“จลาจลเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา หน้าสถานีตำรวจภูธรถลาง เป็นการฉวยโอกาส “เอาคืนตำรวจ” ของกลุ่มวัยรุ่น รวมทั้งเครือข่ายยาเสพติดที่ไม่พอใจการทำงานของตำรวจ” นี่คือสิ่งที่ พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ยอมรับถึงชนวนเหตุความรุนแรงของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อจังหวัดภูเก็ตครั้งใหญ่สุดของการประท้วงที่ผ่านมาๆ
ตัวจุดชนวนความรุนแรงจนสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้ภูเก็ต เริ่มต้นจากเมื่อช่วงสายๆ ของวันเสาร์ที่ 10 ต.ค.2558 ตำรวจชุดเฉพาะปราบปรามยาเสพติด สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ตั้งด่านตรวจปฏิบัติหน้าตามปกติ บนถนนน้ำตกโตนไทร ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง ระหว่างนั้นได้มีวัยรุ่น 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกตรวจ แต่วัยรุ่นทั้ง 2 คน กลับบึ่งรถหลบหนีแบบไม่คิดชีวิต ตร.ได้วิทยุขอกำลังสนับสนุนในการสกัดจับทุกเส้นทาง เพราะสงสัยว่าอาจจะมีสิ่งผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง โดยมีการไล่ล่ากันไปตามถนน จนกระทั่งรถกระบะของตำรวจกระแทกกับรถจักรยานยนต์ของวัยรุ่นที่ขับสวนมาเข้าอย่างจัง ร่างของวัยรุ่นทั้ง 2 คน กระเด็นออกไปกระแทกกับเสาไฟฟ้า และพื้นปูนข้างทางเป็นเหตุให้วัยรุ่นเสียชีวิตคาที่ 1 ราย และเสียชีวิต ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล 1 ราย คือ นายปฐมวัฒน์ ปะณะรักษ์ อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7 หมู่ 4 ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และนายแน็ต (นามสมมติ) อายุ 17 ปี พร้อมยาบ้า 50 เม็ด และใบกระท่อมอีกจำนวนหนึ่ง
การเสียชีวิตของวัยรุ่นทั้ง 2 ราย สร้างความคับแค้นใจให้แก่พ่อแม่ และญาติพี่น้องๆ รวมทั้งพรรคพวกเพื่อนฝูงเป็นอย่างมาก ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนี้ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และไม่เชื่อว่าลูกหลานของตัวเองจะมียาบ้าไว้ในครอบครอง จึงได้รวมตัวกันประมาณ 100 คน มาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ผู้ตาย และให้นำตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเฉพาะกิจปราบปรามยาเสพติด สภ.ถลาง ทั้ง 4 นาย ลงมาพบกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องได้ ทำให้กลุ่มญาติบางคนไม่พอใจบุกเข้าไปทุบกระจกห้องทำงาน ผกก.สภ.ถลาง ได้รับความเสียหายยับเยิน
การชุมนุมเรียกร้องมีทีท่าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา นายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต นายอำเภอถลาง ผกก.ถลาง เข้าเจรจากับพ่อแม่ผู้เสียชีวิต การเจรจาในรอบบ่ายวันนั้นสามารถตกลงกันได้ด้วยดี ด้วยข้อเสนอของทางราชการที่จะให้ความเป็นธรรมต่อผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ และรับปากที่จะย้ายตำรวจทั้ง 4 นายออกจากพื้นที่ ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับ
แต่หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 18.00 น.ของวันเดียวกัน ได้มีกลุ่มชาวบ้าน และวัยรุ่นมารวมตัวกันอีกครั้งที่บริเวณหน้า สภ.ถลาง โดยอ้างว่ายังไม่พอใจต่อข้อตกลง ต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรมโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติดที่ตำรวจระบุว่า พบในกระเป๋าสะพายของผู้ตาย ซึ่งกลุ่มผู้ที่มาชุมนุมยืนยันว่า ผู้ตายไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เจ้าหน้าที่ยัดยาให้คนตาย และที่สำคัญให้นำตำรวจทั้ง 4 นาย ลงมาพบผู้ชุมนุม เพราะมองว่าตำรวจทั้ง 4 นาย ทำเกินกว่าเหตุเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ควรถึงขั้นมีการเสียชีวิต
ความรุนแรงยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไม่สามารถนำตำรวจทั้ง 4 นาย ลงมาพบผู้ชุมนุมได้ และในขณะเดียวกัน ได้มีกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นเพื่อนผู้ตาย และกลุ่มคนที่ไม่พอใจตำรวจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วออกมาเคลื่อนไหวปลุกระดมชักชวนให้ออกมารวมตัวชุมนุมผ่านทางโซเชียลอย่างคึกคัก ส่งผลให้ในเวลาไม่นานจำนวนผู้ชุมนุมได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีแกนนำ และข้อเรียกร้องที่ชัดเจน แม้ว่าทางตำรวจ และจังหวัดภูเก็ตจะพยายามเจรจาให้สลายตัว แต่ก็ไม่เป็นผล และยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้น กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปลุกระดมตลอดเวลา