โดย...ธนพล พัฒนภักดี นักศึกษาวิชาวิศวกรรมชายฝั่งทะเล ม.อ.หาดใหญ่
ชายหาดตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยในทุกวันนี้ได้ถูกทำลาย และเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่เดิมชายฝั่งแห่งนี้หาดทรายเสมือนขุมทรัพย์ของชุมชนท้องถิ่น เพราะเป็นทั้งสถานที่ท่องเทียว และที่ทำมาหากินของชาวบ้าน รวมทั้งยังเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ของสัตว์นานาชนิด
มีการกล่าวอ้างถึงสาเหตุของการกัดเซาะมากมาย แต่มีอยู่บางประเด็นที่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ “ปัญหาการกัดเซาะบริเวณชายฝั่งของพื้นที่อ่าวตอนล่าง เกิดจากลักษณะพื้นที่ชายฝั่งเป็นแบบทะเลเปิด ไม่มีเกาะ หรือพื้นที่ป้องกันกำลังคลื่นลมมรสุม” ซึ่งถูกเขียนไว้ในรายงานกรมเจ้าท่าของโครงการศึกษาการก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา (รูปที่ 1)
หรือจะเป็นคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ว่า “การกัดเซาะเกิดจากภาวะโลกร้อนน้ำทะเลสูงขึ้น”
อะไรคือความจริง?!
แต่ในความเป็นจริงแล้วการกัดเซาะในพื้นที่ต่างๆ ตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย ล้วนเกิดจาก “ฝีมือมนุษย์” ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก เขื่อนกันทรายและคลื่น (Jetty) ที่ปากร่องน้ำ คันดักทรายหรือรอ (Groin) เขื่อนกันคลื่นชายฝั่ง (Breakwater) หรือแม้แต่กำแพงกันคลื่นชายฝั่งแบบต่างๆ
ตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้อาจต้องมองย้อนไปในปี 2541 (รูปที่ 2) ซึ่งมีการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา โดยกรมเจ้าท่าฯ พบว่า ได้ส่งผลกระทบทำให้หาดทราย และชายฝั่งด้านทิศเหนือของตัวเขื่อนถูกกัดเซาะและลุกลามเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ส่วนทางด้านทิศใต้ของตัวเขื่อนนั้นมีการงอกของพื้นที่ชายหาดเพิ่มมากขึ้นทุกปี
จากหลักวิชาทางวิศวกรรมชายฝั่งระบุว่า หาดทรายที่ใกล้กับสิ่งก่อสร้างชายฝั่งจะเกิดการสะสมของทรายด้านต้นเขื่อน ส่วนด้านท้ายเขื่อนชายหาดจะถูกกัดเซาะอย่างรุนแรง ตามรูปแบบของคลื่นที่มากระทำ (ดังแสดงในรูปที่ 3)
จะเห็นได้ว่า ด้านซ้ายมือ (ทางด้านใต้ของเขื่อน) ชายหาดจะงอก (จุด A) และเกิดการกัดเซาะ (จุด C) บริเวณด้านขวามือ (ทางด้านเหนือเขื่อน) แนวชายหาดจะปรับตัวให้ขนานกับแนวสันคลื่นที่มากระทำ ซึ่งเป็นไปตามกฎการหักเหและเลี้ยวเบนของคลื่น
ดังนั้น “เขื่อนกันคลื่นชายฝั่ง” ป้องกันหรือทำลาย?!
ในทำนองเดียวกันนี้ก็พบเห็นได้เมื่อมีการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำสะกอมในปี 2541 ทำให้ชายหาดสะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับกรณีเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา
โดยที่ทั้ง 2 กรณีต่างก็มีการสร้างเขื่อนกันคลื่นชายฝั่งขึ้นเพื่อหวังจะลดการกัดเซาะของชายฝั่ง (ดังรูปที่ 2) แต่ผลกลับออกมาในทางตรงกันข้ามคือ เขื่อนกันคลื่นส่งผลให้เกิดการกัดเซาะเพิ่มยิ่งขึ้น และรุนแรงมากขึ้นทุกๆ ปี (รูปที่ 4)
จากหลักฐาน และวิชาการข้างต้น อันเป็นที่ประจักษ์ทั้งในกรณีบ้านนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา และกรณีสะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา สามารถสรุปได้ในที่นี้ว่า...
“การกัดเซาะของหาดทรายและชายฝั่งล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ ไม่ใช้จากธรรมชาติแต่อย่างใด”..!!
