xs
xsm
sm
md
lg

อีกเรื่องที่ “พล.ต.อ.สมยศ” ต้องเลือกก่อนเกษียณ! จะให้ลูกน้องยกมือไหว้หรือจุดประทัดไล่ / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (แฟ้มภาพ)
 
คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
 
วันนี้วงการตำรวจมีเรื่องใหญ่ๆ ให้ผู้คนกล่าวขวัญถึง 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องระดับประเทศที่ผู้คนฮือฮากันมาก จากการที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แสดงทัศนะเห็นด้วยและสนับสนุนให้ประเทศไทยมี “บ่อนการพนัน” ที่ถูกกฎหมาย เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และมาเลเซีย หรือหลายๆ ประเทศในโลกนี้ที่มีบ่อนการพนันให้นักการพนันเล่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ต้อยจ่าย “ส่วยให้แก่ตำรวจ หรือหน่วยงาน และบุคคลที่มีอาชีพในการเรียกค่าคุ้มครอง
 
เรื่องบ่อนถูกต้องตามกฎหมายนี่เอง พล.ต.อ.สมยศ กลายเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” เพราะเมื่อมองภาพรวมความคิดเห็น หรือการวิพากษ์ต่อทัศนะของ ผบ.ตร.แล้วพบว่า ถูก “ด่า” มากกว่าถูก “ชม” ซึ่งสุดท้ายแล้วการออกมาโยนหินเพื่อถามทางตามความต้องการของตนเอง หรืออาจจะมีใบสั่งของผู้ที่ใหญ่กว่า อีกไม่กี่วันน่าจะค่อยๆ ซาลง เพราะเสียงที่ไม่เห็นด้วยจากทุกภาคส่วนบอกให้ผู้มีอำนาจรู้ว่า บ่อนถูกต้องตามกฎหมายยังไม่ถึงเวลาสำหรับประเทศไทย
 
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พล.ต.อ.สมยศ ถูกกระแสของผู้ไม่เห็นด้วยใช้อาวุธน้ำลายสาดซัดเสียเลอะเทะ เสียรางวัด เสียภาพลักษณ์ของตำรวจผู้มุ่งมั่นในการที่เคยประกาศที่จะบังคับใช้กฎหมายกับผู้ทำผิดทุกคนพอสมควร ซึ่งที่จริงมีผู้ออกมาวิพากษ์ต่างก็ทราบว่า ผบ.ตร.เป็น “นายตำรวจนักธุรกิจ” โดยเฉพาะเป็นนักลงทุนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์
 
กล่าวโดยสรุปคือ การออกมาแสดงทัศนะต่อการเปิดบ่อนการพนันถูกต้องตามกฎหมายของ พล.ต.อ.สมยศ ครั้งนี้ เป็นการได้ไม่คุ้มกับเสียนั่นเอง
 
ส่วนเรื่องที่ 2 ที่เป็นเรื่องของ พล.ต.อ.สมยศ ดำเนินการตามคำสั่งของฝ่ายบริหารประเทศ แต่เกิดผลกระทบต่อตำรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นคือ การยกเลิกหรือตัดสิทธิการ “นับวันทวีคูณ” ของตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงตายอยู่ใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กับอีก 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ สะบ้ายย้อย นาทวี เทพา และจะนะ
 
ซึ่งฝ่ายบริหารประเทศมีความเห็นว่า การยกเลิกนับวันทวีคูณจะทำให้ตำรวจกับทหารมีสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะที่ไหนๆ ก็มีความเสี่ยงที่เหมือนกัน และจะได้ไม่นำเอาเรื่องสิทธิของการนับวันทวีคูณมาใช้ในการ “ข้ามหัว ตำรวจที่อยู่ในพื้นที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่พื้นที่ชายแดนใต้
 
หลังจากที่ข่าวการประชุม “บอร์ดพิเศษที่มี พล.ต.อ.สมยศ นั่งเป็นประธานแพร่สะพัดออกไป เมื่อมีการเช็กกระแสความคิดเห็น และความรู้สึกของตำรวจในชายแดนใต้ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงตายแล้ว จะพบเห็นปฏิกิริยาที่เป็นไปในทางไม่เห็นด้วย และมีทัศนะในด้านลบต่อ ผบ.ตร.มากกว่าในด้านบวก
 
มีคำถามว่าที่บอกกว่า ตำรวจกับทหารที่ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่มีความเสี่ยงเท่ากันนั้น อะไรคือเครื่องชี้วัด หรือใช้ตัดสินในเรื่องนี้
 
เพราะภารกิจของตำตรวจ กับทหารนั้น แม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ภารกิจต่างกัน ทหาร ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยประชาชน บุคคล และอื่นๆ เป็นภรกิจหลัก มีการสับเปลี่ยนกำลัง มีการโยกย้ายตามกำหนดเวลา หรืออาจะทุก 6 เดือน
 
แต่ตำรวจนอกจากต้องทำหน้าที่แบบเดียวกับทหารแล้ว ตำรวจยังมีภารกิจหลักในเรื่องของงานสืบสวน หาข่าว ติดตามคนร้ายทั้งก่อน และหลังเกิดเหตุ ตำรวจรับผิดชอบในงานสอบสวน หาพยานหลักฐานเพื่อจับกุมเอาผิดต่อคนร้ายเพื่อส่งฟ้อง เพราะตำรวจเป็นกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นของกระบวนการยุติธรรมที่ประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ และศาล
 