จนนำไปสู่การปิดถนน กลุ่มผู้ชุมนุมยังฮึกเหิม โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนผสมกับบางคนที่อาการมึนเมาได้ใช้ก้อนหินขวางปาเข้าไปในโรงพัก จนทำให้กระจกชั้น 1 และ 2 แตกเสียหายยับเยิน ใช้น้ำมันเบนซินราดเผารถยนต์ที่จอดอยู่หน้าโรงพักเสียหายทีละ 1-2 คัน โดยที่หน่วยงานราชการไม่สามารถดับเพลิงได้ ได้แต่นั่งมองไฟลุกไหม้รถยนต์ไปทีละคันๆ ทั้งที่รถดับเพลิงของเทศบาลตำบลเทพกระษัตรีอยู่รั้วติดกับโรงพัก ทั้งนี้ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมขู่ว่าหากเอารถดับเพลิงออกมาจะเผาให้วอดทั้งรถดับเพลิง และสำนักงานเทศบาล เมื่อเผารถยนต์ไปคันแล้วคันเล่า หน่วยงานราชการไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งทำให้กลุ่มวัยรุ่นฮึกเหิมยิ่งขึ้น เผารถยนต์ไปทั้งหมด 8 คัน ปาระเบิดขวดหวังเผาโรงพัก โห่ร้อง ด้วยความดีใจทุกครั้งที่ไฟลุกไหม้รถยนต์ และเข้าไปทำลายทรัพย์สินของโรงพักถลางได้
ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในภูเก็ต ทั้งรองผู้ว่าฯ ผู้การฯ นายอำเภอ ผกก.สภ.ถลาง ปลัดจังหวัด ตำรวจ สภ.ถลาง 30 นาย ตำรวจชุดควบคุมฝูงชุด 50 นาย ติดอยู่บนชั้น 3 และด้านหลังของโรงพักถลาง
ผู้บริหารจังหวัดภูเก็ต และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เลือกที่จะไม่สลายกลุ่มผู้ชุมนุม ด้วยเหตุผลที่ว่า กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอต่อการสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมอยู่ในอาการมึนเมา ขาดสติ สามารถก่อเหตุรุนแรงได้ตลอดเวลา มีอาวุธปืน และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียเพิ่มขึ้น จึงต้องรอกำลังเสริมจากมณฑลทหารบกที่ 41 และตำรวจภูธรภาค 8 ที่เดินทางมาจาก จ.กระบี่ และ จ.พังงา เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่กล้าทำอะไรก็ยิ่งทำให้กลุ่มวัยรุ่นเหิมเกริมหนักขึ้น สร้างสถานการณ์ก่อกวนขึ้นเรื่อยๆ เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ขวางปาก้อนหิน และระเบิดขวดใส่โรงพักถลางตลอดเวลา ขยายวงไปปิดถนนตามจุดต่างๆ เพิ่ม ทุบทำลายกล้องวงจรปิดตามสี่แยกเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด
จนกระทั่งเวลา 03.30 น. ของวันที่ 11 ต.ค.พล.ต.ธีร์ณฉัฎฐ์ จินดาเงิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 พร้อมกำลังทหาร และตำรวจชุดควบคุมฝูงชนจากพังงาเดินทางมาถึง เข้าเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมจนยอมสลายตัว และนัดหารือกันอีกครั้งในเวลา 09.00 น. ที่ศาลาอเนกประสงค์บ้านดอน โดยมีผู้ว่าฯ ผู้การฯ รองผู้ว่าฯตัวแทนญาติ ได้ข้อสรุปว่า จะให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของตำรวจ และจังหวัด ภายใน 30 วัน และให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตรับทราบทุกขั้นตอนของการตรวจสอบ และพร้อมที่จะเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต
ความคึกคะนองแบบบ้าคลั่งของกลุ่มวัยรุ่นที่ร่วมชุมนุมครั้งนี้ ถือว่าได้สร้างความเสียหายให้แก่จังหวัดภูเก็ตมากกว่าการชุมนุมประท้วงทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา ถ้าไม่นับรวมถึงการชุมนุมประท้วงกรณี “แทนทาลั่ม” ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว โดยครั้งมีความรุนแรงถึงขีดสุด กลุ่มผู้ชุมนุมถึงขั้นจุดไฟเผารถ ทุบทำลายรถ จนได้รับความเสียหายไปประมาณ 27 คัน ในจำนวนนั้นถูกไฟเผาวอด จำนวน 9 คัน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 5 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังทำลายกระจกโรงพักด้วยการขว้างก้อนหิน ของแข็งเข้า และระเบิดขวดเข้าใส่ และมีความพยายามที่จุดไฟเผาโรงพักให้วอด โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา ซึ่งจากการประเมินความเสียหายในเบื้องต้นเฉพาะตัวโรงพักมีกว่า 1.4 ล้านบาท ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่ทรัพย์สินเท่านั้น แม้ว่าการชุมนุมจะเสร็จสิ้นลงแล้ว และทุกคนกำลังทยอยเดินทางกลับ แต่กลุ่มวัยรุ่นที่มาร่วมชุมนุมยังไม่ยอมหยุดสร้างสถานการณ์ เมื่อไปเจอกับเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนที่กำลังเดินทางออกจากจุดเฝ้าระวังเพื่อไปยังจุดรวมพล ซึ่งห่างจากจุดที่มีการชุมนุมประมาณ 500 เมตร ก็มีการตะโกนเพื่อปลุกระดมว่า “ตำรวจทำร้ายประชาชน” จนกระทั่งกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังเดินทางกลับได้รวมตัวกันอีกครั้ง และบุกเข้าทำร้ายชุดควบคุมฝูงชนที่ทำได้เพียงการป้องกันตัวและ หลบหนีให้ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากติดกับคำสั่งว่า “จะต้องไม่ตอบโต้ประชาชนทุกกรณี” ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้มีข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ ไปจนถึงระดับปฏิบัติได้รับบาดเจ็บไปกว่า 30 นาย มีทั้งที่ถูกขว้างด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน ท่อนไม้ และถูกทุบตีด้วยของแข็ง
