xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” เอาแน่ ส่ง “ทหาร” คุม “พลังงาน” ลุยโรงไฟฟ้าถ่านหิน เปิดสัมปทานปิโตรเลียม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
โดย...ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ 
 
 
“ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่ทำ ถ้าทำไม่ได้เลยวันหน้าก็ใช้ตะเกียงเอา จบ”

การแสดงท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายหลังเสร็จประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 21 ก.ค.2558 ที่ผ่านมา ในประเด็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน” ที่ปฏิบัติการอารยะขัดขืน บนฐานการยึดมั่นแนวทางสันติวิธี ด้วยการอดอาหารประท้วงให้รัฐบาลยกเลิก “โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่” ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คือบทสรุปที่ชัดเจนยิ่งของโครงการนี้ว่า รัฐบาลทหารสนับสนุนโครงการนี้เป็นที่แน่ชัด

คำพูดของ “ท่านผู้นำ” ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ถูกหยิบไปวิพากษ์วิจารณ์กันต่อเนื่องแบบกระพือลื่อลั่น และกลายเป็นข่าวครึกโครมดังสนั่นไปทั่วบ้านทั่วเมือง 
 
ซึ่งหากจับความระหว่างบรรทัดการด้วยสีหน้า และท่าทางอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของท่านผู้นำ ก็จะพบว่า มีนัยรวมถึงเลศนัยให้ต้องคิดต่อมากมาย หลายประเด็นเป็นที่กล่าวขานในทำนองว่าเป็นอาการ “หลุด” ออกมาท่ามกลางอารมณ์หงุดหงิด และขุ่นมัว ชี้ให้เห็นธาตุแท้ หรือความต้องการที่แท้จริงที่ตกตะกอนนอนอยู่อยู่ในก้นบึ้งความรู้สึกถูกกดดันมาจากกลุ่มทุน และคนรอบข้าง

ประเด็นหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ตอนนี้มีการเลื่อนการเปิดประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ จากวันที่ 22 ก.ค.ไปเป็นวันที่ 5 ส.ค.2558 ที่จะถึงนี้แล้ว พร้อมกับประกาศเตือนว่า มีกฎหมายหลายตัวมากที่จะเอามาจัดการ โดยเฉพาะในเดือน ส.ค.นี้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะจะมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งนั่นถือเป็นอาวุธสำคัญที่จะใช้สยบกลุ่มต่อต้านหากยังมีการชุมนุมคัดค้านในวันนั้น

กฟผ.ประกาศสาเหตุที่ต้องเลื่อนเปิดประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ มูลค่าเกือบ 50,000 ล้านบาท ออกไปอีก 2 สัปดาห์ เพราะยังมีบางบริษัทที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งก็มีข้อมูลสะพัดว่า กลุ่มทุนจากตะวันตก และญี่ปุ่นพร้อมยื่นซองประมูลแล้ว ขาดแต่เพียงกลุ่มทุนจีนเท่านั้นที่ยังไม่พร้อม ซึ่งก็มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมต้องเอาใจกลุ่มทุนจีนเป็นพิเศษ และเป็นเหตุผลที่เพียงพอถึงขั้นต้องให้มีการเลื่อนเปิดประมูลหรือไม่

นอกจากนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง กฟผ.ชิงเปิดประมูลก่อนที่การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพและด้านสิ่งแวดล้อม (EHIA) ของโครงการยังไม่แล้วเสร็จ น่าจะนำไปสู่ความไม่ถูกต้อง และอาจจะสร้างผลกระทบได้ในภายหลังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่ช่วงเวลาที่เหลือจะมีกำลังภายในไปผลักดันให้ผลการศึกษาคลอดออกมาได้ทันสถานการณ์ ซึ่งก็ต้องจับตาดูกันต่อไป

ประเด็นหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงเรื่องถ้าไม่ทำโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว ในพื้นที่ภาคใต้จะมีกระแสไฟฟ้าใช้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาค่าไฟฟ้าจะสูงกว่าภาคอื่นๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ดี เป็นการถ่วงความเจริญ และกระทบถึงหมู่บ้าน โดยมีคำพูดหลุดออกมาจากเรียวปากที่สั่นระรัวเกี่ยวกับตัวเลข 2 ตัว คือ 3,000 กับ 800 แล้วช่วงหนึ่งยังย้อนถามสื่อด้วยเสียงอันก้องดังด้วยว่า แล้วมันจะพอไหม ซึ่งหากใครไม่ได้ติดตามข่าวสารมาก่อนก็ยากที่จะเข้าใจ

