ในรอบปี 2557 มีเหตุการณ์ที่สร้างความเสื่อมต่อวงการศาสนาที่เกิดขึ้นในภาคใต้มากมาย และนับวันสังคมจะได้เสพข่าวในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของพุทศาสนิกชนต่างกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก และต่างมีอาการวิตกจริตร่วมในทำนองเดียวกัน คือ จะยกไหว้พระสักรูปต้องคิดแล้วคิดอีก
“ASTVผู้จัดการภาคใต้” ประมวลข่าวที่สร้างความเสื่อมด้านศาสนาในช่วงปีมะเมีย พบว่า ข่าวที่ครึกโครม และสร้างความฮือฮาในสังคมแบบสุดๆ เป็นความฉาวโฉ่ที่มีต้นตอจากหญิงผู้แต่งชุดขาวที่สะท้อนความเชื่อว่าบริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริงกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม คือ ข่าวคาวอันเป็นเรื่องราวของ “แม่ชีเชอรี่” หรือที่ชาวบ้านเรียนขานกันว่า “คุณนายแม่ชีเชอรี่” แห่งวัดถ้ำขวัญเมือง ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร
ต้นกำเนิดของข่าวนี้มีจุดเริ้มต้นอยู่ในโลกออนไลน์ช่วงเดือน มิ.ย.2557 โดยมีการตั้งข้อสงสัยถึงพฤติกรรมของแม่ชีสาวนางหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่วัดถ้ำขวัญเมือง เนื่องจากเธอมีพฤติกรรมชอบใช้แต่ของแบรนด์เนม ขับรถหรู เครื่องสำอาง หรือเครื่องประทินผิวก็ราคาแพงสุดแสนแพง แถมชอบถ่ายรูปคู่กับกองเงินสดจำนวนมหาศาลแล้วนำมาโชว์
ยิ่งเมื่อสาวมาสาวไปก็ยิ่งพบด้วยว่า แม่ชีเชอรี่ มีอิทธิพลถึงขั้นผลักดันให้เปลี่ยนกฎระเบียบของวัดถ้ำขวัญเมือง จนสร้างความเดือดร้อน และความเอือมระอาแก่ชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง รวมถึงบรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาจากทุกสารทิศที่มีต่อวิถีปฏิบัติของอดีตเจ้าอาวาสวัดดัง “หลวงปู่สรวง” หรือ “หลวงพ่อสรวง ปริสุทโธ” เป็นอย่างมาก

สำหรับ “แม่ชีเชอรี่” หรือ “คุณนายแม่ชีเชอรี่” มีชื่อจริงว่า “น.ส.สุปริญญา ฮุนนางกุล” เธอมีประวัติไม่ธรรมดาเลยมีเดียว ในอดีตเคยเป็นเด็กใจแตกมาก่อน เรียนไม่จบแม้กระทั้งชั้น ม.6 แถมยังมีปัญหาตบตีแย่งผู้ชายในช่วงชีวิตวัยรุ่นจนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ส่งผลให้ต้องระหกระเหเร่ร่อนชนิดแทบไม่มีที่จะไป
แต่อยู่มาวันหนึ่ง พี่สาวได้นำตัวมาฝากฝังที่วัดถ้ำขวัญเมือง วัดที่เลื่องชื่อในเรื่องการปฏิบัติธรรม เพื่อหวังให้คุณพระคุณเจ้าช่วยอบรมบ่มนิสัยให้รู้จักผิดชอบชั่วดี แล้วนำไปสู่การกลับตัวกลับใจ ลดนิสัย และพฤติกรรมแย่ๆ ที่ได้เคยทำมาในอดีต ถึงขั้นให้บวชเป็นแม่ชีอยู่ในวัด โดยมี “พระครูสุธรรมวีราจารย์” หรือ “พระอาจารย์สมใจ” ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดปัจจุบันเป็นผู้อบรมสั่งสอน
นับจากการเข้าไปอยู่วัดถ้ำขวัญเมือง แม่ชีเชอรี่ ก็ตกเป็นขี้ปากผู้คนที่พูดกันหนาหู โดยเฉพาะคนในวัด และชาวบ้านในละแวกในทำนองว่า แม่ชีผู้นี้นอกจากชอบหว่านเสน่ห์แล้ว ยังเป็นคนที่ฉลาดในเรื่องการเข้าหาผู้ใหญ่ มีทักษะการพูดที่สามารถโน้มน้าวคนอื่นให้ทำตามสิ่งที่ตนต้องการได้อย่างเป็นเลิศ จับจุดอ่อนด้านความรู้สึกของคนเก่ง จึงไม่แปลกที่เวลาเพียงไม่นาน พระอาจารย์สมใจ ก็ให้ความเมตตาเอ็นดูเป็นพิเศษ