นอกจากนั้น งานของตำรวจยังมีอีกจิปาถะ เพราะงานของตำรวจเป็นงานบริการประชาชน ต้องจัดการจราจร ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม เพราะฉะนั้นใน 11 ปีที่เกิดความไม่สงบระลอกใหม่ขึ้นในชายแดนใต้จะพบว่า ตำรวจจะเสียชีวิตทั้งในขณะปฏิบัติหน้าที่ และออกเวรอยู่ที่บ้าน
 
ตำรวจชุดสอบสวนที่ต้องเข้าพื้นที่หลังเกิดเหตุ ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจชุดเก็บกู้ระเบิด ถามว่าตำรวจเหล่านี้ต้องใช้ชีวิต และเลือดเนื้อไปแลกกับหน้าที่ไหม ตำรวจในพื้นที่อื่นๆ ที่คิดว่า “ไม่เสี่ยง” แต่ไม่ยอมย้ายมาอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ต้องตอบคำถามนี้ให้ชัดๆ
 
ในขณะที่ฝ่ายการบริหารต้องการให้ตัดสิทธินับวันทวีคูณ ก็ต้องตรวจสอบดูให้ละเอียดว่างานของตำรวจ กับของทหารที่บอกว่าเสี่ยงเหมือนกันนั้น “เหมือน” หรือ “ต่าง” กันตรงไหน อย่านั่งคิด และหาบทสรุปบน “หอคอยงาช้าง” เพราะเรื่องนี้ถ้าทำแบบไม่รอบคอบอาจจะสร้างปัญหาอีกมากมายให้เกิดขึ้น
 
ต้องยอมรับความจริงว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่ตำรวจส่วนหนึ่งยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงคือ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอดังกล่าวนั้น เป็นเพราะเรื่องการได้สิทธินับวันทวีคูณ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นขวัญ และกำลังใจให้ยินยอมที่จะ “ใช้ชีวิตแบบพร้อมที่จะตายทุกเมื่อ”
 
ถ้าการทำหน้าที่ของตำรวจไม่ได้สิทธิการนับวันทวีคูณ โดยตำรวจที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้สิทธิอะไร ตำรวจที่ จ.ปัตตานีได้เท่ากับตำรวจหาดใหญ่ เชื่อเหลือเกินว่าตำรวจจำนวนมากที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ใน “ดินแดนแห่งความตายจะโยกย้ายออกจากพื้นที่
 
หรือหากต้องอยู่ในพื้นที่ต่อก็อยู่เพื่อให้ครบตามกำหนด แต่ไม่ยอมที่จะอยู่แบบ “เสียสละ อยู่แบบห่างกับครอบครัว เพราะไม่มีตำรวจคนไหนต้องการให้ครอบครัวไปเสี่ยงชีวิตแบบนั้น
 
วันนี้ตำรวจที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่เสี่ยงอย่าง จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส ยังต้องใช้ชีวิตสังเวยระเบิด และคมกระสุนอยู่ทุกวัน ที่พวกเขายังยอมเสี่ยงชีวิต ยอมอยู่ห่างครอบครัว ไม่ใช่เขามีความคิดที่จะเสียสละเพื่อประเทศชาติเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเขาได้ในสิ่งที่ตำรวจนอกพื้นที่ไม่ได้
 
ถ้าสิ่งที่เขาเคยได้เหมือนกับเป็น “รางวัล” ของการเสี่ยงชีวิตถูกยกเลิก เขาอาจจะวางตัวเป็น “จ่าเฉย” หรือ “ใส่เกียร์ว่าง” เช่นเดียวกับหลายๆ หน่วยงานในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอดังกล่าว
 
ถามว่าจะเป็นเช่นนี้อะไรจะเกิดขึ้นต่อแผ่นดินปลายด้ามขวาน โจรอาจจะเพิ่มมากขึ้น การติดตามคนร้าย การสืบสวน การสอบสวนอาจจะหย่อนยาน คนร้ายจะมีโอกาสลอยนวลมากขึ้น ยาเสพติดมีมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าสังคมจะได้รับผลกระทบ และพื้นที่ชายแดนใต้ก็จะได้รับผลกระเทือนตามมา
 
เวลามีตำรวจส่วนใหญ่เห็นสอดรับกันแล้วว่า ถ้าจะตัดสิทธิการนับวันทวีคูณของตำรวจในพื้นที่เสี่ยงตามที่ผู้บริหารบ้านเมือง และผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการ ก็ให้ยุบทิ้ง “ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้” เสียด้วย เพราะขืนอยู่ไปก็คงจะอยู่แบบ “ซังกะตายไม่มีประโยชน์ในการที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
 
ถึงแม้ว่าขณะนี้การที่จะตัดสิทธินับวันทวีคูณของตำรวจใน 3 จังหวัดกับ 4 อำเภอดังกล่าวยังไม่มีข้อยุติ ยังต้องมีการประชุมกันอีกหลายครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้ง 2 เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกลายเป็น “รอยด่าง ของ พล.ต.อ.สมยศในสายตาของประชาชน โดยเฉพาะในสายตาตำรวจในพื้นที่เสี่ยงตายของปลายด้ามขวานไปแล้ว
 
เรื่องการตัดสิทธินับวันทวีคูณนั้น แม้จะไม่ใช่ “เผือกร้อน” ที่ไม่ลวกมือใคร แต่จะมีผลกระทบต่อความไม่สงบของแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ทั้งผู้บริหารประเทศ และผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องคิดให้รอบคอบ
 
บางคนเกษียณอายุราชการไปแล้วยังมี “ลูกน้องยกมือไหว้” ในขณะที่บางคนแค่ใกล้เกษียณเท่านั้น “ลูกน้องจุดประทัด” ไล่เสียแล้ว ซึ่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก็ต้องคิดกันเอาเองว่าจะเลือกแบบไหน
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น