แม้จะมีการตีความตัวเลขทั้ง 2 ตัวนี้ไปอย่างไรก็ตาม แต่มีเรื่องที่ กฟผ.และผู้เกี่ยวข้องไม่ยอมที่จะปริปากพูดกับประชาชน โดยเฉพาะชาวกระบี่ว่า แท้จริงแล้วการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่จะมีกี่โรง หรือขนาดกำลังผลิตเท่าไหร่ มีเพียงประกาศว่าจะขึ้นโรงไฟฟ้าถ่านหินด้วยกำลังผลิตประมาณการแบบตัวเลขกลมๆ ในโรงแรกคือ 800 เมกะวัตต์ จนดูเหมือนว่า กฟผ.จะขึ้นแค่เพียงโรงเดียว

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กฟผ.มีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่กระบี่ให้ได้กำลังการผลิตทั้งหมด 3,200 เมกะวัตต์ หรือตัวเลขกลมๆ ที่มักชอบพูดกันก็คือ 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งกำลังผลิตจริงของโรงไฟฟ้าถ่านหินก็อยู่ที่ 780 เมกกะวัตต์ต่อ 1 โรง

เมื่อพิจารณาแล้ว กฟผ.จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในกระบี่รวมแล้วอย่างน้อยก็ต้อง 4 โรงเป็นอย่างน้อย
 

 
ส่วนเรื่องขอคำขู่ที่ภาคใต้จะขาดแคลนถึงขั้นไม่มีไฟฟ้าใช้ ไฟฟ้าดับกันไปทั้งเมือง และชนบท อาจถึงขั้นต้องจุกตะเกียงกันเลยนั้น เรื่องนี้ “เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)” หยิบยกข้อมูลของกระทรวงพลังงานมาวิเคราะห์ให้รับรู้กันมานานแล้ว โดยเฉพาะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องพลังงานภาคประชาชน คือ ผศ.ประสาท มีแต้ม ได้พูด และเขียนเพื่อชี้ประเด็นภาคใต้มีการผลิตไฟฟ้าที่เกินกำลังแบบปัดภาระให้มาตกแก่กระเป๋าประชาชนมานานแล้ว

ข้อมูลของกระทรวงพลังงาน (ตัวเลขถึง ส.ค.2557) ระบุกำลังการผลิตในภาคใต้ทั้งหมดมี 2,415.7 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้ยังไม่รวม 1.การผลิตของโรงไฟฟ้าจะนะแห่งที่ 2 ขนาด 766 เมกะวัตต์ ซึ่งสร้างเสร็จแล้วเมื่อ ก.ค.2557 และเวลานี้เปิดเดินเครื่องผลิตแล้ว 2.ระบบสายส่งจากภาคกลาง 650 เมกะวัตต์ และ 3.โรงไฟฟ้าฉุกเฉิน จ.สุราษฎร์ธานี อีก 234 เมกะวัตต์ ถ้ารวมเข้าไปทั้งหมดก็จะเป็น 4,065.7 เมกะวัตต์ ในขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในภาคใต้ปี 2556 เท่ากับ 2,683 เมกะวัตต์

นั่นแปลว่าในภาคใต้มีกำลังผลิตสำรองในภาคใต้ถึงประมาณ 52% ซึ่งสูงเกินระดับมาตรฐานที่ควรจะมีแค่ 15% ไปเสียตั้งมากมายด้วยซ้ำ

สำหรับเรื่องราคาไฟฟ้าที่คนภาคใต้อาจจะต้องเสียแพงกว่าคนภาคอื่นๆ หากไม่ยอมให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ หรือที่ผ่านมาๆ มา ก็มีการกล่าวขานกันว่า ถ้าให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ภาคใต้ ต่อไปคนใต้อาจจะได้ใช้ไฟฟ้าที่มีราคาถูกกว่าคนภาคอื่นๆ จะได้รับผลประโยชน์มากมายจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นที่ประจักษ์มาช้านานแล้วว่า เป็นเพียงวาทกรรมกล่อมให้ยินยอมเท่านั้น
 
