ตรัง - ประธานหอการค้าเมืองตรัง ยอมรับราคายางในอนาคตคงไม่สดใสเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว แนะชาวใต้ปรับตัวรับ เพราะผลผลิตจะยิ่งเพิ่มอีกใน 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการมีจำกัด
วันนี้ (8 ม.ค.) นายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า แม้ทิศทางเศรษฐกิจของภาคใต้ในปี 2558 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ประชาชนก็ควรประหยัด และหารายได้เสริม รวมทั้งปรับเปลี่ยนอาชีพใหม่ เพราะต้องยอมรับว่าพืชเศรษฐกิจหลักอย่างยางพารา ซึ่งเคยเป็นที่พึ่งพา หรือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องชาวใต้มายาวนานกว่า 100 ปีแล้วนั้น อนาคตอาจจะไม่ได้สดใสอย่างเมื่อครั้งในอดีตที่เคยพุ่งขึ้นไปถึงกิโลกรัมละกว่า 100 บาท เนื่องจากมีหลายๆ ปัจจัยที่จะทำให้ผลผลิต และความต้องการไม่สมดุลกัน อันจะส่งผลให้ราคายางพารายังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก หรือไม่น่าจะเกินไปกว่ากิโลกรัมละ 80 บาท อย่างที่เกษตรกรต้องการ
ดังนั้น ชาวใต้จึงควรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นเสริม และทำการเกษตรแบบผสมผสาน หรือเลี้ยงสัตว์ เพราะมีรายได้ที่ดีกว่า โดยยางพารา 1 ไร่ จะให้ผลผลิตปีละ 300 กิโลกรัม หรือสร้างรายได้ให้ปีละ 3 หมื่นบาท ถ้าหากมีราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท แต่หากนำที่ดิน 1 ไร่ ไปทำการเกษตรแบบผสมผสานจะสร้างรายได้ถึงปีละ 2 แสนบาท ซึ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งปรับวิถีชีวิตที่เคยทำสวนยางพารากันทั้งครอบครัว ไปสู่ภาคการผลิตตามโรงงานต่างๆ ซึ่งยังคงมีความต้องการแรงงานคนไทยอีกเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ชาวใต้ยุคใหม่ไม่ค่อยให้ความสนใจในอาชีพนี้ ทั้งที่มีรายได้ที่แน่นอน และดีกว่าการทำสวนยางพารา
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว จะเห็นว่าราคายางพาราได้ขยับตัวสูงขึ้นจากเดิมแค่เท่าตัว คือ จากกิโลกรัมละ 25 บาท เป็น 50 บาท ขณะที่ราคาข้าวสารได้ขยับตัวสูงขึ้นจากเดิม 35 เท่าตัว คือ จากกิโลกรัมละ 1 บาท เป็น 35 บาท โดยเฉพาะราคาทองคำ ได้ขยับตัวสูงขึ้นจากเดิมถึง 50 เท่า คือ จากบาทละ 400 บาท เป็น 20,000 บาท ฉะนั้น ต่อไปภาคใต้จะพึ่งพายางพาราเพียงอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว และอีกไม่นานก็จะยิ่งมีปริมาณผลผลิตออกมาเพิ่มขึ้น สำหรับการเปิดกรีดรอบใหญ่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งในไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งหากชาวใต้ไม่ยอมปรับตัวก็อาจจะทำให้วิถีชีวิตยิ่งย่ำแย่ไปมากกว่านี้