ซึ่งต้องย้ำไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า ความเป็นพิเศษที่ว่านั้นถึงขั้นลูกศิษย์บางคนนำไปพูดเปรยๆ ให้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า “ความเมตตาของพระอาจารย์สมใจเปลี่ยนไป”

เมื่อแม่ชีเชอรี่ เป็นที่ไว้วางใจของพระอาจารย์สมใจแบบลึกซึ้ง เธอจึงได้กุมอำนาจการบริหารภายในวัดอย่างเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งการรวบอำนาจด้านการเงินของวัดในมือ ซึ่งมีการประมาณการกันว่า ยอดเงินบริจาคในบัญชีของวัดถ้ำขวัญเมืองมีไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซ้ำร้ายยังออกกฎระเบียบเข้มภายในวัดต่างๆ นานา ถึงขนาดสั่งขึ้นป้ายหน้าวัดห้ามบุคคลที่ถูกระบุชื่อย่างกรายเข้าไปภายในวัดอย่างเด็ดขาด
ประกอบกับความที่แม่ชีเชอรี่ มีนิสัยโมโหร้าย จึงเกิดเหตุไล่ตวาดคนเก่าคนแก่ของวัดอย่างไม่ไยดีอยู่บ่อยๆ ไม่เว้นแม้กระทั้งพระชั้นผู้ใหญ่ มิหนำซ้ำยังได้หักล้างคำสอนสั่งของหลวงปู่สรวง ด้วยการสั่งห้ามเผยแพร่ธรรมะที่ท่านเคยสั่งสอนไว้แก่คนภายนอก โดยประกาศว่าถ้าใครอยากศึกษา หรือสนใจฟังคำสั่งสอนหลวงปู่สรวง ต้องเข้าไปฟังในวัดเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้คนเก่าคนแก่ที่อยู่ในวัดต่างทนไม่ไหว ทำให้ค่อยๆ ทยอยหายหน้าหายตาไปทีละคน
จากข่าวคาวที่สื่อนำเสนอถึงพฤติกรรมแม่ชีเชอรี่ อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เกิดกระแสกดดันจากสังคมเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีการจี้ให้ภาคประชาสังคม รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ จนในที่สุด ทั้งแม่ชีเชอรี่แ ละพระอาจารย์สมใจ ก็อดทนต่อแรงกดดันไม่ไหวพากันหลบหนีออกจากวัด เคยมีความพยายามแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน และประชาชนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสร้างความกระจางใดๆ
อย่างไรก็ตาม วันเวลาที่ล่วงไปก็ได้ฉุดรั้งให้ข่าวคาวฉาวโฉ่ที่เคยครึกโครม ณ วัดถ้ำขวัญเมือง ค่อยๆ เลือนหายไปจากกระแสสังคมทีละนิดทีละน้อย

อีกประเด็นเป็นข่าวฉาวเป็นเรื่องราวของพระภิกษุสายลูกศิษย์ลูกหาท่านพุทธทาส แถมมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดดังแห่งเมืองคนดีด้วย ที่ผ่านมา เคยมีภาพเป็นที่ปรากฏต่อสังคมคือ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่วงการศาสนามาโดยตลอด แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งกลับตกเป็นข่าวใหญ่ชนิดขึ้นหน้าหนึ่งทุกฉบับด้วยเรื่องราวที่แม้กระทั่งศีลข้อ 5 ก็ยังรักษาไว้มิได้
เหตุการณ์ที่เป็นข่าวใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำคืนของวันที่ 18 พ.ย.2557 โดย “พระครูภาวนาสันติคุณ” หรือ “พระวิสุทธิ์ วิสุทฺธิจารี” อายุ 72 ปีเจ้าอาวาสวัดศานติไมตรี ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ขับรถยนต์กระบะด้วยตัวเองตกข้างทาง ระหว่างที่มีผู้เข้าช่วยเหลือก็ได้แสดงอาการเมาแอลกอฮอล์แบบไร้สติสัมปชัญญะ ซ้ำร้ายยังได้ขัดขืน และใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ โดยมีความพยายามจะขับรถหลบหนี แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ และประชาชนปิดล้อม และช่วยกันจับกุมตัวไว้ได้