เรื่องนี้พิสูจน์แล้วจากคนสงขลาที่มีทั้งโรงแยกก๊าซ และ 2 โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่แจ้งเกิดในพื้นที่ แต่นับเป็นเวลาสิบปีมาแล้วไม่เคยเลยที่คนสงขลาจะได้ใช้ทั้งแก๊ส และไฟฟ้าราคาถูก

อีกประเด็นหนึ่ง แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่าไม่ได้ดูถูก แต่การกล่าวด้วยท่าทางที่มากไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และน้ำเสียงดุดันจริงจัง ตอนหนึ่งพุ่งเป้าถึงกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีตัวแทนอดข้าวประท้วงต่อเนื่องมากว่า 10 วัน ในทำนองว่า มีใครไปดูเขากินตอนกลางคืนที่ไหนรึเปล่า เดี๋ยวจะให้คนไปดูแล ที่ผ่านมาในอดีตเห็นมีการเจาะรูพื้นข้างล่าง เขาอาจจะอดจริงก็ได้ แต่คนเราอดน้ำอดข้าว 3 วันก็ตายแล้ว อันนี้เขาอดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้

สิ่งนี้ต้องนับว่านำมาซึ่งการ “เรียกแขก” ได้ไม่น้อยทีเดียว

แน่นอน เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินย่อมไม่ยอมนิ่งเฉย โดยเฉพาะ 2 แกนนำที่ปฏิบัติการอดข้าวประท้วง“นายประสิทธิชัย หนูนวล” กับ “นายอัครเดช ฉากจินดา” ได้แถลงตอบโต้โดยแบบทันควันในช่วงบ่ายวันที่ 21 ก.ค. วันเดียวกันนั้น และเป็นไปแบบดุเด็ดเผ็ดร้อน จึงยิ่งเป็นการเติมเชื้อแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ถึงขั้นมันหยดดังระงมไปทั่วจากทุกสารทิศ ทั้งหน้าสื่อมวลชน และแชดสนั่นอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์

และสิ่งนี้เองอาจจะเป็นสาเหตุให้ในวันถัดมาคือ วันที่ 22 ก.ค.2558 ผู้กุมบังเหียนอำนาจรัฐถึงกับไฟเขียวให้มีปฏิบัติการ “ส่งทหารเยี่ยมบ้าน” โดยให้กองกำลังทหารช่างที่ 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ จ.พัทลุง พร้อมอาวุธครบมือ 1 คันรถ บุกไปเยือนครอบครัวแกนนำคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินถึง 2 คน ที่ จ.พัทลุง

เริ่มจากบ้าน “นางเหวียน หนูนวล” อายุ 64 ปี มารดาของนายประสิทธิชัย ที่ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง แล้วตามด้วยบ้านของ “นายสิทธิพงษ์ สังข์เศษ” ใน อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ซึ่งเป็น 1 ในเครือข่ายขาหุ้นปฏิรูปพลังงานที่เคยถูกทหารควบคุมตัวไปยังค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมนายประสิทธิชัย เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2557 ซึ่งตอนนั้นขาหุ้นปฏิรูปพลังงานออกเดินประท้วงจากหาดใหญ่เข้ากรุงเทพฯ

แม้ปฏิบัติการนำทหารเยี่ยมบ้านแกนนำในครั้งนี้ “พ.ท.วิริยะ รุจวนิชกุล” ผู้บังคับการกองพันทหารช่างที่ 401 ค่ายอภัยบริรักษ์ จะออกมาชี้แจงแล้วว่าที่ไปเยี่ยมบ้านแกนนำค้านโรงไฟฟ้าถ่านกิน เพราะต้องการสอบถามปัญหาต่างๆ และหาทางออกร่วมกับ นายประสิทธิชัย แต่ไม่พบตัว เจอแต่แม่อยู่บ้าน ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดว่าทหารไปข่มขู่ หรือกดดัน ความจริงแล้วไม่ใช่ ทหารที่ไปก็ไปตามปกติ

“ขณะที่ไปที่บ้านนางเหวียน ก็ไม่ได้นำอาวุธปืนลงไป เพียงแต่ไปสอบถามปัญหาเหมือนกับนักเคลื่อนไหวคนอื่นที่เคยไปในพื้นที่ จ.พัทลุงเท่านั้น อย่างแกนนำ นปช. แกนนำนักเคลื่อนไหวหลายคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ทหารก็ไปเยี่ยมคอยสอบถามปัญหาอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่ได้ไปเพื่อกดดัน หรือไปข่มขู่ตามที่เป็นข่าว” นั่นคือคำชี้แจงของ พ.ท.วิริยะ ต่อผู้สื่อข่าว “ASTVผู้จัดการภาคใต้”

