ตรัง - นักโทษชายป่วยธาลัสซีเมียสิ้นลมแล้ว ด้าน ผบ.เรือนจำตรัง ปฏิเสธไม่ทราบเรื่องอาการป่วยของผู้ต้องขังวัย 19 ปี ยืนยันได้ดูแลอย่างเต็มที่แล้ว ด้านพ่อเด็กพร้อมสู้ถึงที่สุด ยันจะไม่เผาศพจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรมเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
วันนี้ (25 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ รพ.ตรัง หลังได้รับแจ้งทางญาติของ นช.ตรีเพชร ราชแสง วัย 19 ปี ผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดตรัง ในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง จนถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และได้รับโทษมาเป็นเวลา 9 เดือนเศษ และป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย มาตั้งแต่เด็กๆ ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น.เมื่อเช้านี้
ซึ่งก่อนหน้านี้ นายวิวัฒน์ ราชแสง อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 หมู่ 1 ต.เขากอบ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมน้องสาว และพี่ชาย ร้องเรียนสื่อมวลชนว่า นายตรีเพชร ราชแสง บุตรชาย ผู้ต้องหารายนี้มีโรคประจำตัวคือ คือ โรคธาลัสซีเมีย มาตั้งแต่เด็กๆ ต้องพาไปรักษาด้วยการให้เลือดทุก 3 เดือน แต่หลังจากถูกจับกุม และศาลตัดสินจำคุกกลับได้กินยาอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้เข้ารับการถ่ายเลือดเลย และยาก็ได้หมดลง
ซึ่งปรากฏว่า หลังทางครอบครัวไปเยี่ยมพบว่า บุตรชายป่วยหนัก และเดินประคองตัวเองยังไม่ได้ จนเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันหิ้วปีกออกมาพูดคุยกัน จากนั้นอาการทรุดหนักลง โดยที่ทางครอบครัวได้นำหนังสือที่ออกโดยแพทย์ประจำตัวที่ทำการรักษาอาการของโรคดังกล่าว ไปยืนยันต่อทางเรือนจำว่า ถึงเวลาที่ลูกชายจะต้องรีบเข้ารับเลือดที่โรงพยาบาลตรังโดยด่วน เนื่องจากร่างกายกำลังขาดเลือดอย่างหนัก จนสามารถจะช็อกเสียชีวิตได้ตลอดเวลา แต่ทางเรือนจำไม่ยอมส่งตัวบุตรชายไปรับเลือดตามที่แพทย์แจ้งไป แม้ตนเองได้อ้อนวอนขอร้องหลายต่อครั้ง แต่ทางเรือนจำก็ได้อ้างเหตุจำเป็นทุกครั้งนั้น
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดตามขอเพื่อขอสัมภาษณ์เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ต่อ นางมะลิวัลย์ พูนขวัญ ผู้บัญชาการเรือนจำ จ.ตรัง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยได้รับเพียงคำตอบจากเจ้าหน้าที่เรือนจำว่า ผบ.เรือนจำติดราชการ จนกระทั่งล่าสุด เรือนจำจังหวัดตรัง ได้ทำหนังสือลงวันที่ 24 ธ.ค.2557 ชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่า ในกรณีที่ผู้ต้องขังในเรือนจำเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัว และได้แจ้งต่อทางเรือนจำไว้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะภายในเรือนจำ จ.ตรัง ได้มีสถานพยาบาล และมีพยาบาลวิชาชีพคอยให้การดูแลรักษาผู้ต้องขังป่วยทุกราย แต่สำหรับกรณีของ นายตรีเพชร ทางเรือนจำไม่เคยทราบข้อมูลการเจ็บป่วย หรือการรักษาพยาบาล ทั้งจากตัวผู้ต้องขัง และญาติของผู้ต้องขังมาก่อนว่า มีโรคประจำตัว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 นายตรีเพชร ได้เข้ารับการตรวจรักษากับทางสถานพยาบาลเรือนจำ และในวันที่ 12 ธันวาคม 2557 ทางงานควบคุมแดน 1 ได้ส่งตัว นายตรีเพชร เข้ารับรักษาอาการที่สถานพยาบาลเรือนจำอีกครั้ง
ผบ.เรือนจำ จ.ตรัง ชี้แจงต่อว่า ตนได้รับรายงานจากพยาบาลเรือนจำว่า ได้ดูแลอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับญาติของ นายตรีเพชร ได้นำเอกสารมาส่งมอบให้แก่สถานพยาบาลเรือนจำ จำนวน 1 รายการ ประกอบด้วย 1.สมุดนัดผู้ป่วยคลินิกธาลัสซีเมีย ลงวันที่นัดครั้งสุดท้ายวันที่ 14 ธันวาคม 2556 2.สมุดประจำตัวผู้ป่วยธาลัสซีเมีย HN 361278 และ 3.ใบนัดผู้ป่วยโรงพยาบาลตรัง ออกให้ ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน2557 (แพทย์นัด 13 กุมภาพันธ์ 2558) กระทั่งในวันที่ 22 ธันวาคม 2557 นายตรีเพชร มีอาการเหนื่อยหอบ รับประทานอาหารไม่ได้ พยาบาลเรือนจำได้ขออนุญาตนำออกมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตรัง และได้ติดตามอาการป่วยอย่างใกล้ชิด พร้อมชี้ว่า การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพื่อป้องกันเกิดความเสียหายต่อทางเรือนจำ และทางราชการ
ด้าน นายวิวัฒน์ ราชแสง บิดาของ นายตรีเพชร กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่เรือนจำ จ.ตรัง จะไม่ทราบประวัติการป่วยบุตรชายของตน เพราะตนได้มีการนำยารักษาโรคไปให้กินเป็นประจำเดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการป่วย และทุกครั้งจะมีการตรวจสอบก่อนจากทางเรือนจำ เพื่อจะอนุญาตให้นำยาเข้าไปได้ ซึ่งการกินยาก็ช่วยได้ไม่มากนัก เพราะผู้ป่วยโรคนี้ต้องมีการให้เลือดทุก 3 เดือน แต่ระหว่างที่ถูกจำคุก บุตรชายตนไม่ได้รับการให้เลือดเลย ส่งผลให้อาการทรุดหนัก
จนกระทั่งวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ตนทนเห็นสภาพที่ป่วยหนักไม่ไหวจึงทำหนังสือเพื่อขอให้ทางเรือนจำส่งตัวบุตรชายออกมารักษาตัว พร้อมแนบเอกสารที่แพทย์ประจำตัวออกให้ไปด้วย แต่เรื่องก็เงียบหาย ตนคิดว่าระยะเวลา 1 เดือน น่าจะทัน และเพียงพอ หากทางเรือนจำ จ.ตรัง เอาใจใส่ และไม่ปล่อยปละละเลยจนทำให้บุตรชายของตนต้องมีอาการโคม่า และเสียชีวิตลง
อย่างไรก็ตาม ตนจะต่อสู้เรื่องนี้จนถึงที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องพบกับสภาพอันเลวร้ายเช่นนี้อีก เพราะตนเชื่อว่า ในเรือนจำจังหวัดตรัง ยังมีผู้ต้องขังที่เจ็บป่วยเหมือนกับบุตรชายของตน และไร้การเหลียวแลอีกจำนวนมาก และตนจะไม่เผาศพจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม และมีผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น