หลังเกิดเหตุสาธุชนจำนวนมากเชื่อกันว่า พระคุณเจ้ารูปนี้น่าจะต้องละจากเพศสมณะ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสุดอื้อฉาว และเป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งเรื่องราวก็ถูกดำเนินการไปตามกระบวนการ โดยมีการส่งเรื่องให้เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีอำนาจรับไปเนินการตามบทบัญญัติ และข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ ถ้ามองในผลที่เกิดขึ้นในแง่มุมของกฎแห่งกรรมตามหลักทางพระพุทธศาสนา ถือว่า เป็นการทำกรรมต่อศรัทธาของประชาชนอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ศาสนามัวหมอง แต่สุดท้ายบทสรุปก็กลับกลายเป็นเรื่องราวที่สร้างความฮือฮาให้แก่สังคมอีกครั้งด้วยบทสรุปของโทษสถานเบาเท่านั้น

ประเด็นสุดท้ายถือได้ว่าเป็นข่าวการเมืองภายในวัดที่เกิดขึ้น ณ วัดคลองเรียน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เรื่องราวปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการวัดเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดคนใหม่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน “พระครูปัญญาภิมัณฑ์” สิริอายุ 102 ปี ซึ่งชราภาพมากแล้ว
การประชุมมีการถกเถียงกันอย่างหนัก โดยฝ่ายแรกเห็นด้วยให้แต่งตั้ง “พระครูวิบูลย์ ปริยัติสุนทร” หรือ “พระมหาพล ฐิตาโภ” รองเจ้าอาวาสวัดคลองเรียน และรองเจ้าคณะอำเภอหาดใหญ่ ขึ้นเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดคลองเรียน ขณะที่ฝ่ายหลังไม่เห็นด้วย และออกมาแสดงการคัดค้าน ซึ่งในระหว่างการประชุมพระมหาพล กลับเก็บตัวอยู่ลำพังภายในกุฏิ ไมได้มาเข้าร่วมประชุมด้วยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อการแต่งตั้งพระมหาพล ได้ให้ข้อมูลว่า ในอดีตเคยถูกตั้งอธิกรณ์สอบสวนทางวินัยร้ายแรงมาแล้วในปี 2555 แต่การสอบสวนในเรื่องดังกล่าวยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดว่า ทางเจ้าคณะจังหวัดสงขลา จะดำเนินการอย่างไร
ประกอบกับที่ผ่านมา พระมหาพล ได้เคยมีส่วนให้เกิดการดัดแปลงซุ้มอำนวยการด้านหน้าวัดให้เป็นร้านค้าขายเครื่องดื่ม ยังมีการสร้างห้องน้ำ และห้องนอนภายในร้านดังกล่าวด้วย โดยมอบหมายให้ผู้หญิงคนหนึ่งดูแลร้านค้า ซึ่งทางวัดไม่สามารถตรวจสอบบัญชีได้ จากนั้นไม่นานหญิงผู้นั้นได้นำลูกมาอาศัยอยู่ด้วย โดยมีพระมหาพล เป็นผู้อุปการะ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา

ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้พระมหาพล เป็นรักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ลูกหาได้ให้ความเห็นว่า เมื่อผลการสอบสวนยังไม่กระจ่างชัดก็ควรให้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงเร็วเกินไปที่จะไปตัดสินว่าพระมหาพล มีความผิดจนไม่เหมาะสมทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมครั้งนั้น ฝ่ายสนับสนุนได้ไปรวมตัวกันที่กุฏิของพระมหาพล และมีการหารือกันโดยบรรดาลูกศิษย์ได้เสนอให้มีการแจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นประมาทฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่พระมหาพล ไม่ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้
สำหรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเปรียบเหมือนประมุขของวัด มีอำนาจสูงสุด แม้กระทั่งอำนาจในการจัดการกองเงินบริจาคของวัด แต่จนถึงเวลานี้ปัญหาความวุ่นวายภายในวัดคลองเรียนก็ยังไม่ได้ข้อยุติ
ทั้งนี้และทั้งนั้น นอกจากข่าวคาวอันเป็นเรื่องราวของแม่ชีเชอรี่-พระอาจารย์สมใจ แห่งวัดถ้ำขวัญเมือง จ.ชุมพร เรื่องราวเมามายของ “พระครูภาวนาสันติคุณ” พระชื่อดังสายท่านพุทธทาสแห่ง จ.สุราษฎร์ธานี รวมถึงปัญหาการเมืองภายในวัดคลองเรียนแห่ง จ.สงขลาแล้ว ตลอดห้วงปี 2557 ยังมีเรื่องราวข่างฉาวในวงการพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นอีกมากมายหลายระลอก
โดยสรุปข่าวอันสร้างความเสื่อมแก่วงการพระพุทธศาสนาในพื้นที่ภาคใต้นั้น ส่วนใหญ่หากไม่ใช่เรื่องพระดื่มสุราจนเมามายแล้ว ก็มักจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ไล่จับสึกพระปลอมซึ่งอาศัยผ้าเหลืองเป็นเครื่องมือหากิน โดยเฉพาะกลุ่มชายชาวเขมรที่มีเป็นจำนวนมาก รวมถึงพวกลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ของไทยเรา ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งตลอดตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี และกระจายอยู่ในหลายเมืองใหญ่ในภาคใต้
“ASTVผู้จัดการภาคใต้” ประมวลข่าวที่สร้างความเสื่อมด้านศาสนาในช่วงปีมะเมีย พบว่า ข่าวที่ครึกโครม และสร้างความฮือฮาในสังคมแบบสุดๆ เป็นความฉาวโฉ่ที่มีต้นตอจากหญิงผู้แต่งชุดขาวที่สะท้อนความเชื่อว่าบริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริงกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม คือ ข่าวคาวอันเป็นเรื่องราวของ “แม่ชีเชอรี่” หรือที่ชาวบ้านเรียนขานกันว่า “คุณนายแม่ชีเชอรี่” แห่งวัดถ้ำขวัญเมือง ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร
ต้นกำเนิดของข่าวนี้มีจุดเริ้มต้นอยู่ในโลกออนไลน์ช่วงเดือน มิ.ย.2557 โดยมีการตั้งข้อสงสัยถึงพฤติกรรมของแม่ชีสาวนางหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่วัดถ้ำขวัญเมือง เนื่องจากเธอมีพฤติกรรมชอบใช้แต่ของแบรนด์เนม ขับรถหรู เครื่องสำอาง หรือเครื่องประทินผิวก็ราคาแพงสุดแสนแพง แถมชอบถ่ายรูปคู่กับกองเงินสดจำนวนมหาศาลแล้วนำมาโชว์
ยิ่งเมื่อสาวมาสาวไปก็ยิ่งพบด้วยว่า แม่ชีเชอรี่ มีอิทธิพลถึงขั้นผลักดันให้เปลี่ยนกฎระเบียบของวัดถ้ำขวัญเมือง จนสร้างความเดือดร้อน และความเอือมระอาแก่ชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง รวมถึงบรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาจากทุกสารทิศที่มีต่อวิถีปฏิบัติของอดีตเจ้าอาวาสวัดดัง “หลวงปู่สรวง” หรือ “หลวงพ่อสรวง ปริสุทโธ” เป็นอย่างมาก