แต่อย่างไรก็ตาม จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อผนวกกับความต่อเนื่องของสถานการณ์ที่ดำเนินไปในห้วงเวลานั้น ในสายตาคนไทยส่วนใหญ่น่าจะเห็นเป็นเรื่องของการข่มขู่คุกคามเสียมากกว่าการเดินทางไปทำความเข้าใจของคณะนายทหารในชุดลายพรางเต็มยศ และอาวุธครบมือ

ความจริงแล้วกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่ขับเคลื่อนกันมากว่า 3 ปี มีการจัดกิจกรรมขับเคลื่อนมากมาย ซึ่งหลายครั้งหลายหนผู้คนเข้าร่วมจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้น ผู้นำอย่างหอการค้า และองค์กรธุรกิจการท่องเที่ยว กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุน ที่สำคัญบรรดาผู้มีชื่อเสียง และหลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เคยเข้าร่วม จากในพื้นที่กระบี่ สู่หลายจังหวัดอันดามัน ขยายเป็นทั่วภาคใต้ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเข้ากรุงเทพฯ จนวันนี้ แต่ที่ผ่านๆ มาไม่มีครั้งไหนได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วทั้งสังคมได้อย่างช่วงสัปดาห์มานี้

ถ้าจะบอกว่าคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ เที่ยวนี้ช่วยเรียกแขกให้แบบเป็นพิเศษก็ไม่น่าจะผิดจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เวลานี้ภาพที่มีข้อความว่า “ใครฆ่าอันดามัน” สะพัดอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์หนาตาขึ้นหลายเท่าตัว ที่สำคัญองค์กรอิสระ องค์กรทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ รวมถึงเครือข่ายภาคประชาสังคม หรือกลุ่มประชาชนทั้งในส่วนกลาง และในภูมิภาคต่างๆ ได้ออกมาแสดงตัวสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

โดยเฉพาะแกนนำ “เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)” ได้ออกมายืนเคียงข้าง และประกาศย้ำว่า เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินคือ 1 ในองค์กรเครือข่าย คปพ.แล้วด้วย

ที่ต้องจับแต่เป็นพิเศษคือ หลายองค์กร และเครือข่ายในภาคใต้ได้ออกมาประกาศสนับสนุนการเคลื่อนไหวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการประสานงานองค์กรภาคเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ที่ประสานมือกับ กป.อพช.ชาติและ กป.อพช.ทุกภูมิภาค สมาคมเครือข่ายประมงพื้นบ้านอ่าวท่าศาลา ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ตัวแทนสมาคมประมงพื้นบ้านในภาคใต้และภาคตะวันออกรวม 22 จังหวัด ในนามสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบล จ.ตรังและภาคีร่วมพัฒนา จ.ตรัง เครือข่ายพลเมืองสงขลา เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาถ่านหิน รวมถึงเครือข่ายในอีกหลายจังหวัดของภาคใต้ เป็นต้น

เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า เวลานี้แนวความคิด และความรู้สึกในการคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่เฉพาะที่ จ.กระบี่เท่านั้น แต่แทบทุกความเคลื่อนไหวขององค์กร หรือเครือข่ายประสานเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า ต้องเกิดขึ้นไม่ได้ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น เวลานี้ยังมีรายงานข่าวด้วยว่า ตัวแทนองค์กร และเครือข่ายในพื้นที่ภาคใต้กำลังนัดแนะที่จะหารือกันว่า เมื่อรัฐบาลแสดงท่าทีสนับสนุน และเดินหน้าผลักดันเต็มที่ให้แจ้งเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ เป็นไปได้หรือไม่ที่ควรจะเสนอให้มีการยกกระดับความเคลื่อนไหว เพื่อให้เกิดสัญลักษณ์อันเป็นเป้าหมายรวมของทุกองค์กร และเครือข่าย

โดยประเด็นที่น่าจะยกระดับได้เลยในเวลานี้ก็คือ การประกาศไม่ยอมรับให้ “นายณรงค์ชัย อัครเศรณี” นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอีกต่อไป ซึ่งก็สอดรับต่อช่วงที่มีข่าวสะพัดว่าจะมีการปรับ ครม.ในเวลานี้เช่นกัน
 