และที่สำคัญที่สุด ความเสียหายที่เกิดจากความบ้าคลั่งของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ก่อเหตุแบบไร้สติ ไม่มีจรรยาบรรณ ยังได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนอื่นที่ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ความไม่เข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ถลาง และกลุ่มผู้ชุมนุมเลย คือ การที่กลุ่มผู้ชุมนุมคึกคะนองถึงขั้นขัดขวางไม่ให้รถโรงพยาบาลจากจังหวัดกระบี่ ที่นำผู้ป่วยส่งต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพ ไปส่งผู้ป่วยได้ แม้ว่าทางญาติที่เดินทางมากับรถพยายามที่จะตะโกนบอกว่า “ในรถมีผู้ป่วยหนักต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และจะต้องไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด” แต่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ยอมที่จะเปิดทาง รวมทั้งยังทุบทำลายรถจนได้รับความเสียหายหลายจุด และกักรถไว้ประมาณ 20 นาที จึงปล่อยรถออกมา ซึ่งขณะนั้นผู้ป่วยที่อยู่บนรถเกิดอาการหายใจไม่ออก ต้องแวะส่งที่โรงพยาบาลถลาง เป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือในเบื้องต้น แต่สุดท้ายผู้ป่วยรายดังกล่าวก็เสียชีวิตลงก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ความสูญเสียจุดนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าหากกลุ่มผู้ชุมนุมยอมที่จะให้รถพยาบาลวิ่งออกไปยังจุดหมายทันที
นอกจากนั้น ยังมีความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาพรวมการท่องเที่ยวข้องจังหวัดภูเก็ต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนหลายคนที่เดินทางไปขึ้นเครื่องไม่ทัน เครื่องบินดีเลย์ และที่สำคัญคือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งความเสียหายเหล่านี้ไม่สามารถประเมินค่าได้ แต่เกิดขึ้นมหาศาลอย่างแน่นอน
ทำไมการชุมนุมครั้งนี้ถึงมีความรุนแรงจนถึงขั้นก่อเหตุจลาจล จุดไปเผา ทุบทำลายทรัพย์สิน และสถานที่ราชการแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พล.ต.ต.พชร บุญญสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ได้ไขข้อสงสัยดังกล่าว แบบสั้นๆ ว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเอาคืนตำรวจของคนที่เสียผลประโยชน์ในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องยาเสพติด และการกระทำความผิดอื่นๆ เนื่องจากที่ผ่านมา ตำรวจได้กวาดล้างจับกุมอาชญากรรมอย่างหนัก ทำให้คนเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ซึ่งบางคนจากการตรวจสอบพบว่า มีประวัติการถูกจับกุม หรือถูกดำเนินคดีมาแล้ว และคนที่มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะญาติของผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่มีมาจากที่อื่นด้วย เป็นกลุ่มเข้ามาเพื่อฉกฉวยโอกาสเพื่อเอาคืนตำรวจ” ซึ่งสอดคล้องต่อคำพูดของญาติผู้เสียชีวิต ว่า เหตุการณ์ชุมนุมที่บานปลายนั้นไม่ได้เกิดจากการเสียชีวิตของวัยรุ่นทั้ง 2 คน แต่เป็นการรวมตัว และเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่มีความเกลียด และไม่พอใจตำรวจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยอาศัยชนวนเหตุของการเสียชีวิตมาเป็นข้ออ้าง และปลุกระดมเพื่อความสะใจ
ความเสียหายที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่ปล่อยให้กลุ่มวัยรุ่นบ้าคลั่งเหล่านั้นลอยนวลหวนกลับมาก่อเหตุในครั้งต่อๆ ไปอีก ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ 9 แกนนำมาดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ทั้งในส่วนที่ทุบกระจกห้องทำงานผู้กำกับฯ ปาก้อนหินใส่กระจก สภ.ถลาง เผารถยนต์ เป็นต้น
ความสะใจ แค่จะเอาคืนตำรวจของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ได้สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินของราชการ และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของเมืองภูเก็ต แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกแค่เพียงข้ามคืน เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่จังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสอง หากมีการชุมนุมประท้วงในลักษณะเดียวกันนี้