สำหรับ “แม่ชีเชอรี่” หรือ “คุณนายแม่ชีเชอรี่” มีชื่อจริงว่า “น.ส.สุปริญญา ฮุนนางกุล” เธอมีประวัติไม่ธรรมดาเลยมีเดียว ในอดีตเคยเป็นเด็กใจแตกมาก่อน เรียนไม่จบแม้กระทั้งชั้น ม.6 แถมยังมีปัญหาตบตีแย่งผู้ชายในช่วงชีวิตวัยรุ่นจนถูกไล่ออกจากโรงเรียน ส่งผลให้ต้องระหกระเหเร่ร่อนชนิดแทบไม่มีที่จะไป
แต่อยู่มาวันหนึ่ง พี่สาวได้นำตัวมาฝากฝังที่วัดถ้ำขวัญเมือง วัดที่เลื่องชื่อในเรื่องการปฏิบัติธรรม เพื่อหวังให้คุณพระคุณเจ้าช่วยอบรมบ่มนิสัยให้รู้จักผิดชอบชั่วดี แล้วนำไปสู่การกลับตัวกลับใจ ลดนิสัย และพฤติกรรมแย่ๆ ที่ได้เคยทำมาในอดีต ถึงขั้นให้บวชเป็นแม่ชีอยู่ในวัด โดยมี “พระครูสุธรรมวีราจารย์” หรือ “พระอาจารย์สมใจ” ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดปัจจุบันเป็นผู้อบรมสั่งสอน
นับจากการเข้าไปอยู่วัดถ้ำขวัญเมือง แม่ชีเชอรี่ ก็ตกเป็นขี้ปากผู้คนที่พูดกันหนาหู โดยเฉพาะคนในวัด และชาวบ้านในละแวกในทำนองว่า แม่ชีผู้นี้นอกจากชอบหว่านเสน่ห์แล้ว ยังเป็นคนที่ฉลาดในเรื่องการเข้าหาผู้ใหญ่ มีทักษะการพูดที่สามารถโน้มน้าวคนอื่นให้ทำตามสิ่งที่ตนต้องการได้อย่างเป็นเลิศ จับจุดอ่อนด้านความรู้สึกของคนเก่ง จึงไม่แปลกที่เวลาเพียงไม่นาน พระอาจารย์สมใจ ก็ให้ความเมตตาเอ็นดูเป็นพิเศษ
ซึ่งต้องย้ำไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า ความเป็นพิเศษที่ว่านั้นถึงขั้นลูกศิษย์บางคนนำไปพูดเปรยๆ ให้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า “ความเมตตาของพระอาจารย์สมใจเปลี่ยนไป”
เมื่อแม่ชีเชอรี่ เป็นที่ไว้วางใจของพระอาจารย์สมใจแบบลึกซึ้ง เธอจึงได้กุมอำนาจการบริหารภายในวัดอย่างเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งการรวบอำนาจด้านการเงินของวัดในมือ ซึ่งมีการประมาณการกันว่า ยอดเงินบริจาคในบัญชีของวัดถ้ำขวัญเมืองมีไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซ้ำร้ายยังออกกฎระเบียบเข้มภายในวัดต่างๆ นานา ถึงขนาดสั่งขึ้นป้ายหน้าวัดห้ามบุคคลที่ถูกระบุชื่อย่างกรายเข้าไปภายในวัดอย่างเด็ดขาด
ประกอบกับความที่แม่ชีเชอรี่ มีนิสัยโมโหร้าย จึงเกิดเหตุไล่ตวาดคนเก่าคนแก่ของวัดอย่างไม่ไยดีอยู่บ่อยๆ ไม่เว้นแม้กระทั้งพระชั้นผู้ใหญ่ มิหนำซ้ำยังได้หักล้างคำสอนสั่งของหลวงปู่สรวง ด้วยการสั่งห้ามเผยแพร่ธรรมะที่ท่านเคยสั่งสอนไว้แก่คนภายนอก โดยประกาศว่าถ้าใครอยากศึกษา หรือสนใจฟังคำสั่งสอนหลวงปู่สรวง ต้องเข้าไปฟังในวัดเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้คนเก่าคนแก่ที่อยู่ในวัดต่างทนไม่ไหว ทำให้ค่อยๆ ทยอยหายหน้าหายตาไปทีละคน