 
ทั้งนี้ ต้นสายปลายเหตุของเรื่องมีที่มาจากการกลุ่มทุนโลกบาลที่ประสานมือกับกลุ่มทุนไทย และโดยความยินยอมพร้อมใจของผู้กุมกลไกอำนาจรัฐ กำลังเดินหน้าในอัตราเร่งรีบแบบสุดปลุกปั้นประเทศไทยสู่ความเป็น “ศูนย์กลางพลังงานโลก” แล้วกำหนดให้ภาคใต้เป็นฐาน “อุตสาหกรรมปิโตรเคมี” ขนาดใหญ่แห่งใหม่ของโลก ซึ่งสุดท้ายจะตามมาด้วยอุตสาหกรรมต่างๆ กระจ่ายทั่วภาคใต้

ทั้งนี้ พื้นที่ศูนย์กลางการพัฒนาตามแนวคิดนี้อยู่ที่การสร้าง “เมกะโปรเจกต์” อันจะใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับอุตสาหกรรมที่เรียกว่า “สะพานเศรษฐกิจ (แลนด์บริดจ์) สงขลา-สตูล” ซึ่งจะประกอบไปด้วย ท่าเรือน้ำลึกหัว-ท้าย คือ “ท่าเรือน้ำลึกปากบารา” ฝั่งอันดามันที่ จ.สตูล และ “ท่าเรือน้ำลึกสงขลา 2” ฝั่งอ่าวไทยที่ จ.สงขลา แล้วเชื่อมกันด้วย “ถนนมอเตอร์เวย์” “ระบบรถไฟ” รางคู่เพื่อบรรทุกสิ้นค้าอุตสาหกรรม และ“ระบบท่อก๊าซ-ท่อน้ำมัน”
 
โครงการก่อสร้าง “โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่” เป้าหมายที่ 4 โรง กำลังผลิตรวม 3,200 เมกะวัตต์ คือ หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่ส่วนประกอบหนุนส่งสำคัญ เช่นเดียวกับการเร่งสร้าง “โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา” 2 โรง กำลังผลิตรวม 2,200 เมกะวัตต์ ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ที่กำลังจะมีเวที ค.3 ในวันที่ 27-28 ก.ค.นี้ และสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในที่อื่นๆ อีก เช่น อ.หัวไทร และ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช อ.กันตัง จ.ตรัง จ.สตูล จ.สุราษฎร์ธานี จ.ชุมพร และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น ซึ่งยังต้องรวมถึงเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกด้วย

เมื่อพิจารณาทั้งหมดทั้งปวงแล้ว จึงไม่ต้องแปลกใจอะไรอีกแล้วที่คนไทยจะได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ พูดย้ำแล้วย้ำอีกมาตลอด ทั้งในเชิงร้องขอ และข่มขู่คนไทยขอให้หันหน้าปรองดองกัน อย่าคัดค้านโครงการพัฒนาขนาดใหญ่เพื่อให้ประเทศเดินหน้า ต้องมีอุตสาหกรรมเกิดขึ้นควบคู่กับเกษตร ประมง และท่องเที่ยว ต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ต้องสร้างท่าเรือน้ำลึก รวมถึงถนนหนทางต่างๆ

อีกทั้งไม่ต้องแปลกใจที่รัฐบาลปล่อยให้นายณรงค์ชัย โชว์พาว เดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมอย่างเต็มสูบ เพื่อนำไปสูบการปล่อยผีสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 โดยไม่ต้องฟังเสียงคัดค้าน หรือแม้จะแลมองร่างกฎหมายที่ภาคประชาชนโดย คปพ.ทำขึ้นประกบ รวมถึงปล่อยให้ทุกกระทรวงทบวงกรมเดินหน้าเร่งรัดการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้เต็มกำลัง แถมยังพร้อมที่จะส่งทหารไปเยี่ยมเยือนหากใครต่อต้าน คัดค้าน หรือขัดขืนนั่นเอง

ยิ่งเมื่อสอดรับต่อกระแสข่าวเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี โดยเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จาก “นายณรงค์ชัย อัครเศรณี” มาเป็น “พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข” ที่กำลังจะเกษียณราชการจากเก้าอี้เสนาธิการทหารบก ก็ยิ่งตอกย้ำว่า คสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีท่าทีอย่างไรต่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น