ระนอง - เจ้าของเรือบารมีพ่อ 9 ที่ถูกยิงถล่ม เผยภายหลังเข้าแจ้งความไม่มั่นใจการทำงานของตำรวจ เหตุสำนวนอ่อนมาก พร้อมทั้งยังไม่ระบุชื่อบุคคลทั้ง 7 คน ที่อ้างตัวเป็นตำรวจ พร้อมเผยช่วงนี้มีมีคนมาเฝ้าหน้าบ้านอยู่ตลอดเวลา ต้องให้ลูกน้องเฝ้าคอยสังเกตการณ์ พร้อมเพิ่มความระวังตัวมากขึ้นในการเดินทางออกนอกบ้าน
จากกรณีที่ นายพิศิษย์ เพชรคีรี เจ้าของเรือมารมีพ่อ 9 ซึ่งเป็นเรือประมงขนาดกลาง ร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวว่า ขณะที่ลูกน้องนำเรือประมงออกจับสัตว์น้ำในทะเลอันดามัน บริเวณระหว่างหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา รอยต่อ จ.ระนอง พร้อมกับเรือประมงอีกนับสิบลำในบริเวณใกล้เคียง แล้วถูกเรือประมงขนาดเล็กวิ่งเข้ามาหา จากนั้นได้กราดยิงด้วยปืนนานาชนิดแบบไม่มีการตั้งตัวจนไต้ก๋งเรือต้องสั่งให้ลูกน้องโดดลงจากเรือเพื่อความปลอดภัย ส่วนไต้ก๋งเรือขับเรือหนี พร้อมวิทยุขอความช่วยเหลือจากเรือหลวงศรีราชา ที่ลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงเข้าช่วยเหลือ เนื่องจากคิดว่าเป็นโจรสลัดมาปล้นเรือ ต่อมา เรือลำดังกล่าวแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการพิเศษภูธรจังหวัดระนอง ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามไล่ล่าคนร้าย หลังจากที่ทหารเรือเข้าทำการตรวจสอบบนเรือ พบว่า ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดระนอง
ล่าสุด นายพิศิลย์ กล่าวว่า ได้ให้ลูกน้อง และตัวแทนของตนไปแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่อ้างตัวว่า เป็นตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษภูธรจังหวัดระนอง จำนวน 6 คน คนขับเรืออีก 1 คน ในข้อหาพยายามฆ่าโดยเจตนา ถึงแม้ลูกน้องของตนจะไม่มีการเสียชีวิตแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ตนเองกำลังวิตกอยู่ในขณะนี้คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตัวลูกน้องไปสอบสวนใช้เวลาตั้งแต่ประมาณ 14.30-21.30 น. ของวันที่ 11 มกราคม 58 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในสำนวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลับไม่มีรายชื่อของผู้ที่ก่อเหตุ ทั้งๆ ที่ตนเองได้มอบหลักฐานทั้งหมดทั้งรายชื่อให้แล้วก็ตาม กลัวว่าจะมีการช่วยเหลือกันในระดับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากทราบว่า มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่คอยให้การช่วยเหลือ
นอกจากนั้น ยังมีคนพยายามโทร.มาขอให้หยุดดำเนินคดี หรือไม่ให้เอาเรื่อง มีทั้งจากภาคเอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ได้ปฏิเสธไป พร้อมบอกว่าหากยอมไปแล้วลูกน้องจะคิดอย่างไร เจ้านายเข้าข้างคนที่พยายามจะมาฆ่าลูกน้องของตนเอง รับรองได้เลยว่าคดีนี้จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด คนทำผิดต้องถูกดำเนินคดี หรือติดคุกเท่านั้น ไม่ว่าใครจะมากดดัน ขอ หรือข่มขู่ ตนก็ไม่ยอมเด็ดขาด
นายพิศิลย์ ยังได้กล่าวต่อไป ตนได้รับแจ้งจากลูกน้องว่า หลังจากเกิดเหตุมีชายฉกรรจ์มาเดินวนเวียนอยู่หน้าแถวประตูรั้วบ้าน พร้อมสอบถามหาตนเอง แต่ลูกน้องบอกว่าไม่อยู่ไปกรุงเทพฯ ช่วงนี้จึงต้องระวังตัวมากขึ้นในการใช้ชีวิต เพราะรู้ว่ากำลังเผชิญ และต่อสู้กับผู้มีอิทธิพล และมีอำนาจกฎหมายในมือ แต่เรื่องนี้จะไม่จบง่ายแน่นอน พรรคพวกเพื่อนชาวประมงหลายรายที่เคยถูกกระทำแบบตนต่างโทร.มาให้กำลังใจบอกให้สู้จนกว่าจะชนะ