จากข่าวคาวที่สื่อนำเสนอถึงพฤติกรรมแม่ชีเชอรี่ อย่างกว้างขวาง ส่งผลให้เกิดกระแสกดดันจากสังคมเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีการจี้ให้ภาคประชาสังคม รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบ จนในที่สุด ทั้งแม่ชีเชอรี่แ ละพระอาจารย์สมใจ ก็อดทนต่อแรงกดดันไม่ไหวพากันหลบหนีออกจากวัด เคยมีความพยายามแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน และประชาชนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสร้างความกระจางใดๆ
อย่างไรก็ตาม วันเวลาที่ล่วงไปก็ได้ฉุดรั้งให้ข่าวคาวฉาวโฉ่ที่เคยครึกโครม ณ วัดถ้ำขวัญเมือง ค่อยๆ เลือนหายไปจากกระแสสังคมทีละนิดทีละน้อย
อีกประเด็นเป็นข่าวฉาวเป็นเรื่องราวของพระภิกษุสายลูกศิษย์ลูกหาท่านพุทธทาส แถมมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดดังแห่งเมืองคนดีด้วย ที่ผ่านมา เคยมีภาพเป็นที่ปรากฏต่อสังคมคือ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีแก่วงการศาสนามาโดยตลอด แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งกลับตกเป็นข่าวใหญ่ชนิดขึ้นหน้าหนึ่งทุกฉบับด้วยเรื่องราวที่แม้กระทั่งศีลข้อ 5 ก็ยังรักษาไว้มิได้
เหตุการณ์ที่เป็นข่าวใหญ่ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำคืนของวันที่ 18 พ.ย.2557 โดย “พระครูภาวนาสันติคุณ” หรือ “พระวิสุทธิ์ วิสุทฺธิจารี” อายุ 72 ปีเจ้าอาวาสวัดศานติไมตรี ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ขับรถยนต์กระบะด้วยตัวเองตกข้างทาง ระหว่างที่มีผู้เข้าช่วยเหลือก็ได้แสดงอาการเมาแอลกอฮอล์แบบไร้สติสัมปชัญญะ ซ้ำร้ายยังได้ขัดขืน และใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ โดยมีความพยายามจะขับรถหลบหนี แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ และประชาชนปิดล้อม และช่วยกันจับกุมตัวไว้ได้
หลังเกิดเหตุสาธุชนจำนวนมากเชื่อกันว่า พระคุณเจ้ารูปนี้น่าจะต้องละจากเพศสมณะ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสุดอื้อฉาว และเป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งเรื่องราวก็ถูกดำเนินการไปตามกระบวนการ โดยมีการส่งเรื่องให้เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีอำนาจรับไปเนินการตามบทบัญญัติ และข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ ถ้ามองในผลที่เกิดขึ้นในแง่มุมของกฎแห่งกรรมตามหลักทางพระพุทธศาสนา ถือว่า เป็นการทำกรรมต่อศรัทธาของประชาชนอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ศาสนามัวหมอง แต่สุดท้ายบทสรุปก็กลับกลายเป็นเรื่องราวที่สร้างความฮือฮาให้แก่สังคมอีกครั้งด้วยบทสรุปของโทษสถานเบาเท่านั้น
ประเด็นสุดท้ายถือได้ว่าเป็นข่าวการเมืองภายในวัดที่เกิดขึ้น ณ วัดคลองเรียน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เรื่องราวปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการวัดเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดคนใหม่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน “พระครูปัญญาภิมัณฑ์” สิริอายุ 102 ปี ซึ่งชราภาพมากแล้ว
