ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เครือข่ายประชาสังคม เสนอรัฐใช้วิกฤตใบเหลืองอียูเพื่อฟื้นฟูทะเลไทยอย่างยั่งยืน โดยยกเลิกเครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง และหยุดนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน
วันนี้ (13 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานปกป้องทะเลไทย (1) ตั้งข้อสังเกต และเสนอทางออกกรณีคณะกรรมธิการยุโรป (EU) ขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นประเทศที่เข้าข่ายไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเครือข่ายภาคประชาสังคม ระบุว่า การออกมาตรการแก้ไขของรัฐบาลนั้นเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นที่ตอบสนองผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมประมง และอาหารทะเลขนาดใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว และมิได้รับประกันว่า จะนำไปสู่การปลดใบเหลืองอียูได้อย่างถาวร ที่สำคัญ มาตรการเหล่านั้นได้ละเลยมิติของความยั่งยืนในการฟื้นฟูทะเลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำประมงเกินขนาด การใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง และการจัดการ และเข้าถึงทรัพยากร และระบบนิเวศทางทะเลอย่างเป็นธรรม
ในวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรป (EU) แจ้งเตือนต่อรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ (2) กรณีที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพียงพอในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยให้เวลา 6 เดือน ในการดำเนินตามมาตรการในแผนปฏิบัติการ
กรมประมง ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และขาดการควบคุม (IUU) โดยตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด และออกมาตรการ 6 ข้อในการจัดการปัญหาประมงไทยได้แก่ 1.การเร่งขึ้นทะเบียนเรือประมง และออกใบอนุญาตทำการประมง 2.การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง 3.การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (VMS) 4.การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ 5.ปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง และ 6.จัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้าไอยูยู
ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง มูลนิธิสายใยแผ่นดินได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวว่า “ด้วยเจตนารมณ์ของมาตรการการต่อต้าน IUU Fishing (combat IUU Fishing) และการที่ประเทศไทยได้ใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในกรณีนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการประมงของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งในเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย การทำลายระบบนิเวศทางทะเล และความไม่โปร่งใสของแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำ เป็นต้น ผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบควรใช้โอกาสนี้ในการสะสางปัญหาประมงไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน และนับวันจะรุนแรงมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ เพื่อนำไปสู่ความอย่างยั่งยืนของระบบนิเวศ และวิถีประมงไทยที่เปิดโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายการแก้ปัญหาเพื่อการปลดล๊อคใบเหลืองเท่านั้น”
เครือข่ายภาคประชาสังคมยังได้แสดงข้อกังวลถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะมีขึ้น เนื่องจากมาตรการแก้ไขของหน่วยงานรัฐบาลยังคงมองข้ามการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทย
“ประสบการณ์การทำงานอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งร่วมกับพี่น้องชุมชนประมงชายฝั่งมา 30 กว่าปี ผมพบว่า ทะเลไทยเป็นแหล่งอาหารโปรตีนในธรรมชาติที่สำคัญสำหรับสังคมไทย ทั้งยังเป็นอาชีพ และแหล่งรายได้ของผู้คนจำนวนมาก การเร่งการจดทะเบียนเรือ หรือนิรโทษกรรมเรือประมงทำลายล้างเป็นการทำร้าย และทำลายทะเลไทย และเป็นการการทำลายวิถีชุมชน ทำลายอาชีพ และความเป็นอยู่ของพี่น้องร่วมชาติอย่างเลือดเย็นที่สุด ทางออกต่อเรื่องนี้คือ ต้องลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี 2547 (3)” นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว
“เราควรดูแบบอย่างจากประเทศที่รอดพ้นจากใบเหลืองกรณีการประมงผิดกฎหมาย เช่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่ได้ปรับปรุง และพัฒนาการจัดการด้านการประมงโดยยึดหลักการทำงานร่วมกันระหว่างประชาสังคม และภาครัฐ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิดการจัดการอย่างมีส่วนร่วมโดยให้ความสำคัญต่อประมงพื้นบ้านเท่ากับตัวเลขการส่งออกของประมงพาณิชย์ การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องทำทั้งระบบไม่ใช่เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง” อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานปกป้องทะเลไทยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1.ยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างรวมถึงอวนลาก อวนรุน ซึ่งทำลายแหล่งปลา และระบบนิเวศของทะเลไทย 2.ยุติการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถือนที่ล้างผลาญทะเลไทย และลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี 2547 3.ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายประมงและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ และยกระดับธรรมาภิบาลด้านการประมงเพื่อต่อกรต่อการทำประมงเกินขนาดที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของทะเลและมหาสมุทร 4.ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังต่อระบบการควบคุม ติดตามตรวจสอบรวมถึงมีการประสานงานเชิงนโยบาย และการจัดการประมงในระดับภูมิภาคอย่างจริงจังเพื่อที่จะอุดช่องโหว่ของการทำประมงผิดกฎหมาย เช่น การขนถ่ายสินค้าจากการประมงนอกน่านน้ำกลางมหาสมุทร เป็นต้น