทร์ สสว.สภ.สตูล ส่วนของกลางที่เป็นเรือ และน้ำมันเชื้อเพลิงนำส่งด่านศุลกากร จ.สตูล เป็นผู้เก็บรักษา เนื่องจากเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
หลังจากนั้น นายทุนเจ้าของเรือได้แจ้งความดำเนินคดีต่อตน และลูกน้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยนายทุนนักการเมืองอ้างว่า น้ำมันที่ตนเองจับกุมเป็นน้ำมันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ตนต้องเสียเวลาในการต่อสู้คดีกับนายทุนดังกล่าว รวมทั้งข้าราชการบางคน ที่มีผลประโยชน์ในการค้าของผิดกฎหมายกับนายทุนคนดังกล่าว ซึ่งตนใช้เวลาในการต่อสู้คดี จากปี 2535 จนถึง ปี 2542 ศาลฎีกาได้พิพากษาตามคำพิพากษาที่ 8857, 8858/2542 ให้ตนเองเป็นผู้ชนะคดี และให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489
พ.ต.ท.ยงยศ เปิดเผยต่อไปว่า หลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเป็นที่เด็ดขาดแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศุลกากรไม่ได้ดำเนินการตามคำสั่งของศาลฎีกาในเรื่องการจ่ายบำเหน็จในการปราบปรามตาม พ.ร.บ.2489 แต่อย่างใด ซึ่งใน พ.ร.บ.ดังกล่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศุลกากรจะต้องขายของกลาง และนำเงินของกลางให้แก่รัฐ และตนก็จะได้รับบำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดจากศาล
ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2553 ตนได้ทำหนังสือสอบถามไปยังด่านศุลกากรจังหวัดสตูล เพื่อขอทราบความคืบหน้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ศุลกากร จ.สตูล ได้ตอบหนังสือมาว่า ให้ตนเองทำการสละสิทธิในการรับเงินบำเหน็จแก่ผู้ปราบปรามการกระทำผิด ตามมาตรา 2489 เพื่อมารับบำเหน็จตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 แทน
ซึ่งตนได้ปฏิเสธว่า ตนขอยืนยันที่จะรับเงินบำเหน็จฯ ตาม พ.ร.บ.2489 ตามคำสั่งของศาลฎีกาเท่านั้น เพราะตนต้องการให้มีการนำเงินจากการจำหน่ายของกลางเข้าหลวงก่อน ที่ตนจะขอรับบำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด แต่จนถึงบัดนี้หลังจากที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งศุลกากร จ.สตูล ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลฎีกาแต่อย่างใด
พ.ต.ท.ยงยศ กล่าวว่า ตนต่อสู้เพื่อความถูกต้องของกฎหมาย และเพื่อความเป็นธรรมของตนเอง จนเกษียณอายุราชการ แต่ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะนี้นอกจากร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชนแล้ว ตนได้ทำหนังสือถึงหัวหน้า คสช.เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม และศุลกากร จ.สตูล ให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ซึ่งตามกฎหมายการที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกาเป็นความผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตราที่ 40 และกฎหมายอาญามาตราที่ 203 ตนต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจนสามารถชนะคดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น จนถึงศาลฎีกา แต่สุดท้ายเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ทำตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ตนเองจึงหวังที่จะขอความเป็นธรรมจากหัวหน้า คสช.ในการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายในครั้งนี้