การประชุมมีการถกเถียงกันอย่างหนัก โดยฝ่ายแรกเห็นด้วยให้แต่งตั้ง “พระครูวิบูลย์ ปริยัติสุนทร” หรือ “พระมหาพล ฐิตาโภ” รองเจ้าอาวาสวัดคลองเรียน และรองเจ้าคณะอำเภอหาดใหญ่ ขึ้นเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดคลองเรียน ขณะที่ฝ่ายหลังไม่เห็นด้วย และออกมาแสดงการคัดค้าน ซึ่งในระหว่างการประชุมพระมหาพล กลับเก็บตัวอยู่ลำพังภายในกุฏิ ไมได้มาเข้าร่วมประชุมด้วยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อการแต่งตั้งพระมหาพล ได้ให้ข้อมูลว่า ในอดีตเคยถูกตั้งอธิกรณ์สอบสวนทางวินัยร้ายแรงมาแล้วในปี 2555 แต่การสอบสวนในเรื่องดังกล่าวยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดว่า ทางเจ้าคณะจังหวัดสงขลา จะดำเนินการอย่างไร
ประกอบกับที่ผ่านมา พระมหาพล ได้เคยมีส่วนให้เกิดการดัดแปลงซุ้มอำนวยการด้านหน้าวัดให้เป็นร้านค้าขายเครื่องดื่ม ยังมีการสร้างห้องน้ำ และห้องนอนภายในร้านดังกล่าวด้วย โดยมอบหมายให้ผู้หญิงคนหนึ่งดูแลร้านค้า ซึ่งทางวัดไม่สามารถตรวจสอบบัญชีได้ จากนั้นไม่นานหญิงผู้นั้นได้นำลูกมาอาศัยอยู่ด้วย โดยมีพระมหาพล เป็นผู้อุปการะ จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ส่วนฝ่ายที่ต้องการให้พระมหาพล เป็นรักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ลูกหาได้ให้ความเห็นว่า เมื่อผลการสอบสวนยังไม่กระจ่างชัดก็ควรให้ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงเร็วเกินไปที่จะไปตัดสินว่าพระมหาพล มีความผิดจนไม่เหมาะสมทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมครั้งนั้น ฝ่ายสนับสนุนได้ไปรวมตัวกันที่กุฏิของพระมหาพล และมีการหารือกันโดยบรรดาลูกศิษย์ได้เสนอให้มีการแจ้งความเอาผิดฐานหมิ่นประมาทฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่พระมหาพล ไม่ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้
สำหรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเปรียบเหมือนประมุขของวัด มีอำนาจสูงสุด แม้กระทั่งอำนาจในการจัดการกองเงินบริจาคของวัด แต่จนถึงเวลานี้ปัญหาความวุ่นวายภายในวัดคลองเรียนก็ยังไม่ได้ข้อยุติ
ทั้งนี้และทั้งนั้น นอกจากข่าวคาวอันเป็นเรื่องราวของแม่ชีเชอรี่-พระอาจารย์สมใจ แห่งวัดถ้ำขวัญเมือง จ.ชุมพร เรื่องราวเมามายของ “พระครูภาวนาสันติคุณ” พระชื่อดังสายท่านพุทธทาสแห่ง จ.สุราษฎร์ธานี รวมถึงปัญหาการเมืองภายในวัดคลองเรียนแห่ง จ.สงขลาแล้ว ตลอดห้วงปี 2557 ยังมีเรื่องราวข่างฉาวในวงการพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นอีกมากมายหลายระลอก
โดยสรุปข่าวอันสร้างความเสื่อมแก่วงการพระพุทธศาสนาในพื้นที่ภาคใต้นั้น ส่วนใหญ่หากไม่ใช่เรื่องพระดื่มสุราจนเมามายแล้ว ก็มักจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ไล่จับสึกพระปลอมซึ่งอาศัยผ้าเหลืองเป็นเครื่องมือหากิน โดยเฉพาะกลุ่มชายชาวเขมรที่มีเป็นจำนวนมาก รวมถึงพวกลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ของไทยเรา ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งตลอดตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี และกระจายอยู่ในหลายเมืองใหญ่ในภาคใต้