พังงา - ระทึกกลางทะเลเรือประมงไทยหนีตายของความช่วยเหลือจากทหารเรือ หลังถูกไล่ยิงด้วยอาวุธสงครามกว่า 30 นัด ขณะลอยลำหาปูจักจั่นในทะเลอันดามัน รอยต่อระหว่างจังหวัดพังงา-จังหวัดระนอง โชคดีทหารช่วยเหลือได้รอดตายหวุดหวิด ขณะที่เรือก่อเหตุอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกตรวจสอบป้องกันการลักลอบขนชาวโรฮิงญา
วันนี้ (11 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายทองใบ ทำทอง อายุ 46 ปี ไต๋เรือ “บารมีพ่อ 9” ชาว อ.คุระบุรี จ.พังงา ถึงนาทีระทึกกรณีเกิดเหตุเรือประมงถูกยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามกว่า 30 นัด ขณะลอยลำจอดเรือหาปูจักจั่นกลางทะเลอันดามัน ช่วงรอยต่อจังหวัดพังงา กับจังหวัดระนอง และอยู่ห่างจากน่านน้ำของประเทศพม่า 10 ไมล์ทะเล ซึ่งเหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 07.00 น.เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ว่า เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังจอดเรือลอยลำอยู่ในทะเลช่วงรอยต่อระหว่างจังหวัดพังงา และจังหวัดระนอง โดยอยู่ห่างจากน่านน้ำพม่าประมาณ 10 ไมล์เพื่อจับปูจักจั่นทะเล เรดาร์บนเรือขอตนได้ตรวจสอบพบความผิดปกติ คือ มีเรือลักษณะคล้ายเรือประมงจอดลอยลำอยู่ห่างจากเรือของตนออกไปประมาณ 3 ไมล์ทะเล ซึ่งตนตนคิดว่า เรือลำดังกล่าวน่าจะเป็นเรือติดอาวุธของประเทศพม่า ไม่น่าจะใช่เรือประมงด้วยกัน ตนจึงลองขยับเรือไปทางทิศเหนือห่างออกไปจากจุดเดิม ปรากฏว่า เรือลำดังกล่าวก็ขยับเข้าหาเรือของตนอีกซึ่งตนคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผิดสังเกต
ระหว่างนั้นตนได้ใช้วิทยุติดต่อกับเรือประมงลำอื่นที่จอดลอยลำในรัศมีใกล้เคียง ซึ่งเวลานั้นมีด้วยกันประมาณ 10 ลำ ให้ช่วยดูว่าเรือลำดังกล่าวเป็นเรืออะไรแน่ เพราะที่ผ่านมา บริเวณน่านน้ำช่วงรอยต่อนี้จะมีเรือเร็วติดอาวุธเข้ามาปล้นเรือประมงไทยเป็นประจำ และขณะที่ติดต่อวิทยุไปยังเรือลำอื่นๆ ตนก็ได้ขับเรือออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าไปทางหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ปรากฏว่า เรือลำดังกล่าวได้ขับตามพร้อมกับเร่งความเร็วเข้าหาเรือของตนตลอดเวลา แต่เมื่อเรือแล่นเข้ามาใกล้ในระยะประมาณครึ่งไมล์ทะเลก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ตนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขับเรือหนี ขณะเดียวกัน เรือลำดังกล่าวก็ได้ใช้อาวุธปืนใส่เรือของตนตลอดเวลา โดยกระสุนปืนถูกที่เรดาร์ของเรือ ประตูข้างเรือ และยังถูกเสากระโดงเรือได้รับความเสียหาย ความรู้นึกตอนนั้นตนคิดไว้อย่างเดียวว่า ถ้าหยุดเรือก็ตาย หนีก็ตาย หนีดีกว่า
ตนจึงได้ขับเรือหนีต่อพร้อมประสานให้เรือประมงด้วยกันแจ้งให้เรือของทหารเรือเข้าช่วยเหลือ จนกระทั่งเรือรบหลวงศรีราชา ซึ่งลาดตระเวนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้เข้าช่วยเหลือ และตรวจสอบเรือลำที่ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เรือของตน ซึ่งจากการตรวจสอบเรือลำดังกล่าวพบชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่า 10 คน เป็นตำรวจภูธรในจังหวัดระนอง มียศ ร.ต.อ.เป็นหัวหน้าชุด พร้อมกับพวก และเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำรวมอยู่ด้วย และพลเรือนที่เป็นคนขับเรือ โดยนายตำรวจคนดังกล่าวบอกว่า เป็นการเข้าใจผิด คิดว่าเรือของนายทองใบ เป็นเรือขนชาวโรฮิงญาลักลอบเข้ามาในน่านน้ำของไทย และได้เรียกให้เรือของนายทองใบหยุด แต่ก็ไม่หยุดจึงได้อาวุธปืนยิงเข้าใส่
นายทองใบ ยังกล่าวอีกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความสงสัย และข้อกังขาให้แก่ตนเองเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเป็นเรือของภาครัฐ และมีความบริสุทธิ์ใจในการตรวจค้นตนก็พร้อมที่จะให้ตรวจค้น แต่กลับไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ หรือใช้เครื่องขยายสียงประกาศให้จอดเรือเหมือนกับที่ทางทหาร หรือหน่วยงานราชการที่ต้องการจะตรวจเรือทำกัน และตำรวจชุดดังกล่าวมีอำนาจในการจับกุมจริงหรือไม่ เนื่องจากเกิดเหตุในทะเล แต่ชุดจับกุมเป็นตำรวจภูธร แทนที่จะเป็นตำรวจน้ำ ตนคิดว่าการกระทำครั้งนี้ถือว่าไม่ชอบมาพากล ทำเกินกว่าเหตุ ทำให้เรือของตนได้รับความเสียหาย
และจากการสอบถามเพื่อนชาวเรือด้วยกัน ทราบว่า ตำรวจชุดจับกุมดังกล่าวเคยทำลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้วในฝั่งทะเลอันดามัน หากเรือรบหลวงมาช่วยไม่ทันตนพร้อมลูกเรือคงลำบากแน่ จึงอยากฝากเพื่อนชาวเรือด้วยกันหากเจอเหตุการณ์ที่ผิดปกติ หรือเจอเรือต้องสงสัยควรรีบแจ้งกองทัพเรือที่อยู่ใกล้ที่สุดให้ทราบเพื่อที่จะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที