หมายเหตุ - ข้อเขียนชิ้นนี้เป็นความคิดเห็นที่ “ชาติ กอบจิตติ” นักเขียนชื่อดังเจ้าของ 2 รางวัลซีไรต์ เขียนไว้ในเฟชบุ๊กส่วนตัว Chart Korbjitti คอลัมน์ “ทัศนะ” ASTVผู้จัดการภาคใต้ เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความตื่นตัวเป็นหูเป็นตา ช่วยกันเฝ้าระวังเหตุร้ายของภาคประชาชน จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่เพื่อสาธารณประโยชน์
ความเห็น
ตอนเข้ากรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ หลังจากเอาเสื้อไปส่งที่โรงงานพิมพ์เสื้อแล้ว เย็นก็เสร็จงาน มีนัดคุยกันกับน้องกินข้าวกินเหล้ากัน ระหว่างรออยู่ ข่าวในทีวีว่ามีระเบิดที่ราชประสงค์ ดูข่าวได้สักพัก น้องก็มา จึงออกจากบ้านไปหาร้านข้าวต้มหลังซอยใกล้ๆ บ้าน (ที่เมืองนนท์)
หัวข้อในการสนทนาคงไม่พ้นเรื่องระเบิด ต่างคนต่างมีความเห็นว่าใครเป็นผู้ลงมือทำ หรือพูดให้ชัดก็คือ ใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ สรุปแล้วก็คือ ไม่รู้หรอก ต่างคนต่างไม่รู้ รู้อยู่ตรงกันว่า เขาไม่น่าทำกับคนด้วยกัน ไม่น่าเอาชีวิตคนมาเป็นเหยื่อ
ถ้าเรามองเรื่องนี้กันด้วยสายตาของความเป็นจริง การเอาชีวิตคนมาเป็นเหยื่อ การที่เอาความเสียหายที่ปรากฏมาเป็นเครื่องต่อรองนั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวันนี้ มันมีมานานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เรารู้อยู่ กรณีทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ตอนสงครามโลกครั้งที่สองโน่น เหตุการณ์คราวนั้นคนตายไปเท่าไหร่ คนเหล่านั้นเกี่ยวข้องอะไรด้วยไหม? ไม่ได้ต่างกับครั้งที่วางระเบิดที่ราชประสงค์ เพราะจุดมุ่งหมายคือ ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องตาย อาจจะต่างกันบ้าง คือจุดประสงค์เอาชีวิตคนบริสุทธิ์มาเป็นเหยื่อเหมือนกัน เพราะต้องการให้จุดมุ่งหมายบรรลุถึงจุดประสงค์
หลังเหตุการณ์วางระเบิดที่ราชประสงค์ มีคนจำนวนมากออกมาประณามการกระทำครั้งนี้ ในความเห็นของผม ผมคิดว่าผู้กระทำ หรือขบวนการนี้เขาคงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรด้วย ตรงข้าม เมื่อเราประณามเขา เขาอาจจะพอใจยิ้มในใจภูมิใจในผลงานของเขาที่มีคนให้ความสนใจกล่าวขวัญกันไปทั่ว เหมือนว่าโพสต์ไปแล้วมีคนกดไลก์กันมากมาย แต่เชื่อว่าที่เราประณามเขานั้น เราประณามในความเป็นคนของเขา (ถ้ามี)
ผมว่าบุคคลประเภทนี้เราไม่สามารถเรียกว่าคนได้ เพราะเขาเกิดมาโดยไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง อาศัยอยู่บนโลก โดยไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรู้จัก ที่สำคัญเขาไม่มีจิตใจ เขาไม่ศรัทธาในชีวิตมนุษย์ เขาไม่คิดว่าคนที่ต้องตายด้วยน้ำมือเขานั้นมีพ่อมีแม่ มีคนอื่นที่เสียใจ เขาไม่เคยคิด การจะไปประณามเขาก็คงไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ตัวเขา เราควรหันกลับมาดูตัวเรา
ทุกวันนี้เราต้องยอมรับความจริงกันว่า เราอยู่ในรัฐบาลทหาร แน่นอนว่า คลื่นใต้น้ำต่างๆ หรือความไม่สงบสันติในบ้านเราต้องมีเป็นธรรมมดา และเชื่อว่ารัฐบาล (ทหาร) ก็ต้องรู้ เขาต้องมีระบบป้องกันเรื่องเหล่านี้อย่างเข้มงวดมากกว่ารัฐบาลพลเรือน แต่เหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้เช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้ จะว่าหละหลวม จะว่าคนจ้องกับคนระวังไม่เหมือนกันก็ว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือมันเกิดขึ้นแล้ว
ชีวิตเราทุกวันนี้อยู่ยากขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้ บัดนี้เราได้เห็นแล้วว่าไม่ใช่มีแต่ในต่างประเทศ ที่บ้านเรามีแล้วที่ใจกลางเมืองหลวง เราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่มันจะเกิดขึ้นอีก เราไม่รู้หรอกว่า ใครเป็นคนทำ แม้ว่า (สมมติว่า) เราจะจับคนร้ายได้ในคร้ั้งนี้ได้ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ครั้งหน้าคนอื่นจะไม่ทำอีก เพราะจุดมุ่งหมายเขาต้องการเอาชีวิตของมนุษย์มาเป็นเหยื่อ
สำหรับเรา ต่อแต่นี้คงต้องระมัดระวังกันมากขึ้น ช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแล จะคิดว่า ไม่ใช่ธุระของเราคงไม่ได้แล้ว คงต้องละเมิดมารยาทไทยกันบ้าง คือ หัดสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นบ้าง เพื่อจุดประสงค์ (ดี) ของเราก็คือ เพื่อความปลอดภัยของพวกเราด้วยกันเอง