ชายหาดตามแนวชายฝั่งอ่าวไทยในทุกวันนี้ได้ถูกทำลาย และเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่เดิมชายฝั่งแห่งนี้หาดทรายเสมือนขุมทรัพย์ของชุมชนท้องถิ่น เพราะเป็นทั้งสถานที่ท่องเทียว และที่ทำมาหากินของชาวบ้าน รวมทั้งยังเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ของสัตว์นานาชนิด
มีการกล่าวอ้างถึงสาเหตุของการกัดเซาะมากมาย แต่มีอยู่บางประเด็นที่ต้องกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ “ปัญหาการกัดเซาะบริเวณชายฝั่งของพื้นที่อ่าวตอนล่าง เกิดจากลักษณะพื้นที่ชายฝั่งเป็นแบบทะเลเปิด ไม่มีเกาะ หรือพื้นที่ป้องกันกำลังคลื่นลมมรสุม” ซึ่งถูกเขียนไว้ในรายงานกรมเจ้าท่าของโครงการศึกษาการก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตำบลปากแตระ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา (รูปที่ 1)
หรือจะเป็นคำบอกเล่าของชาวบ้านที่ว่า “การกัดเซาะเกิดจากภาวะโลกร้อนน้ำทะเลสูงขึ้น”
อะไรคือความจริง?!
แต่ในความเป็นจริงแล้วการกัดเซาะในพื้นที่ต่างๆ ตามแนวชายฝั่งอ่าวไทย ล้วนเกิดจาก “ฝีมือมนุษย์” ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก เขื่อนกันทรายและคลื่น (Jetty) ที่ปากร่องน้ำ คันดักทรายหรือรอ (Groin) เขื่อนกันคลื่นชายฝั่ง (Breakwater) หรือแม้แต่กำแพงกันคลื่นชายฝั่งแบบต่างๆ
ตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้อาจต้องมองย้อนไปในปี 2541 (รูปที่ 2) ซึ่งมีการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา โดยกรมเจ้าท่าฯ พบว่า ได้ส่งผลกระทบทำให้หาดทราย และชายฝั่งด้านทิศเหนือของตัวเขื่อนถูกกัดเซาะและลุกลามเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ส่วนทางด้านทิศใต้ของตัวเขื่อนนั้นมีการงอกของพื้นที่ชายหาดเพิ่มมากขึ้นทุกปี
จากหลักวิชาทางวิศวกรรมชายฝั่งระบุว่า หาดทรายที่ใกล้กับสิ่งก่อสร้างชายฝั่งจะเกิดการสะสมของทรายด้านต้นเขื่อน ส่วนด้านท้ายเขื่อนชายหาดจะถูกกัดเซาะอย่างรุนแรง ตามรูปแบบของคลื่นที่มากระทำ (ดังแสดงในรูปที่ 3)
จะเห็นได้ว่า ด้านซ้ายมือ (ทางด้านใต้ของเขื่อน) ชายหาดจะงอก (จุด A) และเกิดการกัดเซาะ (จุด C) บริเวณด้านขวามือ (ทางด้านเหนือเขื่อน) แนวชายหาดจะปรับตัวให้ขนานกับแนวสันคลื่นที่มากระทำ ซึ่งเป็นไปตามกฎการหักเหและเลี้ยวเบนของคลื่น
ดังนั้น “เขื่อนกันคลื่นชายฝั่ง” ป้องกันหรือทำลาย?!
ในทำนองเดียวกันนี้ก็พบเห็นได้เมื่อมีการสร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำสะกอมในปี 2541 ทำให้ชายหาดสะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับกรณีเขื่อนกันทรายและคลื่นร่องน้ำนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา
โดยที่ทั้ง 2 กรณีต่างก็มีการสร้างเขื่อนกันคลื่นชายฝั่งขึ้นเพื่อหวังจะลดการกัดเซาะของชายฝั่ง (ดังรูปที่ 2) แต่ผลกลับออกมาในทางตรงกันข้ามคือ เขื่อนกันคลื่นส่งผลให้เกิดการกัดเซาะเพิ่มยิ่งขึ้น และรุนแรงมากขึ้นทุกๆ ปี (รูปที่ 4)
จากหลักฐาน และวิชาการข้างต้น อันเป็นที่ประจักษ์ทั้งในกรณีบ้านนาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา และกรณีสะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา สามารถสรุปได้ในที่นี้ว่า...
“การกัดเซาะของหาดทรายและชายฝั่งล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ ไม่ใช้จากธรรมชาติแต่อย่างใด”..!!